วันนี้ฝนตก...
ถนนรอบทะเลสาบที่เงียบเหงาอยู่แล้วยิ่งเงียบลงไปอีก หยดน้ำสีเทาโปรยปราย อากาศเย็นจนไม่น่าเชื่อว่าเมื่อสามวันก่อนอุณหภูมิจะอยู่ที่สามสิบเก้าองศา กระไอร้อนจากถนนซีเมนต์ค่อย ๆ กลัดลอยขึ้นเหมือนควันประกอบฉากหนัง ฟุ้งเลือนภาพผิวน้ำที่กำลังกระเพื่อมพลิกไกลออกไป แถวคูนที่ปลูกเรียงอยู่ในสวนสาธารณะรอบทะเลสาบต่างขยับเพยิบพะยาบตามแรงลมกระโชก
ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายสามของวันที่สิบห้าพฤษภาคม เสียงกระดิ่งประตูดังแทรกพายุปลายฤดูร้อน ผมเห็นเธอเป็นครั้งแรก หญิงสาวผิวขาว รูปร่างสูงโปร่งแบบบาง ผมบลอนด์ตัดบ็อบสั้น ริมฝีปากอิ่ม ดวงตากลมโตทรงเมล็ดหูกวาง นัยน์มีสีเขียวเหมือนหยกขุ่น กรอบหน้าเรียว ผมยิ้มให้ตามประสาเจ้าของร้านอาหารกึ่งค็อฟฟี่ช็อปที่มีลูกค้าน้อยแสนน้อย ยิ้มเพราะเห็นใจที่เธอต้องฝ่าสายฝนหนัก และยิ้มเพราะเธอยังสวยแม้จะเปียกมะล่อกมะแล่ก
เธอยิ้มตอบ เก้อเขินและมั่นใจในเวลาเดียวกัน ปากซีดเพราะความหนาวเย็น ผมลุกไปหยิบผ้าขนหนูในห้องเก็บของขณะเธอปราบพยศร่มในมือ เสียงฟ้าสาปหลังคาดังครึม ๆ คลอกับซีดีเพลงของจอห์น เมเยอร์ที่เปิดเป็นรอบที่ร้อย ผมชี้ทางไปห้องน้ำด้านหลังและลอบมองแผ่นหลังเสื้อแจ็กเก็ตสีฟ้าเทอคอยซ์ อาซูเรียน หรือสีชื่อแปลกลิ้นสักเฉด
เสียงกีต้าร์หวานแว่วเมื่อเธอเดินกลับมา ผมยิ้มและยื่นถ้วยชาชงใหม่ให้ตามวิสาสะหวังดี เธอผงกศีรษะรับ ยิ้มกว้างจนเห็นแถวฟันที่เรียงไม่เป็นระเบียบนัก มือย่นเพราะหยดน้ำ
“Please have a seat.” ผมหยิบเก้าอี้พลาสติกออกจากหลังเคาน์เตอร์ออกไปให้เธอนั่ง กางเกงยีนส์เปียก ๆ แบบนี้ถ้าให้ไปนั่งที่โซฟาผ้าคงไม่ดีเท่าไร เวลาผ่านไปสิบนาที ผมก็ได้รู้จักมาเรีย นักศึกษาแลกเปลี่ยนจากเนเธอแลนด์ เธอมาลงพื้นที่เก็บข้อมูลทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับวัฒนธรรมอีสาน ทั้งยังสมัครเป็นอาจารย์สอนพิเศษสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนประจำจังหวัด ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจและบอกไปว่าผมเองก็เรียนจบระดับปริญญาโทเช่นกัน สาขาวรรณคดีด้วย ดวงตาเธอประหลาดใจ ก่อนชี้นิ้วไปยังชั้นหนังสือด้านหลังของผม
"เป็นที่มาของหนังสือพวกนี้สินะคะ" เธอถามเป็นภาษาไทยกะพร่องกะแพร่งแต่พอแยกแยะได้ ผมยิ้มแห้ง ๆ ตอบ บางส่วนก็ใช่ บางส่วนก็ซื้อใหม่มาเพิ่ม เธอเอียงคอเล็กน้อยก่อนเปรยออกมาว่าที่ยุโรปส่วนใหญ่เรียนระดับปริญญาโทหรือเอกก็เพื่อจะทำงานเป็นอาจารย์ต่อไป และถามว่าผมมีแพลนจะเป็นอาจารย์หรือเปล่า ผมตอบกลั้วหัวเราะว่าค่านิยมของเราต่างกัน เธอหัวเราะตามแห้ง ๆ คงไม่แน่ใจว่าเป็นการตอบที่เหมาะสมหรือไม่
ผมขอตัวกลับมายังเคาน์เตอร์ ส่วนเธอหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าซึ่งรอดพ้นอุทกภัยจากเบื้องบนขึ้นมากดเลขหมาย ปลายนิ้วเรียวขยับไปมาเหมือนใบไม้พลิกในลมอ่อน ผมค้างมือที่กำลังไล่เช็ดทำความสะอาดเคาน์เตอร์ขณะเงี่ยฟังบทสนทนาอย่างลืมมารยาท เธอทักทายปลายสายและแจ้งตำแหน่งแห่งที่ของตัว ร้านวานิทัส
