เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
like a shooting stargiftmeme
meteor shower
  • ปีสอง,




    "คาเครุ มีที่ที่อยากให้ไปด้วยกันหน่อย"

    เมื่อเดือนก่อน หลังจากเลื่อนประตูห้องพักมาเจอสีหน้าแจ่มใสของไฮจิในเช้าวันหนึ่ง คาเครุก็ถูกจู่โจมด้วยประโยคกึ่งบอกเล่ากึ่งคำสั่งที่ว่านั่นทันที เขากลับหลังหัน เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า ก่อนจะหยิบเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งที่มักใส่คลุมเสื้อยืดอีกทีติดมือมาด้วย แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่งุนงงกับการตอบรับโดยไร้คำพูดนั่นคือตัวไฮจิเอง คนเป็นรุ่นพี่ถึงกับอุทานว่า "เอ๊ะ" เบา ๆ เมื่อเห็นว่าเขาเตรียมตัวพร้อมออกไปข้างนอกเสร็จสรรพ ท่าทางเช่นนั้นมีแต่ทำให้คาเครุสับสนยิ่งกว่าจนพาลคิดว่าตัวเองเผลอทำอะไรผิดไป หลังก้มไปสำรวจให้แน่ใจแล้วว่าไม่ได้ลืมรูดซิปกางเกงหรือใส่เสื้อกลับด้าน เขาก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาไฮจิที่ตอนนี้เปลี่ยนมาฉีกยิ้มกว้าง ยอมรับว่าตามอารมณ์คนตรงหน้าไม่ทันสักนิด จนกระทั่งอีกฝ่ายต้องเฉลยให้ฟังว่า "ไม่ใช่ตอนนี้หรอกน่า คาเครุไม่เปิดโอกาสให้ฉันถามว่า 'ได้ไหม' ด้วยซ้ำนะนี่" พร้อมส่ายหน้าราวกับว่านั่นเป็นความผิดของเขาอย่างไรอย่างนั้น

    และเพราะว่าคาเครุตอบรับคำขอก่อนที่ไฮจิจะเอ่ยปาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ตัวเขาเมื่อปีกลายไม่มีวันจินตนาการออก เด็กหนุ่มจึงมาลงเอยอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับอีกครั้ง เพียงแต่รถที่โดยสารไปคราวนี้ไม่ใช่รถตู้สีขาวของชมรม แม้ว่าไฮจิจะยังทำหน้าที่โค้ชและผู้จัดการหอพักอย่างแข็งขันหลังเรียนจบอยู่เหมือนเคยก็ตาม นอกจากนี้ยังไม่มีสมาชิกคนอื่น ๆ ติดสอยห้อยตามอยู่ข้างหลัง ไม่ใช่เพราะที่นั่งภายในรถจี๊ปที่ไฮจิอ้างว่ายืมเพื่อนมาจะไม่พอรองรับคนในทีมที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเท่านั้น แต่คาเครุก็เพิ่งรู้ในเย็นวันเดินทางเองว่าไฮจิไม่ได้แจ้งเรื่องนี้กับสมาชิกดั้งเดิมด้วยซ้ำ ตอนที่ฝาแฝดถามว่าพวกเขาจะไปชิซุโอกะกันทำไม รุ่นพี่ที่ขณะนี้กลายเป็นศิษย์เก่ากิตติมศักดิ์ชิงตอบว่า "ไปสำรวจที่จัดค่ายฝึกฤดูร้อน" หน้าตาเฉย ก่อนจะรุนหลังคาเครุขึ้นรถไป ไม่สนใจเสียงประท้วงของสองพี่น้องที่ไล่หลังมาแม้แต่น้อย 

    ถึงไฮจิจะไม่ได้ขับรถเหมือนคนชอบท้าความตายแล้ว แต่คาเครุก็ยังอดขมวดคิ้วไม่ได้ เขาเห็นหน้าตามู่ทู่ของตัวเองสะท้อนบนกระจกที่อาบแสงยามโพล้เพล้ของหน้าร้อน ไม่แน่ใจว่าเพราะไฮจิต้องการสมาธิแรงกล้าในการขับรถให้ดีหรืออย่างไร แต่ในรถมีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศและเครื่องยนต์คำรามต่ำ ๆ เท่านั้น จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงปิดสวิตช์ที่ทำให้ทุกอย่างเงียบสนิทและคนข้าง ๆ ที่เอ่ยขึ้นมาว่า "เปิดกระจกรับลมหน่อยดีไหม คาเครุ" อย่างนุ่มนวลตามแบบฉบับของตัวเอง แน่นอนว่ามือของคนอ่อนวัยกว่าเลื่อนไปทำตามคำแนะนำที่ว่านั่นเร็วกว่าสมองจะทันคิดอีกเช่นเคย

