เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I<Ethiopia>U : มี<เอธิโอเปีย>ระหว่างเราArmmie Born TobeBrave
บทที่ 16 <เรื่องของ เจ๊ เจนนิเฟอร์>
  • ดิฉันไม่แน่ใจว่ารำคาญอะไรมากกว่ากัน ระหว่างสองสิ่งนี้


    สิ่งที่หนึ่ง

    เด็กเอธิโอเปียที่รุมอยู่นอกรถ ปากขมุบขมิบ เป็นคำว่าชอคโกแลต หรือ มันนี่ ก็ไม่อาจรู้ 

    เพราะดิฉันไม่มีทางลดกระจกหน้าต่างรถลงแน่นอน 

    ดิฉันผู้ต่อต้านการให้ของแก่เด็กท้องถิ่น เวลาไปเที่ยวที่ไหนก็ตาม

    เพราะดิฉันเห็นตัวอย่างที่เด็กๆที่น่ารักเปลี่ยนเป็นเด็ก(ใช้คำว่าอะไรดี) เด็กไม่น่ารัก  จากการแสดงหาประโยชน์จากนักท่องเที่ยว


     ที่เด่นชัดที่สุดคือที่ นิวเดลี เด็กๆ ที่นิวเดลี เริ่มจากแบมือขอและทำตาอออดอ้อนน่าสงสารแบบที่นี่ 

    ก่อนที่ดิฉันจะตัดสินใจให้อะไรบางอย่างกับเด็กบางคน จากนั้นคนอื่นที่ไม่ได้ก็เริ่มเรียกร้อง และดิฉันก็ไม่ได้มีของให้ครบทุกคน  ดิฉันจึงปฏิเสอย่างสุภาพ

    แต่จากเรียกร้อง ก็กลายเป็นก้าวร้าว จากก้าวร้าว ก็เริ่มเอะอะโวยวาย จากเอะอะโวยวายก็เริ่มทำลายข้าวของ

    ที่นิวเดลี วันนั้น รถที่ดิฉันนั่ง ถูกรุมด้วยเด็กผู้กราดเกรี้ยว ราวสิบคน รัวฝ่ามือและกำปั้นทุบเข้าที่กระจกรถและบังโคนข้างรถเสียงดังสนั่นหวั่นไหว 

    ดีใจเหลือเกินที่คนรถออกรถอย่างไว ก่อนที่จะมีใครต้องเจ็บตัวหรือรถเสียหาย 

    เพียงเพราะผลร้ายจากน้ำใจไมตรีที่ดิฉันหยิบยื่นให้เด็กไม่กี่คน


    นั่นแหละค่ะ ภาพจำจากนิวเดลี ดิฉันเลยไม่ค่อยเห็นด้วยในการให้ของเด็กท้องถิ่นเท่าไหร่

    เพราะการกระทำเหล่านี้อาจจะเปลี่ยนเค้า มันจะทำลายการท่องเที่ยวในอนาคต และมันจะทำลายตัวเด็กเองด้วย

    ภาพซ้ำๆจากนิวเดลี ทำให้ดิฉัน ปฏิเสธเด็กเอธิโอเปีย อย่างสุภาพ และทำเป็นไม่สนใจ แววตาออดอ้อนนั่น

    “ไม่จ่ะ” “โนค่ะ” “ไม่ให้ลูก” “ไม่เอานะคะ” 

    พี่ให้หนูไม่ได้จริงๆ เพื่อตัวหนูเองนะลูก 

    เข้าใจพี่นะ



    สิ่งที่สอง

    คือหญิงวัย 50  ผู้นั่งบ่นกับทุกสิ่งๆทุกอย่างในโลกรอบตัว ที่เบาะข้างๆดิฉันตลอดทริป

    เจ๊เจนนิเฟอร์ ผู้ที่คอยอัพเดตอุณหภูมิ ทุกห้านาทีที่เจ๊แกมีสติ ( บางทีเจ๊แกหลับ เราก็จะไม่รู้อุณหภูมิไปพักนึง )