ผมเอะใจเล็กน้อย เธอดูจะไม่สงสัยเกี่ยวกับชื่อเรียกสกุลศิลปะของเนเธอร์แลนด์เลย แต่ช่างเถอะ ใช่ว่าทุกคนจะต้องรู้จักสกุลศิลปะประจำชาติตัวเองเสียทั้งหมดเมื่อไร
ตัวผมรู้จักคำคำนี้เป็นครั้งแรกหลังจากได้ลองอ่านเรื่องสั้น...ไม่สิ “แฟนฟิกชั่น” เรื่องหนึ่งในอินเทอร์เน็ตเมื่อสมัยเรียนปริญญาตรี ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจนักจนเพื่อนที่เป็นนักอ่านแฟนฟิกตัวยงคนหนึ่งส่งลิงก์มาให้ เป็นเรื่องฆาตกรโรคจิตที่เป็นเจ้าของร้านดอกไม้ชื่อวานิทัส กับเด็กหนุ่มใจแตกที่หนีออกจากบ้านเพราะพ่อแม่บุญธรรมมีลูกคนใหม่ ภาษาไม่ได้ดีเด่นมากมายนัก อาจมีบางวลีที่พอจะถูกใจ แต่ก็ไม่ถึงขั้นติดหู ทว่าตะกอนที่ทำให้ผมหวนนึกถึงมันอยู่เสมอและเลือกมาใช้เป็นชื่อร้านของตัวเองคือข้อสรุปที่ว่า ความคิดว่าตนปรกติที่สุดต่างหากคือความบ้าคลั่งสุดขั้ว
ครู่เดียวหลังจากนัดหมายเรียบร้อยเธอก็วางหูและยกชาขึ้นจิบอย่างใจเย็น ก่อนจะไล่สายตามองหนังสือที่ผมจัดเรียงบนชั้นอย่างเป็นระเบียบ ดูเหมือนคู่สนทนาของเธอจะรู้จักร้านแห่งนี้และกำลังมุ่งหน้ามา ผมคอยสังเกตว่าเมล็ดหูกวางคู่นั้นจะเลาะไปพักบนชั้นใดบ้าง กระหยิ่มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอ้อยอิ่งอยู่บนชั้นวรรณคดีนานเป็นพิเศษ...เป็นชั้นที่เรียบร้อยกว่าชั้นอื่น ๆ เพราะไม่ใคร่จะมีใครหยิบบ่อยนัก
"เลือกอ่านตามสบายเลยนะครับ" เธอพยักหน้ารับและขอบคุณ แต่ยังคงนั่งทอดตาสำรวจเช่นเดิม
"ชอบอ่านหนังสือประเภทไหนหรือครับ?" ผมเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งเพื่อไม่ให้เสียงฝนจากด้านนอกชวนอึดอัดเกินไป เธอคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบ
"สารคดีกับประวัติศาสตร์ค่ะ ฉันชอบอ่านเรื่องของชาติต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องของไทย"
รอยยิ้มมาพร้อมกับคำพูด ยิ้มของเธอนุ่มเหมือนฟองนม
"เลยมาทำวิจัยที่นี่สินะครับ เคยอ่านเรื่องอะไรเกี่ยวกับเมืองนี้บ้างไหมครับ?"
"ตำนานพระธาตุกับตอไม้แห้งที่กลับงอกขึ้นมาใหม่ไงคะ เคยทำรายงานส่งอาจารย์น่ะค่ะ"
"อ๋อ เรื่องคลาสสิก คนที่จะรู้จักเมืองนี้คงต้องอ่านเรื่องนี้กันทั้งนั้นครับ...แล้วจะมาอยู่ที่นี่นานหรือเปล่าครับ?"
"9 เดือนค่ะ"
"นานพอดูเลยนะครับ ถ้ามีอะไรที่พอจะช่วยได้ ผมก็ยินดีนะครับ"
"ขอบคุณมากค่ะ" เธอยิ้มอีกครั้งทำให้ฟ้าหม่น ๆ ด้านนอกดูน่ากลัวน้อยลงไปถนัด บางมุมเธอก็ทำให้ผมนึกถึงรอยยิ้มของริน ยิ้มที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติ
เสียงประตูเปิดกว้างพร้อมกับเสียงฝนที่ดังขึ้นชั่วขณะ ดึงความสนใจของผมไปที่ประตูร้าน ชายหนุ่มสวมเสื้อกันหนาวสีดำ ดึงฮู้ดขึ้นปิดกันละอองน้ำ กางเกงยีนส์ซีดเปียกชื้นเกือบค่อนแข้ง รองเท้าผ้าใบสีขาวเปรอะหยดน้ำ เมื่ออีกฝ่ายหุบร่มและถอดฮู้ด ผมนิ่งอึ้ง เสียงพายุคำรามภายนอกเงียบงันลงเหมือนมีใครเอาหูฟังแบบกันเสียงรบกวนมาครอบหูไว้
เขา...
