เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I<Ethiopia>U : มี<เอธิโอเปีย>ระหว่างเราArmmie Born TobeBrave
บทที่ 20 < สุ่ปากปล่องประตูนรก>
  • เมื่อสิ้นแสงดวงอาทิตย์สุดท้าย

    พวกเราถูกเรียกให้ไปทานอาหารเย็นมื้อสุดท้าย

    ในหมู่บ้านชุมชนมนุษย์แห่งสุดท้าย

    ก่อนที่จะออกเดินทางครั้งสุดท้าย


    แหมะ

    บรรยากาศตอนนั้นมันดึงไปให้คิดถึงคำว่า “สุดท้าย”  อย่างน่าประหลาด

    ไม่ได้เว่อร์นะคะ ทุกคนดูเหมือนจะทำให้รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

    ตั้งแต่การเตรียมร่างกายและอุปกรณ์ที่ดูพร้อมเกินปกติของเหล่าหมอชาวอเมริกัน ดิฉันสาบานว่าเห็นคนนึงในนั้นสะพายกระเป๋ายาไปด้วย

    เจ๊เจนและทากะซังเองก็รื้อกระเป๋า เอาอุปกรณ์ กล้องเอย เสื้อผ้าเอย ออกมาเลือกอีกครั้งว่าจะเอาอะไรขึ้นไปบ้าง

    พี่ๆไกด์เองก็ตรวจเชคสัมพาระที่อยู่บนหลังอูฐรอบแล้วรอบเล่า

    พี่ๆตำรวจก็เชคอุปกรณ์ ปืนผาหน้าไม้ อย่างพร้อมเพรียง

    เหมือนว่าทุกคนกำลังเตรียมตัว ออกเดินทางไปเจออันตรายครั้งยิ่งใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้า

    เราเดินตามก้นอูฐไปช้าๆ


    ตอนแรกดิฉันก็ไม่ได้อะไร

    จนตอนที่เราจะออกเดินทาง

     พี่คนรถทุกคนเรียงแถว จับมือล่ำลาพวกเราทีละคน ทุกคนอวยพรให้เรา “กลับมาหาเขาอย่างปลอดภัย”

    เอ๊ะ !! นี่มันอันตรายเบอร์นั้นเลยเหรอ 

    ดิฉันเริ่มรู้สึกไม่สบายใจเลย


    ก่อนที่จะเดินขึ้น 

    พวกเราทุกคนถูกเรียกไปประชุมเพื่อแจ้งกฏอยู่สองสามข้อสำหรับการเดินขึ้น Erta Ale 

     1. คือทุกคนต้องใส่รองเท้าผ้าใบ หรือรองเท้าอะไรก็ได้ที่ปกป้องเท้ามิดชิด เพราะทางเดินบางจุดอาจเปราะบางและบาดเท้าเราได้รับอันตรายได้

    2. มีน้ำให้คนละสองขวดใหญ่เท่านั้น บริหารจัดการให้ดีไม่มีแจกอีก ไม่มีการขอเพิ่มระหว่างทาง

    3. ห้ามเดินออกนอกเส้นทาง ถ้าออกนอกเส้นทางโดยไม่บอก ตำรวจจะไม่รับรองความปลอดภัยไม่ว่าในกรณีใดๆ

    4.  ห้ามถ่ายรูปโดยใช้แฟลช เพราะจะทำให้อูฐตกใจ (และอาจดึงดูดความสนใจ ให้กระสุนลอยปลิวมาตามลมได้ )


    ทุกคนมีสิทธิเลือกว่าจะ ขอบริการอูฐขี่ขึ้นไปรึเปล่า ถ้าใครไม่ไหวสามารถจ้างอูฐได้ ในราคา 600birr 

    ซึ่งเจ๊อเมริกันคนนึงขอใช้สิทธินั้นเพราะเจ๊ดูจะป่วยตั้งแต่ทะสาป Dallo  แล้ว 

    ส่วนเจ๊ที่มาจากไต้หวันอีกกรุปก็ถูกบังคับให้ต้องเช่าอูฐ เพราะเจ๊ไม่ได้เตรียมรองเท้าผ้าใบมา 

    ฟังดูเหมือนจะสบายนะคะ  เดินทางแบบสวยๆเป็นราชินีทะเลทรายบนหลังอูฐ

    แต่เราทุกคน และแม้แต่เจ๊สองคนนั้นต่างรู้ดีว่า อูฐไม่ได้แฮปปี้เท่าไหร่นัก เวลามีคนน้ำหนักเยอะๆไปขี่บนหลังมัน

    อูฐตัวของเจ๊อเมริกันร้องโหยหวนทีเดียวตอนถูกบังคับให้ลุกขึ้น ตอนมีน้ำหนักเจ๊อเมริกันอยู่บนหลัง