    ยังไม่พอแค่นั้น เจ๊เจน ต้องการจะพิสูจน์ทฤษฎีของแกที่ว่า ยิ่งเราอยู่ต่ำเท่าไหร่ อากาศจะยิ่งร้อนเท่านั้น 

    แต่เจ๊ต้องการให้เราตระหนัก โดยการให้ทากะซัง เปิด GPS ในกล้อง ขึ้นมาดู ว่าตอนนั้นพวกเราอยู่ที่ระดับต่ำกว่าน้ำทะเลกี่เมตร  และสเตปต่อไปเจ๊ก็ถามMr.T ให้กดแผงแสดงอุณหภูมิของรถ 

    และจบด้วยเสตปสุดท้าย เจ๊จะบอกว่า “เห็นไหมมันต่ำลงอุณหภูมิก็จะสูงขึ้น”

    ค่ะเจ๊ มันโอเคในครั้งแรกนะ แต่ครั้งต่อไปมันจะแปลกๆ และมันจะกลายเป็นน่ารำคาญถ้ามันเกิดขึ้นทุก ห้าถึงสิบนาที


    ในตอนนั้นดิฉันติดอยู่กับทั้งสองสิ่ง

    ทั้งเด็กรุมรถ และเจ๊เจนนิเฟอร์

    หลังจากที่ออกจาก. Dollo เรามุ่งตรงไปสู่ Abaala แต่แวะพักทานอาหารเที่ยง ณ เมืองชนบทแห่งหนึ่ง

    รถไม่ยอมออกสักที เพราะทากะซังไปเล่นฟุตบอลกับเด็กๆในเมืองอยู่ (ถอดเสื้อด้วย เท่ห์ซะไม่มี)

    และ Mr.T คนรถยังนั่งเมาท์มอยกับคนขับคันอื่น อย่างออกรส

    แต่มาสตาร์ทเครื่องเปิดแอร์ให้เจ๊เจน  เพราะนางยื่นคำขาดว่า 

    “ฉันจะไม่ยอมทนร้อนในเมืองเล็กๆนี่อีกสักนาทีเดียว”

    จะว่าไปดิฉัน ก็อาศัยบารมีความกล้าเจ๊เจน ขึ้นมาตากแอร์ในรถด้วยเหมือนกัน

    ความจริงอยากจะไปเตะบอลกับทากะซัง แต่สภาพดิฉัน น่าจะเป็นลมแดดตาย 

    เป็นภาระผู้ชาย และคงเป็นการตายที่สภาพไม่สวย 

    การมานั่งตากแอร์กับเจ๊เจน ก็ยังถือว่าโอเคกว่า


    เด็กรุมรถคงไม่เห็นทางที่จะได้อะไรจากดิฉันแล้ว

    จึงเคลื่อนตัวไปที่หน้าต่างฝั่งเจ๊เจน

    เจ๊เจน กระวีกระวาดขึ้นทันที

    ตอนแรกดิฉันคิดว่า เจ๊แกน่าจะไล่ตะเพิดเด็กให้แตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง ด้วยจริตวีนเหวี่ยงของเจ๊


    แต่มันกลับกันจากสิ่งที่ฉันคิดมาโข

    ที่เจ๊กระวนกระวายเพราะ พยายามคุยหากระเป๋าเล็กๆใบหนึ่งในกระเป๋ากล้องใบใหญ่ของนาง

    ในนั้นมีปากกาหลายแท่ง มันเป็นปากกาที่เหมือนกันมากๆยกโหล จนดิฉันคิดว่า

    เจ๊น่าจะซื้อเตรียมมาเพื่อแจกเด็กๆ หรือใครสักคนที่เอธิโอเปียนี่

    เจ๊เจนเทกระเป๋าออกมาทั้งหมด แล้วยื่นปากกาให้เด็กทีละคน 

    เด็กๆเมื่อเห็นว่าได้ปากกา ก็มารุม จนปากกาทั้งกระเป๋าของเจ๊เจนหมด

    เหลือเด็กคนสุดท้าย เด็กผู้หญิงตัวเล็กสุดจากทุกคนในกลุ่ม เพียงคนเดียวไม่ไม่ได้ปากกา