"ขอโทษที่มาช้าครับคุณมาเรีย" ชายหนุ่มยกมือไหว้และเดินตรงเข้ามาด้วยท่าทีเป็นมิตร ดวงตาเรียวคู่เหมือนจะเหลือบมองมา แต่ก็ผ่านเลยไป "รอนานไหมครับ" เขาเอ่ยถามก่อนจะถอดเสื้อกันหนาวสีดำชื้น ๆ ออกพาดกับพนักเก้าอี้ เสื้อยืดสีชมพูสะท้อนแสงดูจัดจ้าในแสงไฟของร้าน ผิวขาวยิ่งขาวขึ้นเมื่อมองในเวลากลางวัน
"เพิ่งมาถึงสักครู่เองค่ะ ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ที่นัดคุณกรมาเจอตอนฝนตกแบบนี้" เธอยกมือขึ้นไหวปะหลก ชายหนุ่มรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ สีหน้าท่าทางร่าเริงสดใสเหลือเกิน
"ยินดีครับ ความจริงผมต้องเข้ามาทำธุระแถวนี้ตั้งแต่เช้า นัดเจอคุณมาเรียที่นี่ก็เลยได้อาศัยมาหลบฝนไปในตัวด้วย"
ทำไมถึงได้สดใสนัก...
"รับอะไรดีครับ" ผมเอ่ยแทรก ยิ้มกว้างอย่างที่เจ้าของร้านควรจะยิ้ม เด็กหนุ่มหันมายิ้มตอบ กว้างอย่างที่ลูกค้าจะทำเช่นกัน
"เหมือนเดิม" ผมพยักหน้ารับคำอัตโนมัติ ฝนและลมด้านนอกเบาลงบ้างแล้ว แต่คงอีกนานกว่าจะหยุด อากาศเย็นจนลมจากเครื่องปรับอากาศอุ่น ผมเหลือบมองฝ้าหนาบนกระจกขณะเริ่มต้นชงม็อคค่าหวานน้อยไม่ใส่วิปครีม น้ำหนักของเมล็ดกาแฟที่พอดี องศาของขวดโกโก้ที่เอียงพอเหมาะ และปริมาณนมที่ไม่มากเกินไป ทุกสิ่งกำหนดไว้เที่ยงตรงเหมือนกฎแรงโน้มถ่วงของโลก เหมือนผมชงมาเป็นพัน ๆ ครั้ง
"ที่พักไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมครับ?" ชายหนุ่มเอ่ยถาม แผ่นหลังแคบและเปราะบาง ทว่าผมรู้ดีว่ามันห่ามและกร้านในเชิงประสบการณ์ เกือบจะนับไม่ถ้วนที่ผมเห็นมันเปลือยมาแล้ว ซับไออุ่นจากมันในเงามืดมากี่หน และเกือบลืมแล้วว่าคืนที่แผ่นหลังนั้นเดินจากไปฟ้ามืดแค่ไหน คงจะห้าปีกว่าแล้ว
"เก็บข้อมูลเป็นยังไงบ้างครับ?" ผมเบนสายตากลับไปมองอีกครั้ง มาเรียหยิบเอาเอกสารในกระเป๋ามากางบนโต๊ะแทนคำตอบ ไล่นิ้วตามลิสต์ภาษาอังกฤษ
"ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลบริบททางสังคมค่ะ พวกประวัติท้องถิ่น ตอนแรกกลัว ๆ อยู่เหมือนกันนะคะ ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นคนแก่ทั้งนั้น กลัวว่าจะสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง แต่โชคดีที่ได้คุณป้ามะลิช่วย ไม่อย่างนั้นฉันคงลำบากแน่ ๆ ขอบคุณนะคะที่พาฉันไปแนะนำ"
"ขอบคุณอะไรกันครับ ผมบอกแล้วว่าคุณมาเรียไม่ต้องเป็นทางการขนาดนั้นก็ได้ ผมเป็นผู้ช่วยวิจัยคุณนะครับ ไม่ช่วยก็โดนหักเงินเดือนกันพอดี" ชายหนุ่มหัวเราะหยีตาขณะผมวางกาแฟลงบนโต๊ะกระจกเบื้องหน้า ไม่มองใบหน้าเรียวและริมฝีปากอิ่มเต็ม ตัดดวงตาไปมองถ้วยชาที่น่าจะเย็นแล้วแทน
"จะรับเพิ่มไหมครับ?" เธอพยักหน้าและเอ่ยขอบคุณ พอดีกับที่กรหันมาถามผมด้วยสีหน้าเรียบเรื่อย
"สูบบุหรี่ในนี้นะ ข้างนอกฝนตก" กรไม่เคยถามคำถาม ไม่เคยคำขอร้อง ชายคนนี้ยังเหมือนเมื่อวันแรกที่เจอกันไม่ผิด ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ความดื้อด้านเอาแต่ใจยังเข้มข้นเหมือนคราบกาแฟที่ฝังลงบนเนื้อผ้า