    คาเครุยังไม่ทันสบถ "บ้าเอ๊ย" เพื่อตำหนิอาการไร้ความยับยั้งชั่งใจ สายลมเย็นที่หายากยิ่งในเมืองใหญ่ก็ปะทะเข้ากับใบหน้าและเรือนผมหนาของเขาโดยไม่ทันตั้งตัว ในเมื่ออยู่บนทางด่วนที่แสนปลอดโปร่ง ดูเหมือนว่าไฮจิจะนึกครึ้มใจเร่งความเร็วมากขึ้นอีกจนคาเครุต้องหันมาอ้าปากพะงาบ ๆ ใส่ ถึงสายตาจะจับจ้องไปข้างหน้าอย่างที่คนขับผู้รอบคอบควรทำ แต่อีกฝ่ายก็ยังยิ้มกว้างราวกับมองเห็นมองเส้นผมลู่ลมจนไม่เป็นทรงของคาเครุอยู่นั่นเอง เขาลูบผมลงป้อย ๆ ก่อนจะเงี่ยหูฟังเสียงจักจั่นที่แว่วมาจากไกล ๆ

    "เมื่อกี้สงสัยสินะ" ไฮจิเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง "เรื่องสำรวจสถานที่ฝึกฤดูร้อนน่ะ"

    "แค่ไม่แน่ใจครับ ว่าทำไมไฮจิซังถึงไม่บอกไปตรง ๆ" บางครั้งคาเครุก็นึกฉงนกับทักษะในการจับสังเกตของรุ่นพี่ ราวกับว่าคนรอบข้างเป็นตัวหนังสือบนป้ายที่ไฮจิเผลออ่านระหว่างทางโดยไม่ตั้งใจ แต่แท้จริงแล้วทุกสิ่งล้วนผ่านเข้าไปในสำนึกของคนคนนี้ไม่มีตกหล่น ใต้สายตาเป็นประกายที่ไม่เคยแฝงความมุ่งร้าย ต่อหน้ารอยยิ้มที่ไม่เคยเย้ยหยันใคร จากนั้นก็ตามมาด้วยการปลอบโยนที่ต้องอาศัยเวลาถึงจะรู้ว่านั่นคือความห่วงใยอย่างแท้จริง เหมือนนมร้อนแก้วนั้นที่กระท่อมพักแรมเมื่อปีก่อน คาเครุยังจดจำเงารางของความร้อนบนแก้วเซรามิกใบนั้นได้ดีราวกับมันถูกประทับไว้บนฝ่ามือของเขา

    "ก็ฉันเป็นคนเห็นแก่ตัวนี่นา" คำอธิบายของไฮจิฟังดูระรื่นเหมือนสายลมนอกตัวรถ "ถ้าการพูดความจริงครึ่งเดียวไม่ต่างจากการโกหก แบบนั้นฉันก็โกหกทั้งคาเครุ ทั้งคนที่อาโอตาเกะนั่นแหละ เพราะฉันตั้งใจไปหาที่ดี ๆ ให้ทุกคนซ้อมจริง ๆ แต่ในขณะเดียวกันก็อยากพาเธอไปที่นั่นด้วย"

    "เกือบลืมไปว่าคุณคือคนที่เคยหลอกคนไม่รู้อีโหน่เก้าคนมาวิ่งมาราธอน" คาเครุถอนใจเฮือกใหญ่ "คิดจะใช้ความเห็นกับประสบการณ์ของผมให้ประโยชน์สินะครับ"

    เขารู้สึกว่ารถแล่นช้าลงเล็กน้อย ด้วยความเร็วราวกับจะวิ่งเคียงข้างพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า คาเครุเอียงศีรษะพิงกรอบหน้าต่าง หลับตาและปล่อยให้แสงสีทองแตะลงบนหน้าผากและแก้ม ไอร้อนระเหยหายไปกับลมแรง

    "เป็นเพราะคาเครุนั่นแหละ"

    "อะไรนะครับ"

    "เราไปที่นั่นกันเพราะเธอ เรื่องวิ่งมาทีหลัง เพราะงั้นฉันถึงบอกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวไงล่ะ"