    น่าแปลกว่าเจ๊เจนคนที่วีนกับทุกอย่าง ดูทุกข์ร้อนขึ้นมาอย่างฉับพลัน

    อารมณ์นั้น คล้ายๆกับที่ดิฉันเห็นแม่ดิฉัน ตอนที่ดิฉันป่วยเป็นไข้หนัก


    เจ๊เจนถามดิฉันว่า “คุณมีปากกาเหลือสักแท่งไหม”

    ดิฉันบอกว่าฉันมีแค่แท่งที่ดิฉันเอาไว้บันทึกไดอารี่ ให้ไม่ได้หรอก

    “ไม่เป็นไรๆ ฉันเอาของฉันก็ได้”

    ของฉัน ที่เจ๊เจนหมายถึงคือปากการาคาแพงของเธอ ที่เธอเอาไว้เขียนไดอารี่เช่นกัน

    ดิฉันไม่รู้ว่ามันยี่ห้ออะไร แต่ความดำขลับ และอะไรทองๆบนปากกานั่น บอกให็ฉันรู้ว่า มันไม่ได้ขายตามร้านสะดวกซื้อ แบบปากการาคาห้าบาทของดิฉันแน่นอน

    เจ๊เจนดึงปากกานั้นออกมาจากสมุด แล้วยื่นให้เด็กแบมือคนสุดท้ายไป

    ด้วยความตกใจ ดิฉันจึงถามเจ๊ว่า

    “เจนิเฟอร์ คุณให้ปากกาคุณไปแล้วคุณจะเอาอะไรเขียน”

    คำถามจริงๆของดิฉันในใจคือ “คุณไปให้ปากกาแพงๆแบบนั้นกับเด็กได้ไง เสียดายเว่อร์” 


    ถ้าดิฉันยังตกใจไม่พอ

    เจ๊เจนผู้เหวี่ยงวีน มีน้ำตาไหลแหม่ะ ตกลงบนเบาะรถ ตาทั้งสองข้างเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาใสๆ 

    และเจ๊หันมาบอกฉันแค่ว่า 

    “ฉันทนเห็นพวกเค้าไม่ได้ มันทำให้ฉันคิดถึงตัวเองตอนเด็ก”

    แล้วเรื่องราวหลังจากนั้นก็พรั่งพรูออกมา  (เมื่อเจ๊ไม่สะอื้นกับน้ำตาแล้ว) 


    อย่างที่ดิฉันเคยเล่าในบทก่อนๆ ว่าเจ๊เจนนิเฟอร์ แกเป็นวิศวกรโครงสร้างให้บริษัท ขนาดใหญ่ในซิลิคอนวัลเลย์ ตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตทีเดียว เงินเดือนนี่แค่เดือนเดียวอาจจะเท่ากับรายได้ทั้งปีของคนอเมริกันชนชั้นแรงงานบางคนเสียอีก เจ๊มีบ้านหลังใหญ่ส่วนตัวบนชายหาดสุดหรู ส่งลูกเรียนไฮสกูลเอกชนที่ดีที่สุดของรัฐ และประสบความสำเร็จในแทบทุกมิติของชีวิต


    เจ๊บอกดิฉันว่า งานเจ๊มีความเครียดสูงมาก หน้าที่ของเจ๊คือต้องตรวจสอบ แบบแปลนที่เค้าออกแบบมา แล้วเซ็นอนุมัติว่าแปลนนี้ บริษัทจะสร้างไหม อะไรทำนองนี้