-- เฉพาะกับพี่คนเดียวเท่านั้นหรอก -- คำพูดในคืนนั้นยังคงแจ่มชัดในความทรงจำ
"คุณมาเรียสูบมั้ยครับ?" เขาไม่รอให้ผมตอบ ยื่นกล่องสีขาวขลิบเส้นสีทองเสนอให้คนตรงข้าม เธอนิ่งไปก่อนเงยหน้ามองมาอย่างลังเล ผมพยักหน้ายิ้ม ๆ อนุญาต และเดินกลับไปชงชาแก้วใหม่พร้อมยกที่เขี่ยบุหรี่มาให้ หลังจากนั้นบทสนทนาเรื่องงานยืดยาวจึงเริ่มต้นขึ้น ผมปลีกตัวกลับมาจัดการบัญชีที่ยังคั่งค้างตั้งแต่เช้าให้เสร็จ มีเสียงบาง ๆ ของกรเกี่ยวกระตุกความสนใจไปเป็นระยะ
จู่ ๆ โทรศัพท์มือถือเครื่องสีดำก็สว่างแสดงข้อความเข้า ผมก้มมอง ก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความระอาใจ ทั้งที่พยายามเลี่ยงไม่กลับไปที่บ้านมาหลายสัปดาห์แล้วแท้ ๆ
"วันนี้ติดลูกค้า คุณอาทานข้าวกันก่อนเลยครับ"
ผมกดหน้าจอโทรศัพท์ก่อนเลื่อนปิดพลางถอนหายใจ ผมยังไม่อยากกลับไปเผชิญหน้า ไม่ใช่ตอนนี้ ถึงสถานการณ์ที่ร้านจะย่ำแย่ แต่ถ้าสิ่งที่สร้างมากับมือต้องพังทลายลง ผมก็อยากเป็นคนทุบอิฐก้อนแรกเองมากกว่า
ผมเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนาที่เงียบไปครู่หนึ่ง มาเรียกำลังจดอะไรบางอย่างบนกระดาษ
ส่วนกรกำลังเหลือบมองผมอยู่
สายตาคมและระคายใจแต่เรียบนิ่ง หลุมกว้างในเรตินาคู่นั้นยังคงเป็นปริศนาไม่เคยเปลี่ยน สีน้ำตาลเข้มเหมือนกลุ่มก๊าซบนผิวดาวพฤหัส ปกปิดความดิ่งลึกภายใน แม้อยากจะก้มหน้าหลบ แต่ความอยากรู้อยากเห็นก็ตรึงผมไว้ ระยะเวลาไม่อาจชะคราบตะกอนในใจออกไปได้เลย
สิ่งที่พี่เกลียดที่สุดคือสิ่งที่จะฝังอยู่ในความทรงจำของพี่นานที่สุด
ผมลุกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ตอนประมาณสี่โมงครึ่ง ฝนซาสายแล้ว เหลือเพียงระลอกละอองโปรยช้า เสียงของมาเรียเอ่ยเรียกเก็บเงินแทรกเสียงเพลงของชิโระ ซางิซึในลำโพง
"ชาสามแก้ว กาแฟหนึ่ง มัฟฟินสองชิ้น ทั้งหมดสามร้อยสี่สิบบาทครับ" ผมยื่นกระดานแนบบิลให้เธอและ รับเงินมา เดินไปหยิบเงินทอนกลับมาส่งให้ หญิงสาวกำลังเก็บเอกสารและเครื่องเขียนลงกระเป๋า กรจึงยื่นมือมารับแทน นิ้วเรียวและข้อมือผอม ๆ คงได้แค่แอลกอฮอล์ นิโคติน และคาเฟอีนหล่อเลี้ยง เป็นสูตรปุ๋ยเลี้ยงต้นไม้พิษ ผมหันไปเก็บแก้วและจานบนโต๊ะโดยไม่รีรอ
"ให้ผมไปส่งไหมครับ วันนี้ผมขับรถมา" กรเอ่ยขณะเดินตามมาเรียไปยังประตูหน้า หญิงสาวชะเง้อมองฟ้าด้านนอกเล็กน้อย แม้จะยังเห็นแต่เครือขาวของเมฆคลุ้ม แต่เธอส่ายศีรษะปฏิเสธ
"ฝนซาแล้ว ไม่ลำบากดีกว่าค่ะ เดี๋ยวฉันจะแวะไปซื้อของใช้ในซูเปอร์มาร์เก็ตกลางเมืองสักหน่อย" เธอหยิบร่มสีเขียวเข้มขึ้นมาปลดสายรัดและจัดเสื้อให้เข้าที