    ความมืดโรยตัวลงมาแทนที่แสงสว่างอย่างแช่มช้า แต่คาเครุยังรู้สึกถึงไอแดดบนใบหน้าไม่เปลี่ยน นอกจากจะจนคำพูดโต้ตอบแล้วก็ยังไม่กล้าหันไปลอบมองสีหน้าของที่พูดจาแบบนั้นออกมาดื้อ ๆ เขาจึงได้แต่กดปิดกระจกเพื่อกันแมลงเข้ามาในรถ ก่อนจะรู้สึกขอบคุณเมื่อไฮจิเลี้ยวรถเข้าไปยังร้านอาหารและมองดูเขาบีบมายองเนสลงบนข้าวห่อไข่ด้วยท่าทางชอบใจเหมือนเดิม 






    เสียงคลื่น นั่นคือสิ่งแรกที่คาเครุได้ยินหลังจากขยับเปลือกตาที่หนักอึ้งมาตั้งแต่อิ่มมื้อเย็น เมื่อไฮจิดับเครื่องยนต์ เขาก็ยิ่งได้ยินมันชัดเจนขึ้นพร้อม ๆ กับกลิ่นทะเลที่มาพร้อมลมเย็นยามค่ำคืน ตอนแรกเด็กหนุ่มคิดว่าไฮจิิน่าจะเลือกเนินเขาสักลูกเหมือนหน้าร้อนปีที่แล้ว หรืออาจจะชวนเดินเท้าขึ้นภูเขาตามประสามนุษย์ใจเย็นที่คาดเดาไม่ได้ แต่เมื่อก้าวลงจากรถและเดินเลียบชายหาดที่ทอดยาวอยู่เบื้องหน้า เขาก็เข้าใจทันทีว่าทำไมถึงต้องเป็นที่นี่ ผืนทะเลในความมืดดูเหมือนน้ำหมึกดำที่เรื่อแสงพระจันทร์เสี้ยว ตรงขอบฟ้าเห็นไฟจิ๋วที่น่าจะมาจากสะพานหรือไม่ก็เรือลำใหญ่สลับกับเกาะหินที่โผล่ขึ้นมาประปราย เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองบนฟ้า คำตอบก็ถูกเขียนไว้บนนั้นอย่างหมดจด บนดวงดาวที่กระจัดกระจายตรงโน้นตรงนี้ บ้างอยู่ใกล้ บ้างไกลห่าง เขารู้สึกได้ว่าไฮจิที่ขยับมายืนข้าง ๆ หายใจเข้าออกจนสุดปอดและน่าจะมีรอยยิ้มปนออกมาด้วย

    "รออีกเดี๋ยวน่าจะเห็นดาวมากกว่านี้อีก" ไฮจิว่าพลางยืดแขนไล่ความเมื่อยล้าไปมา "ลองเดินเล่นบนหาดกันดีไหม"

    คาเครุถอดรองเท้าก่อนจะก้าวลงไปบนทรายที่ทั้งชื้นและนุ่ม ขอบโค้งของชายหาดที่เป็นไปตามภูมิประเทศและกระแสคลื่นทำให้เขานึกถึงลู่วิ่งอย่างบอกไม่ถูก แต่เมื่อมีไฮจิอยู่ข้าง ๆ แล้ว การออกวิ่งไปอย่างบ้าคลั่งในเวลานี้ดูจะเป็นเรื่องสิ้นคิดโดยสิ้นเชิง ถึงรุ่นพี่จะเอ่ยปากให้ลองวิ่งยืดเส้นยืดสายได้ก็ตาม คาเครุส่ายหน้า อ้างว่าพวกเขาจะทำให้คนอื่น ๆ ที่มาปักหลักดูดาวตกอกตกใจเปล่า ๆ อย่างน้อยไฮจิก็เห็นด้วยในเรื่องนั้น พวกเขาจึงแค่เดินย่ำทรายไปเรื่อย เอาเท้าลุยน้ำตื้น ๆ แล้วกระโดดโลดเต้นเข้าฝั่งเพราะความเย็น ก่อนจะเดินหัวเราะอย่างไม่มีสาเหตุกลับมายังม้านั่งไม้ใกล้ ๆ กับที่จอดรถ เพราะพวกเขาไม่สนใจทั้งระยะทางและระยะเวลาบนนาฬิกาข้อมือ พอได้มองทิวทัศน์ตรงหน้าอีกครั้ง ดาวดวงเล็กดวงน้อยก็ดูพร่างพราวเต็มฟ้าเหมือนกากเพชรระยิบระยับบนการ์ดแสดงความยินดีแล้ว

    "ไฮจิซัง"

    "หือ"

    "ทำไมถึงต้องเป็นฝนดาวตกเหรอครับ"

