ท้องฟ้าที่คอนชาดเป็นสีรุ้ง และสั่นไหววิบวับตามสายลม ที่จริงแล้วมันเป็นรุ้งที่กระเจิงจากแสงของคาลอร์ยามกระทบผิวน้ำ เมื่อมองจากด้านล่าง มันจึงเหมือนท้องฟ้าสีรุ้ง พวกเด็ก ๆ ที่นี่เชื่อกันว่าถ้าขยับตัวมากพอ จะทำให้สายรุ้งเริงระบำไปกับเรา ซึ่งที่จริงก็แค่คลื่นสั่นสะเทือนที่ส่งไปยังผิวน้ำเท่านั้นเอง แต่ถึงสายรุ้งจะไม่ได้เต้นรำจริง ๆ และฉันก็ไม่ใช่เด็กแล้ว แต่ท้องฟ้าที่บ้านก็ยังสวยที่สุด มันสะท้อนแสงเจ็ดเฉดสี และพลิ้วไหวเบา ๆ ไปตามคลื่นผิวน้ำ ไม่มีท้องฟ้าที่ไหนเป็นแบบนั้น
ทั้งๆ ที่วันนั้นเป็นวันที่อากาศดี คลื่นลมสงบมาหลายวัน น้ำจึงไม่ขุ่น แสงขาวกระเจิงเป็นรุ้งระยับตาส่องลงมากระทบผิวฉัน ให้ความรู้สึกจั๊กกะจี้นิดหน่อย แต่วันนั้นจิตใจฉันกลับขุ่นมัว และใบหน้าก็เหยเกดูไม่ได้ ตาแดงก่ำจากการร้องไห้ ฉันขยี้ตาแรงๆ ระหว่างมุ่งหน้าไปบนยอดเนินทราย ไกลจากเขตผู้คนพลุ่กพล่าน ฉันทรุดตัวลงบนผืนทรายขาว ทอดสายตาเหม่อลอยและสับสนไปบนท้องฟ้า แสงวิบวับมีแต่ทำให้ฉันแสบตาและร้องไห้ออกมากกว่าเดิม ชั่วโมงที่แล้ว ฉันทะเลาะกับมอลลี่ เพราะเธอคัดค้านความคิดที่ฉันอยากจะไปข้างนอกนั่น อวกาศแสนยิ่งใหญ่นอกคอนชาด ทะยานออกไปในอวกาศ ห่างไกลจากผืนน้ำที่ท่วมเราอยู่ ผืนทรายงี่เง่าและท้องฟ้าสีรุ้งแสบตา แน่ล่ะ ตอนนั้นฉันเบื่อที่นั่น เพราะงั้นความสวยงามของมันจึงเข้าไม่ถึงจิตใจฉัน
การท่องอวกาศไม่ใช่เรื่องแปลก เผ่าพันธุ์มากมายในอวกาศติดต่อสื่อสารและไปมาหาสู่กันเหมือนเพื่อนบ้านไปเยี่ยมกัน แค่มียานอวกาศ และชุดนักบินที่เหมาะสม แม้แต่เผ่าพันธุ์ใต้น้ำอย่างฉันยังสามารถขึ้นจากน้ำและไปสำรวจอวกาศได้โดยไม่ขาดอากาศหายใจตาย แต่ด้วยคติคร่ำครึโบราณ สำหรับชาวเฮอร์มิเชี่ยนนั้น ‘บ้าน’ สำคัญมาก พวกเราไม่ปฏิเสธผู้มาเยือน แต่ก็ไม่ยินดีจะออกห่างจากมันเช่นกัน และเราต้องใช้ชีวิตอยู่กับบ้านเกิดจนกว่าจะกลับสู่พื้นทราย จากรุ่นสู่รุ่น ไม่เคยมีชาวเฮอร์มิเชี่ยนคนไหนเคยไปจากคอนชาด และก็มองว่ามันเป็นสามัญสำนึก แต่สำหรับฉัน มันคือคำสาป
ฉันอึดอัดและเบื่อหน่ายที่ต้องตื่นมาเจอแต่ทราย น้ำ และแสงสีรุ้ง บางวันกระแสน้ำแรง รอบๆ ตัวก็เต็มไปด้วยฝุ่นทราย พอคลื่นสงบก็ต้องทำความสะอาดบ้าน พอคลื่นมาทรายก็ฟุ้งอีก วนเวียนเป็นวัฏจักร พอตกดึก ไม่มีแสงใดให้เรามองเห็นเพราะแสงสะท้อนจากดาวเคราะห์บริวารไม่สว่างพอจะผ่านผิวน้ำมาได้ มีแต่ต้องอาศัยพวกแมลงน้ำหน้าตาประหลาดที่มองเห็นในที่มืดเป็นตัวนำทาง มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเราเป็นคนตาบอด