"ผมผ่านตรงนั้นพอดี ให้ผมแวะส่งดีกว่าครับ แถวริมบึงไม่ค่อยมีรถแท็กซี่ผ่าน" ชายหนุ่มยังคงยืนกราน มาเรียหยุดคิดเล็กน้อยก่อนพยักหน้าตกลง หญิงสาวถือร่มเดินออกไปนอกร้านก่อน กรทำท่าเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้และร้องบอกเธอให้ไปรอที่รถ "คันสีขาวจอดอยู่ตรงโน้นนะครับ เดี๋ยวผมตามไป"
เด็กหนุ่มเดินกลับไปยังเก้าอี้ ทำท่าเหมือนหาอะไรสักอย่างจากเบาะ
"หาอะไรเหรอครับ?" ผมลังเล พยายามคงน้ำเสียงตามบทบาทเจ้าของร้านที่ดี กรยืดตัวขึ้นยืนตรงและหันมายิ้มบาง
"ไม่ได้หายหรอกครับ แค่หาไม่เจอ"
ผมยืนมองเขานิ่ง ๆ ถ้อยคำนั้นก้องสะท้อนไปมาในที่ว่างของร้าน มันวิ่งไปซอกซอนตามชั้นหนังสือและแถวแก้วกาแฟ ประกาศการครอบครองเหมือนหมอกควัน เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำเท่านั้น
"มาที่นี่ทำไม" ผมสลัดหมอกควันลวงตา ปลดวางหน้ากาก จ้องคู่สนทนาที่ไม่แสดงสีหน้าใด ๆ กรไม่เคยเปลี่ยน เขาสามารถสวมยิ้มเจ้าเล่ห์ หรือเหยาะน้ำตาน่าสงสารได้อย่างเหมาะเจาะ เปล่า...เขาไม่ใช่แค่คนกลับกลอก หากแต่ถึงขั้นศิลปินที่วาดอารมณ์ของตัวเองบนใบหน้าดุจช่างแกะสลัก ทุกพยางค์ของกล้ามเนื้อขยับเปล่งความหมายจัดเจน และตอนนี้ เขากำลังซ่อนทุกอย่างจากผมด้วยรอยยิ้มที่ไม่อาจตีความ
"ผมมาทำงานที่นี่"
"เดี๋ยวนี้รู้จักทำงานแล้วเหรอ"
"ถ้ามันเป็นสิ่งที่ผมชอบ ผมก็เรียกมันว่าเป็นงานได้"
"เหมือนที่นอนกับใคร ๆ ไปทั่วน่ะหรือ"
"ผมนอนกับพี่เป็นคนสุดท้าย" ยิ้มบางนั้นฉีกกว้างทำให้ผมนึกถึงฮีธ เลดเจอร์ในเรื่องแบทแมน ดูเหมือนอารมณ์ที่แท้จริงของกรจะไม่มีวันผุดขึ้นมาบนใบหน้านั้นเลย
"นายไม่ควรมาที่นี่"
"ใช่ ผมไม่ควรมาเลย"
กรพูดเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ริมฝีปากนั้นขยับชัด เขาถอนหายใจทิ้งท้าย รอยยิ้มละลายหายจากใบหน้า ผมถอนใจและหันหลังกลับไปล้างแก้วในอ่างหลังเคาน์เตอร์
เสียงประตูร้านเปิดและปิด
อากาศตอนค่ำร้อนและชื้น ดวงอาทิตย์ใจร้ายโผล่หน้าออกมาตอนห้าโมงเย็น เผาแอ่งน้ำบนพื้นถนนให้ระเหยเป็นไอ หน้าร้อนค่ำช้า ล่วงทุ่มมานิด ๆ ก็ยังมีขาบม่วงรำไรตรงสุดฟ้าโน่น สวนสาธารณะรอบบึงเงียบเหงา น้ำฉาบแฉะทางวิ่งจนลื่น ไล่นักออกกำลังกายขาจรไม่ให้ล่วงล้ำในวันนี้ จะมีก็แต่ลานกว้างแห่งหนึ่งที่เปิดเสียงเพลงรำไทเก๊กสำหรับผู้สูงอายุ แต่คนร่วมก็น้อยนัก ในบรรดาความเงียบเหงาของย่ำมืด หลอดไฟสีขาวดัดเป็นรูปคำว่า Vanitas เปิดสว่าง แต่สิ่งที่เรียกได้มีแค่แมลงเม่ามาตอมไฟ ส่งเสียงเปรียะประ เมื่อเดินออกไปทิ้งขยะจะได้กลิ่นซากไหม้ปร่า ๆ ลอยในอากาศ แมลงบางตัวยังอุตส่าห์เล็ดลอดบานประตูหนาหนักเข้ามา เป้าหมายของมันคือการไขว่คว้าแสงสว่างสักดวง แต่สุดท้ายถูกขังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมนี้ และไม่นานหลังจากผมปิดร้าน แมลงเม่าก็คงบินชนกระจกซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยภาพหลอนของดวงไฟที่ส่องอยู่ภายนอก