    ส่วนอูฐตัวของเจ๊ไต้หวัน นิ่งอยู่นานไม่ยอมลุก ไม่ว่าจะบังคับมันยังไงมันก็ไม่ยอมลุก หรือลุกแล้วก็ไม่ยอมเดิน  แถมระหว่างทาง มันก็หยุดและทิ้งตัวลงนั่ง


     “สาวคิดบวก” อาจจะคิดไม่บวกนัก กับมนุษย์น้ำหนักมากกว่า 60  กิโลที่อยู่บนหลังมันเดินขึ้นทางชันของภูเขาไฟ 

    โดยส่วนตัวแล้ว ถ้าเดินได้เดินเถอะค่ะ รู้สึกดีกว่าขี่อูฐจริงๆ 


    “ 38   องศา ฉันถามคนรถก่อนที่เราจะเดินขึ้นมา”

     ขอบคุณค่ะเจ๊เจน เจ๊ทำหน้าที่ไม่ขาดตกบกพร่องเลย

    ดิฉันค่อนข้างโอเคนะคะในทางเดินช่วงแรก

    ที่ยังเป็นเหมือนทะเลทรายระหวางภูเขาไฟอยู่

    ก่อนที่จะค่อยๆไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ จากทรายก็กลายเป็นหินขรุขระ

    ดิฉันค่อนข้างสัมผัสได้ชัดเจนทีเดียวว่า พวกไกด์และตำรวจจะตึงเครียดขึ้นมาทันที เวลามีใครสักคนทำท่าจะเดินออกนอกเส้นทาง

    อากาศที่ยังร้อนทำให้เหงื่อดิฉันแตกเต็มตัว 

    ยิ่งเวลาที่ต้องเดินขึ้นทางชันๆ หัวใจของดิฉันก็เต้นแรงขึ้นมา ยิ่งขับเหงื่อให้แตกหนักเข้าไปอีก

    สำหรับทางเดินช่วงแรก สิ่งที่รบกวนจิตใจของดิฉันอย่างเดียวนั่นคือการเดินตามหลังอูฐ

    อูฐพวกนี้ เวลาเดินขึ้นทางชันหน่อย มันจะขับความดันออกมาในรูปของตด

    แรกๆดิฉันนึกว่า ตัวเองคิดไปเอง แต่พอเดินนานเข้า ดิฉันได้ยินเสียงปู๊ดเบาๆออกมาจากตูดของอูฐจริงๆ 

    พยายามหลบ แต่มันก็ทิ้งอาวุธชีวภาพที่เป็นของเหลว และระเบิดก้อนออกมาตามทาง 

    ฉี่อูฐก็คือแอมโมเนียดีดีนั้นเอง มันฉุนและเหม็นเอามากๆ กลิ่นนั่นทำให้ดิฉันเวียนหัว


    ก่อนที่จะเดินขึ้นทางชันสุดๆ

    อยู่ดีๆ อูฐของเจ๊ไต้หวันก็ทรุดลงนั่งไม่ยอมเดิน 

    พวกเราเลยต้องพักกันสักแปปนึง ให้อูฐได้พัก

    เหงื่อของดิฉันออกทั่วตัวจนเสื้อเปียกโชก อาจจะเป็นเพราะเดินขึ้นทางชันส่วนหนึ่ง

    แต่หลักๆเลยคือน่าจะเป็นเพราะอากาศที่ร้อนตับแลบแม้มันจะเป็นเวลากลางคืน

    ดิฉันกระดกขวดน้ำเพื่อชดเชยการเสียเหงื่อ

    รู้ตัวอีกทีน้ำก็หมดขวดแรกไปแล้ว ตายแล้ว ตายๆๆๆๆๆๆ

    เค้าให้น้ำเราแค่สองขวด นี่ยังไม่ถึงครึ่งทางเลย แล้วยังต้องสำรองน้ำไว้ตอนเดินลงพรุ่งนี้อีก ทำไงดีล่ะ

    เอาล่ะ ดิฉันต้องประหยัดแล้ว


    ทางเดินช่วงที่เหลือ

    คือการเดินขึ้นปากปล่อง ความชันจะมากกว่าช่วงแรก

    แน่นอนว่ามันทำให้อูฐตดและปล่อยระเบิดมากกว่าช่วงแรก

    ดิฉันก็ยิ่งเวียนหัวหนักเข้าไปอีก ดิฉันพยายามเดินรั้งท้ายไปข้างหลัง เพื่อให้ห่างจากอูฐมากที่สุด

