ห้องนอนไม่เคยโดดเดี่ยวอย่างนี้
พีทย้ายเข้ามาในห้องเดี่ยวตั้งแต่ประถม ป๊าอยากให้เขาฝึกนอนคนเดียว อยู่คนเดียวให้ชิน
‘ยังไงเดี๋ยวก็ไปเรียนต่ออยู่แล้ว’ ป๊าเคยพูดไว้ ‘ไม่ฝึกตอนนี้แล้วจะฝึกตอนไหน’
เป็นวิธี ‘แยกห้องเลี้ยงลูก’ สไตล์ฝรั่งที่ม๊าเคยค้านหัวชนฝาเลยทีเดียว
คืนแรกๆ ความมืด ความอ้างว้างของเตียงเดี่ยวในห้องใหญ่ทำเขากลัว เด็กชายตัวเล็ก ผอมกะหร่องนอนขดตัวในผ้าห่มหนา เป็นดักแด้ที่ไม่ยอมคลายสลายตัวจนแสงแรกของเช้าแยงตา
เสียงแอร์คำรามเบาๆตอนหัวค่ำเป็นแบคดร็อปของความนิ่งของห้อง
เขายังคงนอนตาค้าง มือสอดมือ แนบไว้กับอก นอนนิ่งสนิทเงียบงันอยู่คนเดียว
หลายปีผ่านไป เขาก็ยังสลัดความเหงาลึกๆนั้นไม่หายอยู่ดี
ถามว่าอยู่คนเดียวได้ไหม อยู่ได้ แต่เมื่อปิดประตู กดล๊อคที่ลูกบิด ดับไฟ แล้วจมดิ่งอยู่กับความคิดของตัวเองในความมืด เขากลับรู้สึกกลัว
ความทรงจำครั้งที่เขาไปค้างบ้านเฮียอี้ชักจะเลือนลาง แต่พีทพอจะวาดภาพออกถึงเด็กชายสามคน ที่รีบวิ่งมาทับโถมร่างสูงของอาเฮียคนโตบนฟูกใหญ่ที่พื้น
เขายืนมองอยู่ห่างๆ ตาตี่สองข้างกระพริบปริบๆ กอดหมอนข้างไว้กับตัว แล้วความคิดสีหม่นก็แวบเข้ามาในหัว:
เขาไม่มีวันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนั้นที่แท้จริง
เรียกว่าญาติ ก็ใช่ แต่ไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดที่แนบแน่นขนาดนั้น เขาไม่มีสถานะ ไม่ได้เป็น ‘น้องชาย’ ที่เฮียจะมารักมาหวงและห่วงใยเท่าน้องชายตัวเอง
ก็เป็นแค่ลูกพี่ลูกน้อง คนที่สนิทเพราะอายุไล่เลี่ยกับเฮีย แต่เขามีครอบครัวของเขาเอง มีบ้านของเขาเอง มีป๊าม๊าที่เทความรักความใส่ใจมากองไว้ที่เขาคนเดียว
คำว่า ‘ลูก’ นั้นเล็กและเบาหวิวใน ‘ลูกคนเดียว’ หากคำว่า ‘คนเดียว’ นั้นยิ่งใหญ่ โดดเดี่ยว และหนักอึ้งนัก
ความคิดวิ่งวนในหัวเขาเหมือนชิ้นจิ๊กซอว์ที่หลงมาผิดกล่อง
จะเร่งหาคำตอบ ก็หาไม่ได้
จะเค้นตัวเองให้ตัดสินใจอะไรอย่างหนึ่ง ก็ไม่มีหลักฐาน ข้อมูล หรือเวลาเพียงพอ
จะหยุดเวลา หนีปัญหา หลีกเลี่ยงสิ่งที่ต้องทำ มันก็ไม่ใช่เขา
นี่คือสัญญาที่เขาให้กับม๊า
นี่คือความจริง ที่เขาจะเสาะหาให้เสมือนเป็นสิ่งสุดท้ายที่ทำให้ป๊า
แต่นี่คือคำถามที่เขาไม่อาจตอบได้ภายในชั่วข้ามคืน
พีทลุกจากเตียงไปหยิบมือถือป๊า
หัวคิดย้อนไปถึง ‘น้องชาย’ คนที่เขา ‘ได้มา’ อย่างงงๆ สายเลือดต่างแม่ที่เรียกเขาว่า ‘พี่’ ในสองสามครั้งที่เจอกัน
เด็กหนุ่มร่างโปร่งที่ไม่เคยไม่สวมเสื้อลายฮาวาย กับจี้รูปยานบินแปลกตา และผมยาวข้างหนึ่งที่มักปรกตาอยู่เสมอ
เสียงขวางโลกที่กล่าวคำสุภาพทั้งขอร้องและขอบคุณเขาอย่างไม่เคอะเขิน
ฝากรูปให้แม่ดูด้วย เขาพิมพ์บนมือถือของคนที่จากไป นิ้วนิ่งกว่าที่คิด
อาจเป็นเพราะกำลังทำอะไรสักอย่างให้อีกฝ่ายอุ่นใจละมั้ง เขามองนิภา แล้วก็ไม่อาจนึกภาพนางในฐานะคนที่จะฆาตกรรมชายคนรักได้ลงคอ
แล้วยังเจ้าเด็กฉีนั่นอีก
‘แม่ยังไม่รู้เรื่องพ่อ’ เขาจำเสียงตึงๆ นั้นได้แม่น ตาทั้งสองออกร้อนรนกระวนกระวาย เจือความเป็นห่วงมารดาตัวเองอย่างเห็นได้ชัด
‘พี่อย่าบอกแม่นะ’
เขาต่อสายไปหาฉีหลังส่งรูปและพิมพ์ข้อความเสร็จ
เสียงเดิมรับสาย รอฟังเขาอธิบาย
คงโทนน้ำเสียงได้เสมอต้นเสมอปลายจนแปลกใจตัวเอง
“ขอบคุณครับ”
เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสถึงไออุ่นในเสียงของอีกฝ่าย ความนุ่มนวล โอนอ่อนของเด็กหนุ่มที่อยู่กับแม่เพียงลำพัง ...เหมือนเขาตอนนี้
ความอ่อนโยนที่แทบละลายใจบางๆของเขาไปหมด
“โอเค”
เขาตอบรับสั้นๆ ก่อนวางสาย
แม้เพิ่งรู้จักกัน ความสุภาพที่ขัดกับภาพลักษณ์ของเด็กหนุ่มกลับทำให้ฉีแทรกซึมเข้าความคิดและความทรงจำของเขาอย่างง่ายดาย
เขามีน้องชายแล้วสินะ
ถึงจะท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ก็เหอะ
เขามีน้องชายที่น่ารักคนหนึ่งแล้ว.
xxxxx
จากใจลูกคนเดียวที่ขอหยุดความคิดมากของตัวเองไว้ชั่วคราวค่ะ
ตอนหน้าน่าจะเป็นฉากผลไม้จากมุมมองฉี
ขอบคุณที่สนใจ อ่าน และรีวิวนะคะ
ชอบไม่ชอบยังไงความคิดเห็นและทุกกำลังใจของคุณมีค่าเสมอ
x
ข้าวเอง.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in