ชาในแก้วเย็นแล้ว เคอร์เซอร์บนโปรแกรมเวิร์ดกะพริบเรื่อย ๆ รอเวลาให้จรดนิ้วลากและเสกตัวอักษรออกมาทีละตัว ทว่าค่ำนี้เอิร์ลเกรย์และบิสกิตไม่ช่วยอะไร หน้าจอสีฟ้าและเพลงของโจ ฮิไซชิก็ไม่ช่วยอะไร เหมือนสายเคเบิลที่ต่อระหว่างนิ้วและสมองถูกตัดชั่วคราว ในหัวเงียบเชียบ เป็นความเงียบที่คำรามก้อง ทำลายความสงบของบรรยากาศโดยรอบสิ้นเชิง ผมเกลียดพายุฤดูร้อน มุ่งหักรานกิ่งไม้มากกว่าจะให้ความชุ่มชื้น อวดโอ้ศักดานุภาพของมันด้วยเมฆโตและลมกร้าว กระนั้นก็ไม่ได้เลือกใส่ใจที่ใดที่หนึ่งมากเป็นพิเศษ มันเดินทางไปเรื่อย ๆ เปลี่ยนทิศทางตุปัดตุเป๋เหมือนอันธพาลเมามาย แล้วจู่ ๆ ก็หายวับไป สร่างจากความชุ่มที่หอบไว้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนอย่างรวดเร็ว
ผมเชื่อว่าคนเราตอนวัยรุ่นก็เป็นแบบนั้นทุกคน เหมือนร่องความกดอากาศต่ำตะกรุมตะกราม สวาปามความชื้นจากบรรยากาศรอบข้างไม่คิดหน้าคิดหลัง กระทั่งอิ่มจนเกินพอดีก็ขยอกขย้อนเอาประสบการณ์ทั้งหมดออกมาอย่างทุลักทุเล เราต่างเป็นเมฆก้อนใดก้อนหนึ่ง หากไม่กินก็ถูกกลืน
สำหรับกรนั้น ผมไม่แน่ใจนักว่าตัวเองเป็นพายุหรือเป็นความชื้นที่ถูกเขากลืนกิน
ให้ตาย--ไอ้เด็กคนที่เกือบลากผมลงเหวฉิบหายวายป่วงไปด้วย เสร็จแล้วก็เดินหันหลังจากไป เหมือนตัวเองไม่ได้มีส่วนใด ๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมสับสนและงงงวย
พี่มีแต่ตัวเอง...แต่พี่กลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวพี่เป็นใคร
คำพูดสุดท้ายของเขายังดังก้องในหู ผมจดมันไว้ในสมุดรวมข้อความบันดาลใจ หวังจะเก็บเกี่ยวและคิดต่อจากมัน หวังจะให้มันเป็นหมุดหมายสำหรับอะไรบางอย่างในชีวิต เป็นบทเรียนและแรงผลักดัน แต่สุดท้ายผมก็ไม่เคยเปิดมันอีก และไม่เคยใช้สมุดเล่มนั้นอีกทั้งที่จดอะไรต่อมิอะไรไว้มากมาย ลึก ๆ แล้วผมคงกลัวจะต้องอ่านมันอีกครั้ง หวังไว้แต่ว่าสักวันจะกล้าเปิดมันและเขียนตอบไปว่าผมเป็นใคร
แต่วันนั้นไม่เคยมาถึง
ผมไม่รู้ว่ากรมาโผล่ที่นี่ได้อย่างไร อาจเป็นโชคชะตาบังเอิญหรือเป็นแผนร้ายของภูตผีที่จงเกลียดจงชังเลยสลับรางให้เรามาบรรจบอีกครั้ง แต่ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ การปรากฏตัวของเขาไม่เป็นผลดีต่อชีวิตของผมเลยสักนิด
ผมเลื่อนหน้าจอกลับไปอ่านข้อความด้านบนอีกครั้ง เรื่องราวที่ผมเขียนและฟูมฟักมาหลายปี นิยายว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างทายาทของตระกูลช่างปั้นตุ๊กตาและชู้รักเพศเดียวกันที่ไม่สามารถแสดงอารมณ์ทางสีหน้าได้ ทายาทคนนั้นเป็นแค่เพียงหลานของหัวหน้าตระกูลคนก่อนที่ถูกกดขี่มาแต่เด็กเพราะเป็นลูกไม่มีพ่อ เจ้าหนุ่มนี่เลยมีอาการเป็นคนหลายบุคลิก ได้ยินเสียงคนพูดกับตัวเอง และบางครั้งก็ฝันเห็นเสือดำย่องมาหา เขาหนีออกจากบ้านไปเมื่ออายุสิบหกและกลับมาในตอนต้นเรื่องหลังจากทายาทคนสุดท้ายตายไปและเขากลายเป็นผู้สืบทอดของตระกูลในลำดับถัดมา