     แต่ทว่า พี่ตำรวจข้างหลังอาจจะเข้าใจผิดว่า ดิฉันจะเดินไม่ไหวหรืออะไร 

    เค้าเลยพยายาม เดินประกบฉันให้เข้าไปในกลุ่มเดินของคนส่วนใหญ่ที่มันใกล้อูฐ

    เห้อออออออ เวียนหัวชะมัด

    แล้วเหงื่อที่แตกทั่วตัวนี่อีก เหนียวไปหมด

    ความร้อนเมื่อยิ่งเข้าใกล้ปากปล่อง ดูเหมือนมันจะเพิ่มขึ้นกว่าตอนที่เริ่มเดินมากๆ

    ดิฉันกระหายน้ำมากเหลือเกินในตอนนั้น

    แต่ก็พยายามคิดให้มาก ก่อนที่จะตัดสินใจ จิบน้ำแต่ละอึก

    น้ำขวดสุดท้ายของดิฉันพร่องไปเรื่อยๆ

    ดิฉันพยายามที่จะเหลือมันครึ่งขวด เอาไว้สำหรับพรุ่งนี้

    นี่ก็ลดลงไปทุกทีแล้ว เหลืออีกแค่ 1/4  ขวด น้ำก็จะเหลือครึ่งขวด ตามที่ตั้งเป้าไว้ นั่นเท่ากับว่า ดิฉันมีสิทธิที่จะดื่มน้ำได้อีกนิดเดียวเท่านั้น


    ดิฉันเครียดมากในตอนนั้น เลียริมฝีปากที่เริ่มจะแห้ง ด้วยน้ำลายในปากที่แทบจะไม่มี

    อาการปวดหัวตุบๆ นี้ไม่แน่ใจว่าเกิดจากกลิ่นฉี่อูฐ หรือร่างกายกำลังขาดน้ำกันแน่

    เหงื่อที่ออกไม่รู้จักหยุดหย่อนก็น่าโมโหนัก  มันทำให้ดิฉันกระหายน้ำหนักเข้าไปอีก

    ดิฉันโทษนั่นนี่ โทษอุณหภูมิ โทษภูเขาไฟ โทษต่อมเหงื่อ โทษไกด์ โทษอูฐ โทษน้ำขวด

    รวมทั้งโทษตัวเองด้วยว่า มาทำอะไรที่นี่ ทำไม่ไม่นอนตากแอร์ดูละครหลังข่าวที่บ้าน

    กระหายเหลือเกิน

    น้ำ ข้าต้องการน้ำ


    ทากะซังผู้อ่อนโยน ดูเหมือนจะสังเกตุอาการดิฉันได้ 

    เข้ามาประกบดิฉันทันที  ถามว่าไหวไหม

    ดิฉันเลยสารภาพไปว่าดิฉันกระหายเหลือเกิน น้ำเหลือแค่ครึ่งขวด กลัวว่าจะไม่น้ำสำหรับวันพรุ่งนี้

    ทากะซังเป็นคนญี่ปุ่นที่มีวินัย

    เขาบอกว่า น้ำเขาเหลือขวดครึ่ง 

    เขายินดีจะยกน้ำครึ่งขวดให้กับดิฉัน

    ดิฉันซาบซึ้งใจมาก ณ จุดนั้น อยากจะคว้าน้ำครึ่งขวดนั้นมากระดกให้หมดทันที

    แต่ติดที่ เป็นคนไทยขี้เกรงใจ

    ฉันคิดแค่ว่า ถ้าฉันเอาน้ำเขามา เขาจะดื่มอะไรในวันพรุ่งนี้ 

    ฉันจึงปฏิเสธเขาไป เขาก็เข้าใจดี และบอกว่าถ้าคุณจะเอาน้ำผมเมื่อไหร่ก็บอก น้ำขวดนี้ผมให้คุณแล้ว


    ซาบซึ้งค่ะ แต่ดิฉันยอมให้ผู้ชายต้องทนทุกข์เพราะดิฉันไม่ได้จริงๆ

    ดิฉันค่อยๆจิบน้ำที่เหลืออยู่อย่างกระมิดกระเมี้ยน

    เอาวะ หมดก็หมด

    ตายกลางวัน แสงน่าจะสวยกว่าตอนกลางคืน

    ตายขากลับ น่าจะเป็นภาระคนอื่นน้อยกว่าขาขึ้น

    ดิฉัน กระดก น้ำหยดสุดท้ายของขวดจนหมด


    แต่มันก็ยังไม่ดีขึ้น 

    อาการปวดหัวมันหนักขึ้นเรื่อยๆ 

    ดิฉันแน่ใจแล้วว่ามันมาจากอาการขาดน้ำ 

    ดิฉันเลียริมฝีปากและกลืนน้ำลายอย่างสิ้นหวัง

    ทากะที่รักฉันต้องการน้ำคุณ

    ไม่หล่อนจะทำให้เค้าลำบากเพราะหล่อนไม่ได้

    แต่ฉันกำลังจะตาย ฉันกระหายเหลือเกิน

    อดทนสิ อดทน!!! หล่อนทำได้ อดทนอีกนิด เดี๋ยวก็ถึงปากปล่องแล้ว 

    หล่อนอาจจะขอน้ำคนอื่นได้คนละนิด และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน

    แต่ฉันไม่มีน้ำแล้ว ไม่มีน้ำสำหรับคืนนี้ ไม่มีน้ำสำหรับวันพรุ่งนี้ ทากะะะะะะะะ

    หล่อนยิ่งต้องอดทน น้ำครึ่งขวดนั่น หล่อนอาจจะต้องใช้ในวันพรุ่งนี้


    สองเสียงในหัวดิฉัน ต่อสู้กันอย่างดุเดือด

    ดิฉันพยายามไม่คิดถึงความกระหาย 

    แต่มันทรมานเหลือเกิน


    นานหลังจากนั้น ก่อนที่ดิฉันจะตาย 

    พวกเราทั้งหมดมาถึงปากปล่อง 

    ที่จุดนั้น มีกระท่อมมากมาย  ดูเหมือนทีกระท่อมหินเหมือนที่  Dodom สร้างไว้อย่างถาวร

    นี่มีคนเคยอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยเหรอนี่ 

    จากจำนวน และผังของกระท่อม ไม่น่าจะแค่สร้างเพื่อรองรับการท่องเที่ยวเพียงชั่วคราว

    มันมีร่องรอยของบ้านที่พัง ร่องรอยของการอยู่จริง 

    กระท่อมจำนวนมาก สร้างไล่ระดับซ้อนกันขึ้นไปตามความชันของไหล่ปากปล่อง

    คนที่นึกยังไงถึงมาอาศัยอยู่ที่นี่กัน

    และอะไรทำให้พวกเขาเหล่านั้นทิ้งที่นี่ไป


    อาจจะจะเป็นเสียงปุปะ และแสงสีแดงฉานที่สะท้อนขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างน่ากลัว

    กลิ่นกำมะถันอ่อน ลอยออกมาจากสีแสงแดงนั่น

    อาจจะมีเหตุการณ์อะไรใหญ่ๆก็ได้ ที่เจ้าของหมู่บ้านนี้ ไปจากที่นี่

    แต่ขอให้มันอย่าเกิดคืนนี้ก็แล้วกัน


    ทันทีที่พวกเราถึงปากปล่อง

    ทุกคนนั่งหมดแรงตามจุดของตัวเอง

    ดิฉันรีบเดินไปหาทากะซัง

    ดิฉันกระหายหนักมาก ดิฉันขอน้ำเขาเพื่อมาต่อชีวิตดิฉันในคืนนั้น

    ดิฉันรับน้ำมาแล้วดื่มไปแค่สองอึก แล้วกลั้นใจคืนน้ำเขาไป

    เขาคะยั้นคะยอให้ดิฉันเอาไปทั้งขวด

    แต่ดิฉันบอกเขาว่า เอาเถอะ เดี๋ยวถ้าพรุ่งนี้ดิฉันต้องการ ดิฉันจะขออีก


    พี่ไกด์หน้าเหี้ยมหัวหน้าไกด์เดินมาข้างหลังดิฉัน

    ไม่ทันได้ถามดิฉันสักคำ 

    แล้วก็เดินไปที่อูฐ หยิบขวดน้ำแจกให้พวกเราทุกคนอีกคนละสองขวด

    ห๊ะ 

    ไหนว่า ไม่มีน้ำให้แล้วไง ไหนว่าให้คนละสองขวดไง

    คุณหลอกดาว!!!!!!


    แน่นอนว่าไม่ใช่ดาวคนเดียวที่เข้าใจอย่างนั้น

    ทันทีที่ลูกทริปทุกคนได้รับน้ำขวดใหม่

    ทุกคนควักเอาน้ำขวดที่เหลือของตัวเองออกมากระดกจนหมดไม่ต่างกัน

    ดิฉันก็ไม่รู้จะพูดแย้งอะไร หรือถามเหตุผลอะไร ในตอนนั้น

    ได้เพิ่มก็คือได้เพิ่ม รีบกระดกน้ำที่ได้มาใหม่ จนหมดขวด และกระดกอีกขวดจนไปครึ่งขวด

    ไม่สนใจแล้วว่าจะสลบขาดน้ำตายกลางทางในวันพรุ่งนี้

    เพราะในอูฐนั้นน่าจะมีน้ำอีกหลายขวดทีเดียว

    ถ้าไม่ให้ดิฉันพรุ่งนี้ 

    ต่อให้ดิฉันฆ่าอูฐเพื่อชิงน้ำมาดิฉันก็ทำ


    .............................


    อ่านบทก่อนหน้า บทที่ 19 < ก่อนถึงนรก >


    อ่านบทต่อไป บทที่ 21 <ประตูนรกและบรรไดสวรรค์>


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in