รังสีอัลตราไวโอเลต เป็นสิ่งที่เราต้องเผชิญทุกวันจากแสงแดด แม้จะมองไม่เห็น แต่กลับมีผลกระทบต่อสุขภาพผิวอย่างมาก ทั้งการทำให้ผิวหมองคล้ำ เกิดริ้วรอยก่อนวัย และเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งผิวหนัง ซึ่งบทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับรังสี UV อย่างครบถ้วน พร้อมแนะนำวิธีเลือกครีมกันแดดที่ช่วยปกป้องและดูแลสุขภาพผิวให้ปลอดภัย
รังสีอัลตราไวโอเลต หรือที่หลายคนเรียกกันว่า รังสี UV คือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่มาพร้อมกับแสงแดด มีความยาวคลื่น 100-400 นาโนเมตร ที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า แต่มีผลกระทบต่อผิวหนังและสุขภาพโดยตรง
รังสี UV สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ UVA UVB และ UVC โดยแต่ละประเภทมีคุณสมบัติและผลกระทบที่แตกต่างกัน
รังสี UVA มีความยาวคลื่นที่ยาวที่สุดในกลุ่มรังสียูวี สามารถทะลุผ่านชั้นบรรยากาศและกระจกได้ง่าย มีผลต่อการทำลายคอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นผิว ทำให้เกิดริ้วรอยและผิวแก่ก่อนวัย แม้จะไม่ทำให้ผิวไหม้แดดทันที แต่ผลกระทบระยะยาวอาจร้ายแรงหากไม่ได้รับการป้องกัน
รังสี UVB มีพลังงานสูงกว่ารังสี UVA และมีผลกระทบโดยตรงต่อชั้นผิวหนังด้านนอก ทำให้ผิวไหม้แดด (Sunburn) และเกิดอาการแสบแดง รังสีอัลตราไวโอเลตชนิดนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนัง การป้องกันรังสี UVB จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงกลางวันที่แดดแรง
รังสี UVC เป็นรังสีที่มีพลังงานสูงที่สุดในกลุ่มรังสี UV ซึ่งสามารถทำอันตรายต่อผิวหนังและดวงตาได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม รังสีนี้ถูกชั้นโอโซนในบรรยากาศดูดซับไว้เกือบทั้งหมด แต่หากชั้นโอโซนถูกทำลายหรือบางลงในอนาคต ความเสี่ยงจากรังสี UVC อาจเพิ่มสูงขึ้น
การได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดดอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการป้องกัน ส่งผลกระทบต่อผิวหนังในหลายด้าน ตั้งแต่ปัญหาผิวที่มองเห็นได้ชัด ไปจนถึงอันตรายต่อสุขภาพผิวในระยะยาว ดังนี้
รังสี UV ในแสงแดด สามารถทำให้เกิดปัญหาผิวต่าง ๆ
- ผิวเหี่ยวย่น เกิดริ้วรอยก่อนวัย
- ผิวไหม้แดด ผิวหน้าหมองคล้ำ
- เกิดฝ้า กระ และจุดด่างดำ
- เกิดสิวผด และสิวอุดตัน
- ผิวบางลง เกิดภาวะไวต่อแสงง่ายขึ้น
- เกิดอาการแพ้แสงแดด ระคายเคืองผิวได้ง่าย
- มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง
ครีมกันแดดเป็นอาวุธสำคัญในการปกป้องผิวจากแสงยูวี ทั้ง UVA และ UVB หากเลือกใช้ครีมกันแดดที่เหมาะสมและใช้อย่างถูกวิธี จะช่วยลดความเสี่ยงจากการได้รับแสง UV ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกครีมกันแดดที่เหมาะสมควรคำนึงถึงปัจจัยดังต่อไปนี้
- เลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป เพื่อป้องกันรังสี UVB ได้ดี
- เลือกครีมกันแดดที่มีค่า PA+++ หรือมากกว่าจะช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVA ได้ดียิ่งขึ้น
- มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีคำว่า Broad-Spectrum เพื่อป้องกันทั้งรังสี UVA และ UVB
- ใช้สูตรกันน้ำหากต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งหรือเล่นน้ำ
- เลือกเนื้อครีมที่เหมาะกับผิว เช่น เนื้อเจลสำหรับผิวมัน หรือเนื้อครีมสำหรับผิวแห้ง
- ทาครีมกันแดดก่อนออกแดด 15-30 นาที และทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมงหากอยู่กลางแจ้ง
รังสีอัลตราไวโอเลต เป็นตัวการสำคัญที่ทำลายเซลล์ผิวหนัง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนังได้ในระยะยาว การได้รับรังสี UV ในปริมาณมากและต่อเนื่องอาจส่งผลต่อ DNA ของเซลล์ผิวหนัง ทำให้เกิดความผิดปกติที่นำไปสู่การพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ปกป้องผิวจากแสงแดด หรือมีภาวะผิวไวต่อแสงก็จะยิ่งมีความเสี่ยงสูงขึ้น
รังสีอัลตราไวโอเลต ทั้งรังสี UVA และ UVB ทำลายเซลล์ผิวหนัง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนังได้
- รังสี UVA สามารถทะลุลึกถึงชั้นหนังแท้ ทำลายโครงสร้างผิว และกระตุ้นการเกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการทำลาย DNA ในเซลล์ผิว
- รังสี UVB มีพลังงานสูงและมีผลกระทบต่อผิวหนังชั้นนอกโดยตรง ทำให้เกิดความเสียหายที่เซลล์และเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังชนิด Melanoma
- การได้รับรังสี UV มากเกินไป อาจทำให้เกิดความผิดปกติในเซลล์ผิว เช่น การเกิดไฝที่เปลี่ยนแปลงไปในลักษณะและสี ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของมะเร็ง
รังสีอัลตราไวโอเลต ส่งผลกระทบต่อผิวหนังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะรังสี UVA และ UVB ที่สามารถทำลายโครงสร้างผิว ทำให้เกิดปัญหาผิวหลายประการ ซึ่งการป้องกันรังสี UV สามารถทำได้ด้วยการใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF และ PA เหมาะสม ใส่เสื้อผ้าปกปิด หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดในช่วงที่รังสีแรงที่สุด รวมถึงดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in