ผมตั้งใจให้มันเป็นเรื่องหดหู่ที่บีบคั้นอารมณ์ ถ่ายทอดความว่างเปล่าและความยึดติดในความสมบูรณ์แบบของมนุษย์ ถึงขั้นยกคาถาจากธรรมบทมาไว้เป็นข้อความนำเข้าเรื่อง “จงดูร่างกายที่สวยงามนี้เถิด เต็มไปด้วยแผล สร้างขึ้นด้วยกระดูก มากไปด้วยโรค...” กำหนดแนวไว้ว่าเป็นโศกนาฏกรรมจิตวิทยา มีฉากร่วมเพศ ฉากฆาตกรรม ฉากข่มขืน (โดยเฉพาะฉากตัวเอกถูกอีกบุคลิกหนึ่งของตัวข่มขืนในฝัน) และตัวละครหลักตาย มันคงเป็นเรื่องที่แรงเสียจนไม่รู้จะส่งไปลงที่ไหน และถ้าส่งไปก็คงมีหวังถูกบรรดาครูบาอาจารย์และเพื่อน ๆ เพ่งเล็งจนไม่เป็นสุข
แต่ปัญหาสำคัญไม่ได้อยู่ที่สายตาของใคร ๆ มันอยู่ที่สายตาที่จ้องมาจากข้างในตัวผมต่างหาก เรื่องหยุดชะงักในตอนที่ทายาทคนนั้นเกิดอาการหลอน คิดว่าตัวเองกลายเป็นเสือดำและหันมากัดคอเด็กรับใช้ที่ออกมาตามหาตัวเองในป่าเสียจนเนื้อวิ่น แล้วมันก็หยุดอยู่แค่นั้นไม่ไปไหนสักพัก...อันที่จริงหยุดมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่วันที่ผมตระหนักว่าผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร
ผมเคยพยายามเล่าให้เพื่อนและรุ่นพี่ที่เป็นนักเขียนฟัง คำแนะนำของพวกเขาดีและมีประโยชน์ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร ผมยังเขียนไม่ออก เหมือนมีอะไรบางอย่างผลักผมออกมาจากหน้ากระดาษ ผมเคยทดลองปิดตัวเองอยู่ในห้องสามวันเต็ม ไม่ออกไปไหน ไม่เจอใคร เอาแต่เขียน เขียน และเขียน ค่อย ๆ รีดเอาตัวอักษรที่ซ่อนอยู่ตามกลีบสมองและเส้นเลือดให้ออกมาเป็นคำ แต่สุดท้ายก็เหลวเปล่า ผมเขียนแล้วลบ ลบแล้วเขียนอยู่อย่างนั้นตลอดสามวัน ไม่มีอะไรคืบหน้า ในเย็นวันสุดท้าย ผมปิดคอมพิวเตอร์ เดินเข้าไปในห้องน้ำและร้องไห้
นาฬิกาบนผนังตีบอกเวลาสองทุ่ม ไม่มีวี่แววว่าจะมีลูกค้าเพิ่ม ผมปิดหน้าจอเวิร์ด ค่ำวันศุกร์หลังฝนตกคงไม่มีใครอยากมานั่งดื่มในร้านกาแฟสักเท่าไรนัก ปิดร้านเร็วขึ้นสักชั่วโมงคงไม่เป็นไร ผมเปิดยูทูบ กดหาเพลงของบาค เดี่ยวไวโอลินหมายเลขสอง คีย์ ดีไมเนอร์ สำนวนฮิลลารี ฮานห์เล่น เพลงยาวประมาณครึ่งชั่วโมง นานพอสำหรับทำความสะอาดและเก็บร้านให้เสร็จ
ผมเดินไปล็อกประตูและพลิกป้ายเป็น ปิด ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าและน้ำยาทำความสะอาด ไล่เช็ดตามโต๊ะทั้งห้าตัวในร้าน ไปจนถึงโต๊ะตัวสุดท้ายที่รับรองลูกค้าชุดเดียวในวันนี้ ผมเลื่อนเก็บเก้าอี้ให้เรียบร้อย และเหลือบเห็นกุญแจร่วงอยู่ตรงซอกเบาะเก้าอี้ที่กรนั่ง โลหะดอกเล็ก ๆ ห้อยคีย์การ์ดแสดงชื่ออาคาร ทว่าก่อนจะเอื้อมไปหยิบ โทรศัพท์มือถือที่เคาน์เตอร์ก็ส่งเสียงอีกครั้ง เป็นสายเรียกเข้าที่ผมตั้งไว้เฉพาะเบอร์เดียว...เบอร์เดียวเท่านั้น
ผมไม่ขยับ ปล่อยให้ทำนองจากเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องหนึ่งดังสวนเสียงไวโอลินจากลำโพงร้าน อารมณ์หลากประดังเหมือนเขบ็ตในซิมโฟนีของบีโธเฟน ผมกลายเป็นวาทยากรในเพลงที่ตัวเองไม่ได้แต่ง ปัญหาคือผมจะเลือกเคาะไม้บาตองจังหวะใด