    คนถูกถามทำเสียงครุ่นคิดในคออยู่พักหนึ่ง ก่อนตอบว่า "เพราะฉันเป็นคนช่างฝันและจอมวางแผนน่ะสิ"

    คาเครุมองใบหน้าคมคายด้านข้างของไฮจิซึ่งยังคงไม่ละสายตาจากท้องฟ้าเหนือทะเล ท่ามกลางแสงอันน้อยนิดก็ยังเห็นประกายคมปลาบในดวงตาที่ไม่เคยบ่งบอกว่าล้อเล่น ไม่ว่าคำพูดนั้นจะเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยอารมณ์ขันหรืออัธยาศัยอันดีแค่ไหนก็ตาม หากเป็นเวลาอื่น เขาคงปล่อยคำตอบที่ไม่เคยให้ความกระจ่างนั่นไปเหมือนทุกครั้ง ไม่ใช่เพราะไฮจิเก็บงำคำตอบตรงไปตรงมาไว้กับตัวคนเดียว แต่คาเครุเองก็เก็บงำคำถามที่ถูกต้องไว้เช่นกัน 

    "ทำไมถึงเป็นผมล่ะ"

    "เพราะฉันเป็นคนช่างฝันและจอมวางแผนอีกเหมือนกัน"

    "งั้นทำไมถึงต้องเป็นตอนนี้"

    "เพราะฉันเป็นคนช่างฝัน —"

    "ไฮจิซัง!"

    ก่อนที่คาเครุจะทันได้โวยจอมเจ้าเล่ห์ข้างตัวต่อสักยก อีกฝ่ายก็กระตุกแขนเสื้อเขายกใหญ่โดยไม่หันมามอง แต่ชี้นิ้วไปบนฟ้าพลางร้องลั่นว่า "นั่นไง คาเครุ ดาวตก!" ไม่ต่างจากตอนตะโกนเชียร์นักกรีฑาวิ่งเข้าเส้นชัยสักนิด

    เส้นสีขาวเรียวเล็กเหมือนเข็มเล่มจิ๋วพุ่งผ่านหมู่ดาวที่ดารดาษเป็นพื้นหลังก่อนจะหายลับไปในพริบตา ไฮจิหันกลับมาขำยกเสียยกใหญ่เมื่อเห็นว่าคาเครุอ้าปากค้าง นั่นเป็นดาวตกดวงแรกในชีวิตของเขา จู่ ๆ เด็กหนุ่มก็นึกถึงเรื่องที่เล่าต่อ ๆ กันมาแล้วทำหน้าเลิ่กลั่กใส่คนโตกว่า

    "เมื่อกี้นี้ เราต้องอธิษฐานหรือเปล่าครับ"

    ทุกครั้ง ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ คาเครุชอบเวลาที่ตัวเองเรียกสีหน้าประหลาดใจของคนโตกว่าให้ปรากฏออกมาได้ มันช่วยคลายความตื่นเต้นก่อนหน้านี้ให้เขา แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ตื่นเต้นไปอีกแบบ ตามมาด้วยความรู้สึกวิงเวียนโดยที่ชินโดซังไม่จำเป็นต้องยัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใส่มือให้ ขอแค่เขาได้อยู่ใกล้ไฮจินานพอก็เท่านั้น

    "คาเครุเชื่อเรื่องนั้นด้วยเหรอ" 

    "ไม่รู้สิครับ" เขาตอบตามความจริง แต่อีกใจหนึ่งก็เสียดาย "แค่ลองดูไม่น่าเป็นไร"

    ไฮจิกอดอกแล้วทำเสียงเหมือนใช้ความคิดอีกครั้ง คาเครุหันไปสนใจท้องฟ้า จับตามองอย่างแน่วแน่เพราะไม่อยากพลาดดาวตกดวงที่สองไป แม้จะไม่มั่นใจนักว่าค่ำคืนนี้พวกเขาจะมีโอกาสได้เห็นอีกมากเท่าใด แต่ถ้าเป็นเรื่องความอดทนก็คงไม่ใช่ปัญหา ตอนนี้เขาไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไปแล้ว

    "จะว่าจริงก็ไม่เชิงนะ" อยู่ ๆ ไฮจิก็เอ่ยขึ้น "เรื่องพรดาวตกน่ะ"

    "ทำไมล่ะครับ"

    "ฉันเฝ้าอธิษฐานอยู่นานก่อนจะทันได้เห็นดาวตก และพอดาวดวงนั้นปรากฏ คำอธิษฐานของฉันก็กลายเป็นจริงขึ้นมาทันที" 