ฉันชอบอ่าน เพราะงั้นฉันจึงรู้จักโลกข้างนอกคอนชาดมากมายผ่านตัวหนังสือ ทั้งยอดเขาสูงที่มีดอกไม้นับร้อยสายพันธุ์ปะทุออกมาทุกวัน แม่น้ำที่ไหลย้อนขึ้นไปบนตัวงูยักษ์เพื่อล้างเกล็ดเงาแวววับ เป็นความสัมพันธ์แบบอิงอาศัยกัน ท้องฟ้าที่จะมีดาวตกทุกครั้งที่เราตะโกนเสียงดัง ข้างนอกนั่นมีผู้คนและเผ่าพันธุ์มากมายเกินฉันจะเอ่ยชื่อพวกเขาทั้งหมด ฉันอยากไปเจอคนเหล่านั้น อยากไปสัมผัส อยากไปเห็น อยากไปฟัง อยากไปพิสูจน์ทุกอย่างที่หนังสือเคยบอก อยากสำรวจและพบเจอสิ่งใหม่ ๆ แต่ทุกอย่างก็จบลงเมื่อฉันเป็นชาวเฮอร์มิเชี่ยน ลืมเรื่องท่องอวกาศไปได้เลย แค่จะไปเยี่ยมชาวแอนนีโมนที่ดาวข้าง ๆ ยังทำไม่ได้ แต่จริงๆ ฉันก็ไม่ได้อยากไปที่นั่นหรอก พวกเขาเอาแต่ส่ายไปมาตามกระแสน้ำทั้งวัน แต่มันก็คงดีกว่าจมปลักอยู่ที่นี่
ตอนแรกที่ฉันเล่าเรื่องนี้ให้มอลลี่ฟัง เธอก็ทำท่าตกใจจนเกินเหตุ เอามือมาทาบคอและรักแร้ฉัน คิดว่าฉันเป็นไข้หนักจนเสียสติไปแล้ว จนพอเธอรู้ว่าฉันสบายดีเธอจึงหายตกใจ แต่กังวลกว่าเดิมเมื่อรู้ว่าฉันจริงจัง เธอคัดค้านหัวชนฝา เธอบอกว่าคตินั่นมีเพื่อปกป้องเรา ข้างนอกนั่นอันตรายเกินกว่าที่เราจะออกไปและไม่มีที่ไหนปลอดภัยเท่าบ้านอีกแล้ว แต่ฉันเดาว่านั่นคงก่อนเราจะมียานอวกาศและชุดนักบินเป็นพันปีเลยล่ะ ฉันก็พอเข้าใจว่ามอลลี่เป็นห่วงและไม่อยากให้ฉันทำอะไรที่ดูผิดแผกจากวิถีเรา และอาจเสี่ยงอันตราย เธอเป็นแม่ฉันนี่ เป็นเรื่องธรรมดาที่แม่เขาจะเป็นห่วงลูกกันจนเกินเหตุ
แต่ฉันก็ยังหงุดหงิดและทะเลาะกับเธออยู่ดี เพราะตอนนั้นความฝันและความคิดอิสระของฉันมันเกินจะอัดอั้นไว้แล้ว หลังจากแน่ใจว่าเธอไม่มีทางอนุญาต ฉันก็โยนเปลือกเก่าสมัยเด็กของฉันใส่มอลลี่ก่อนจะวิ่งออกมา และมาอยู่ที่หลังเนินทรายแห่งนี้ สภาพร้องไห้ ฟูมฟาย งอแง และงี่เง่า ฉันมารู้ตัวทีหลังว่าตอนนั้นฉันงี่เง่าเหลือเกิน ในหัวคิดแต่จะหนี ไม่ต้องให้มอลลี่อนุญาต ไม่ต้องให้ใครหน้าไหนมาช่วย ฉันจะหนีไปจากดาวนี้ด้วยกำลังของตัวเอง นูดี้ต้องเสียใจแน่ที่จู่ๆ ฉันหายไป ฉันค่อยๆ คิดวางแผนว่าตัวเองจะไปที่ไหน ไปทำอะไร ณ ดาวที่ลอยกระจัดกระจายไปทั่วอวกาศแห่งนี้ ฉันยิ้มกับตัวเองในบางครั้ง การเป็นอิสระนั้นช่างมีความสุขเหลือเกิน แม้จะแค่ในความคิดก็ตาม แต่แล้วทุกอย่างก็ชะงักลง มันเป็นไปไม่ได้ ฉันไปไหนไม่ได้ถ้าไม่มียานอวกาศ และที่คอนชาดนี้ก็ไม่มีสักลำ ไม่มีใครคิดว่าจะต้องใช้มัน เพราะไม่มีใครคิดจะออกไปจากที่นี่
แล้วความสนใจฉันก็พลันถูกดึงไปเมื่อมียานอวกาศขนาดใหญ่บินเข้ามาในชั้นบรรยากาศของดาว มันใหญ่ซะจนพื้นที่ฉันยืนอยู่มืดไปหมดเพราะถูกบังแสง ขนาดยานคงราวร้อยเมตรเห็นจะได้ ยานลำนั้นลดระดับลงจนแตะผิวน้ำ ส่งคลื่นสะเทือนผิวน้ำเป็นวงกว้างก่อนจะนิ่งสงบเมื่อการจอดเสร็จสิ้น ประตูใต้ยานเปิดออกและบานพับก็กลายเป็นบันไดจุ่มลงมาในน้ำ ฉันรีบหาโขดปะการังแถวนั้นเพื่อซ่อนตัวและแอบมองต่อไป มีสิ่งมีชีวิตต่างดาวที่ฉันไม่รู้จักในชุดเกราะสีดำเดินเป็นแถวลงมา ทุกคนใส่หมวกใสทรงกลมครอบหัวไว้ แสดงว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่หายใจใต้น้ำไม่ได้แน่ ๆ พวกเขามีราวห้าร้อยคนเห็นจะได้ ในบรรดาคนทั้งหมดนั่น มีคนหนึ่งที่ใส่เครื่องแบบที่ต่างออกไป เกราะของเขาเป็นสีดำก็จริง แต่ตกแต่งด้วยสีขาวดูโดดเด่น นั่นคงเป็นหัวหน้าของพวกเขา พวกเขายืนเป็นแถว โดยมีร่างในเกราะขาวอยู่ตรงกลางด้านหน้าสุด ก่อนพวกเขาจะมุ่งหน้าไปทางย่านชุมชน ทิ้งยานอวกาศลำมหึมาไว้โดยมียามเฝ้าสองคนตรงทางเข้า
ฉันมองไปยังย่านชุมชน ชาวเมืองออกมาจากบ้านกันหมดและยืนรวมกันอยู่ตรงจัตุรัสกลางเมือง ฉันเห็นพ่ออยู่ไกล ๆ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ค่อยออกจากสภาระหว่างเวลาทำงานนัก ก็เขาเป็นประธานาธิบดีนี่ แสดงว่าผู้มาเยือนครั้งนี้คงสำคัญมาก แล้วฉันก็รู้สึกหงุดหงิดก่อนจะเบือนหน้าหนี ขนาดฉันกับมอลลี่ทะเลาะกันและฉันหายไปแบบนี้ พ่อยังไม่คิดจะออกตามหาและเห็นสภาสำคัญกว่า แต่พอเป็นคนนอกกลับระริกระรี้ออกมาต้อนรับ เขาอาจเป็นประธานาธิบดีที่ดี แต่ไม่ใช่พ่อที่ดีแน่ แล้วความคิดที่พิลึกพิลั่นที่สุดในห้วงน้ำที่ปกคลุมคอนชาดก็ผุดขึ้นในหัวฉัน จนถึงทุกวันนี้ก็ไม่รู้อะไรดลใจให้ฉันคิดแบบนั้น แต่ตัวฉันในตอนนั้นคิดว่ามันเข้าท่าเหลือเกินจนวางแผนการเสร็จสรรพในทันที
ฉันย่องไปตามแถวสันทราย ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากสำหรับชาวเฮอร์มิเชี่ยนที่เดินโดยที่ลำตัวขนานไปกับพื้นได้ เมื่อเข้าใกล้ตัวยานซึ่งมืดและยามก็ยังไม่เห็นฉัน ฉันกวาดเอาทรายขึ้นมากองใหญ่และสาดมันให้ฟุ้งไปทั่ว ยามดูท่าทางตกใจ คงเพราะไม่เคยยืนเฝ้ายามใต้น้ำที่อาจมีคลื่นพัดกองทรายให้ฟุ้งได้มาก่อน ฉันอาศัยช่วงชุลมุนนั้นวิ่งพุ่งผ่านยามทั้งสองคนไปอย่างเงียบเชียบและลอบขึ้นไปบนยานสำเร็จ ไม่มีใครจับได้ ง่ายดายซะจนน่าสงสัย แต่ตัวฉันตอนนั้นทั้งตื่นเต้นและมั่นใจในตัวเองเกินกว่าจะรู้สึกตัว
ฉันเดินไปตามทางมืดๆ และหาห้องที่ดูเหมือนห้องเก็บของ ก่อนเจอโถงขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนห้องรวมตัวของคนนับร้อยที่ลงไปจากยานเมื่อครู่ ฉันมองหาห้องน้ำ และห้องเล็กๆ ที่อยู่ข้างห้องน้ำ ฉันเข้าไปในห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด ตรงมุมห้องมีกองขวดน้ำยาทำความสะอาดอยู่ ฉันจัดเรียงมันใหม่ให้มีช่องข้างใน ก่อนแทรกตัวเข้าไปอยู่ในนั้น แล้วชาวเฮอร์มิเชี่ยนบนยานอวกาศคนแรกก็หดตัวเข้าไปอยู่ในกระดองด้านหลังหัว ตัวฉันเหลือขนาดเพียงเปลือกหอยสักสามลูกบาศก์ฟุตเท่านั้น และไม่นานก็ผล็อยหลับไป
วันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่ฉันได้เห็นคอนชาด เพราะหลังจากยานรบอาร์โธรโพเดียมทะยานขึ้นจากผิวน้ำแล้ว ก็ไม่มีสถานที่ที่ชื่อว่าคอนชาดอมุสในอวกาศอีกต่อไป
-=-=-=-=-=-=-=-
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in