ริน --- หน้าจอเรืองสว่างบ่งบอกไม่ผิดเพี้ยน
“ฮัลโหล”
เสียงของเธอไม่เปลี่ยนไปเลย เสียงที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติ
“เป็นไงบ้าง สบายดีมั้ย”
ผมเหลือบมองกุญแจที่ยังอยู่บนโซฟา พลางนึกว่าสถานที่หาได้ไม่ยากนัก ทำไมกรถึงไม่เห็นทั้ง ๆ ที่เดินกลับมาอีกรอบ
“สัปดาห์หน้าบริษัทของฉันจัดสัมมนาที่ขอนแก่น เธอพอจะว่างมั้ย เครื่องลงที่นู่นเช้าวันพุธ”
หรือไม่ กุญแจก็ไม่เคยหล่นอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งผมเดินกลับมา
“โอเค ยังไงก็รบกวนทีนะ ถ้าไม่ใช่ธีเราก็ไม่รู้จะโทรหาใครแล้ว”
ผมหายใจสะดุด
“เสียงธีดูแปลก ๆ นะ ยังโกรธอยู่เหรอ”
ผมมองออกไปนอกร้าน ลังเลว่าจะปิดหลอดไฟ Vanitas ดีหรือไม่ บรรดาแมลงเม่ายังคงบินพุ่งใส่หลอดแก้วร้อนอย่างไม่คิดชีวิต ชีวิตของพวกมันดูเบาและไร้ค่าพอๆ กับร่างที่เล็กจ้อย
“ไม่โกรธก็ดีแล้ว เธอคงเข้าใจนะว่าตอนนั้นดันทุรังคบกันไปยังไงก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เธอต้องการเวลาให้ตัวเองนะธี...แต่เธอไม่กล้าบอกฉันตรงๆ”
ผมเอื้อมมือไปหยิบกุญแจจากโซฟาและตัดสินใจเปิดหลอดไฟหน้าร้านทิ้งไว้
“ฉันก็คิดถึงเธอเหมือนกัน”
อย่างน้อยแมลงเม่าพวกนั้นจะได้มีอะไรในชีวิตน้อย ๆ ให้ยึดเหนี่ยวไว้บ้าง
-
TO BE CONTINUED
-
น่าติดตามหลายๆ ฮะ
เป็นฟิคบรรยากาศที่ไล่โทนมาเรื่อยๆ จากเย็นเบากลายเป็นอบอ้าวของฟ้าหลังฝน (และแมลงเม่า)
จุดเด่นยังอยู่ที่การบรรยายเหมือนเดิมฮะ
นอกจากจะบรรยายละเอียดแล้ว ยังมีความเป็นไปที่สมจริงอะ สมจริงเหมือนเอาวิดีโอมาฉาย แต่ฉายผ่านตัวอักษรเลย แถมภาษาก็ยังสวย ชอบ personification ที่ใช้มากๆเลยฮะ ;-;
ส่วนเนื้อเรื่องถึงจะแย้มๆออกมาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง อันนี้ก็ยังเม้นไม่ถูก ไม่กล้าคาดเดา แต่ดูหนักหนาอะ 5555555555 บรรยายกรซะน่ากลัวเชียว
ชอบการเปรียบ-บรรยายแมลงเม่าบินเข้ากองไฟมากๆ คิดอยู่ว่ามันสื่อถึงการกระทำของใครรึเปล่า ไม่ธีก็กร ไม่ก็หญิงสาวทั้งหลายที่เข้ามาหาธี #หืม
รอติดตามนะฮะ (ถ้าได้ตาม T_T)
เป็นกำลังใจให้ ครั้งนี้รู้สึกว่างานพี่อ่านง่ายขึ้น หรืออาจจะเป็นเพราะไม่ได้อ่านนานก็ไม่รู้
ยังเป็นความเนื้อหาหนักหน่วงเหมือนเดิม แต่มันรู้สึกเบาแล้วก็แฮปปี้ไปกับตัวอักษร
ในส่วนของการขายของนั้น
เต็มเม็ดเต็มเหนี่ยว 5555555555555555555555555555555
ถ้าตามไปอ่านจะช่วยให้คาดเดาเนื้อเรื่อง หรือลักษณะตัวละครได้มากขึ้นรึเปล่านะ ?
แต่ชอบมากฮะ เป็นการ tie in ที่ดีงาม
อันนี้เหมือนมีส่วนผิดพลาดเล็กน้อยนะฮะ ยกมาให้เผื่อจะได้แก้ไข /)__(\
- "ให้ผมไปส่งไหมครับ วันนี้ผมขับรถมา กรเอ่ยขณะเดินตามมาเรียไปยังประตูหน้า"
(เหมือนวาง "" ไว้ผิดจุดฮะ)
แค่นี้แหละฮะ เหมือนเจอคำผิดบ้างประปราย แต่ย้อนไปหาก็หาไม่เจอแล้ว ;_;
ขอบคุณทำหรับฟิคดีๆค่ะ (_/\_)