    เช่นเดียวกับเรื่องบังเอิญทั้งหลายในโลกนี้ ดาวตกอีกดวงพุ่งผ่านไปก่อนที่คาเครุจะได้ขอคำอธิบายเพิ่มเติมจากอีกฝ่าย เขารีบยกมือขึ้นมาประสานกันแล้วหลับตา พยายามนึกถึงความปรารถนาที่ต้องการให้เป็นจริง หลายเรื่องผุดขึ้นมาในห้วงความคิด แต่ทั้งหมดทั้งมวลล้วนยังไม่เข้าท่า ในเมื่อการขอตัวช่วยจากสิ่งที่เลือนลับจากโลกนี้ไปในเสี้ยววินาทีฟังดูไม่สมเหตุสมผลและคงเป็นการดูหมิ่นคนที่อยู่ข้าง ๆ อย่างร้ายกาจ สุดท้ายเด็กหนุ่มจึงลืมตาขึ้นพร้อมกับถอนหายใจยาว

    เมื่อหันไป คาเครุพบว่าไฮจิมองดูเขาอยู่แล้ว

    "หมายความว่าไงนะครับ"

    "จะว่าไป ได้ตั้งใจมองดาวดวงเมื่อกี้หรือเปล่า"

    แม้ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมตนถึงเป็นฝ่ายโดนถามกลับ แต่เด็กหนุ่มก็พยักหน้ารับ

    "เวลาวิ่ง คาเครุก็เป็นแบบนั้นแหละ" กลายเป็นไฮจิเองที่เอนตัวไปข้างหลังโดยใช้แขนสองข้างยันม้านั่งไว้ สีหน้าเหมือนตอนดูดาวบนระเบียงบ้านพักและบอกว่าท้องฟ้าในคืนนั้นช่างงดงาม "ที่ต้องเป็นฝนดาวตก ต้องเป็นเธอ ต้องเป็นตอนนี้ ทั้งหมดก็เพราะฉันอยากบอกเรื่องนี้ให้เธอรู้ สมเป็นคนช่างฝันและจอมวางแผนดีหรือยังล่ะ"

    คาเครุรู้สึกว่าหัวใจคนเราก็สะดุดจนซวนเซได้เหมือนเวลาวิ่งแล้วเจอสิ่งไม่คาดคิดระหว่างทาง แต่ก่อนสิ่งสิ่งนั้นยังไม่มีรูปร่าง เป็นเพียงความคลุมเครือที่วิ่งฝ่าไปได้โดยแทบไม่รู้สึก หาไม่แล้วก็อ้อมไปใช้ลู่นอกเอาตามความเหมาะสม ทว่าการเจอมันตระหง่านอยู่ตรงหน้าจัง ๆ นั้นชวนให้สั่นสะท้าน ทั้งที่การลองกระโดดข้ามไปดูไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงอะไร แต่เรื่องของเรื่องคือ ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเท้าแตะพื้นอีกครั้ง


    "ว่าแต่เมื่อกี้อธิษฐานอะไรเหรอ" ไฮจิเหยียดหลังตรงอีกครั้ง ก่อนจะเหวี่ยงแขนมาคล้องคอเหมือนที่ชอบทำเวลาเค้นความลับอะไรสักอย่างจากเขา 

    "เปล่าครับ"

    "โกหกน่า"

    "แค่คิดว่าไม่จำเป็นต้องขอพรแล้วก็ได้"

    "ได้ยังไงกัน"

    ไฮจิคงยังไม่ทราบถึงการตัดสินใจเงียบ ๆ ของเขา วันนี้คาเครุเลือกออกจากการแข่งขันโดยวิ่งลัดสนาม แค่จินตนาการว่าตัวเองลองทำแบบนั้นในชีวิตจริง เขาก็แทบกลั้นยิ้มไม่อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไฮจิแกล้งทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจใส่แบบนั้น

    "ไว้ผมจะบอก" เขาสัญญา "จะบอกแน่ ๆ ครับ เหมือนที่ไฮจิซังบอกวันนี้"

    "นี่เธอก็จะเป็นคนช่างฝันและจอมวางแผนเหรอ"

    "ไม่ไหวหรอกครับ เรื่องนั้นสู้คุณได้ที่ไหน"

    "หน็อยแน่"


    ท่ามกลางเสียงโหวกเหวก ต่อล้อต่อเถียง และหัวเราะลั่น พวกเขาพลาดสังเกตการณ์ดาวตกดวงถัดไป แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรในค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาวนับไม่ถ้วนและคำอธิษฐานที่กลายเป็นจริงเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in