    เจ๊บอกว่า กว่าเจ๊จะขึ้นไปอยู่ตรงนั้นได้ เจ๊ต้องผ่านอะไรมาเยอะมาก เจ๊ต้องต่อสู้กับการเหยียดคนเอเชียในที่ทำงานมาตั้งหลายปี ตำแหน่งก็ขึ้นยากแม้ทำงานหนัก  ต้องใช้เวลาและความพยายามที่จะพิสูจน์ตัวเองมากกว่าพนักงานคนอื่นที่เป็น คอเคเชียน หรือ ผู้ชาย


    แต่จะว่าไป จุดเริ่มต้นของเจ๊ ไม่ได้สวยหรูมาตั้งแต่ตอนแรก

    ย้อนกลับไปเมื่อ เกือบห้าสิบปีก่อน

     เด็กหญิงคนนึง เกิดในครอบครัว ชนชั้นกลาง ในเมืองชนบทห่างไกลในตอนกลางของประเทศจีน

    (ดิฉันพยายามถามว่าเมืองอะไร แต่เจ๊แกเลี่ยงไปพูดเรื่องอื่นตลอด  ตัดบทแค่ว่าถึงบอกก็ไม่มีใครรู้จัก)

     เธอเกิดในยุคที่ประเทศจีนมีแต่ความลำบาก ยากแค้น ผู้คนอดหยากและหิวโหย แถมมีความระส่ำระส่าย ทางการเมือง มีข่าวความขัดแย้งเกิดขึ้นที่ต่างๆไม่เว้นวัน 

    บ้านของเจ๊ในตอนนั้น มองไปทางไหนก็หาทางออกให้ชีวิตไม่เจอ ถ้าอยู่ต่อคงอดตายเป็นแน่

    ป๊าของเจ๊ และม๊าของเจ๊ โชคดีที่มีเงินเก็บก้อนนึง จากความขยันเก็บหอมรอมริบ ตามประสาเจ้าของกิจการเล็กๆในเมือง

    ตัดสินใจทิ้งทุกอย่าง พาเจ๊และครอบครัวราวสิบคน ขึ้นเรือ หนีความแร้นแค้นและความไม่มั่นคง ไปตายเอาดาบหน้า กางแผนที่แล้วเดินทางไปสู่โลกใหม่ ดินแดนที่เค้าบอกว่า เป็นแห่งความหวังสำหรับทุกค


    อเมริกา


    ในช่วงแรกๆ ชีวิตเจ๊ไม่ง่ายเลย สมาชิกครอบครัวทุกคน ต้องทำงานหนัก เจ๊เองก็ด้วย ทำงานทุกอย่างเท่าที่พอจะทำได้ แลกกับค่าแรงเพียงน้อยนิด ให้ประทังชีวิตคนในครอบครัวไปวันๆ


    เจ๊เจนบอกว่า เจ๊ไม่ชอบชีวิตช่วงนั้นที่สุด เจ๊คิดว่าทำไมเจ๊ต้องมาทำงานงกๆไปวันๆ ต้องพูด ต้องกินอาหารแบบคนจีน  คนจีนนี่ต้องทำงานหนักกันทุกคนรึยังไง 

     เจ๊แค่อยากที่จะเป็นเหมือนเด็กอเมริกันคนอื่น ได้เล่น ได้ไปโรงเรียน มีเสื้อผ้าสวยๆใส่ เจ๊ไม่อยากแปลกแยก เจ๊อยากมีเพื่อนวัยเดียวกันบ้าง


    หลังเลิกงาน เจ๊ฝึกภาษาอังกฤษทุกวัน พยายามเลียนเสียงให้เหมือนที่สุด พยายามตั้งใจทำงาน เพื่อให้ได้เงินมากๆ ป๊า ม๊า จะได้พอใจ และจะได้เป็นลูกคนโปรด

    การเป็นลูกคนโปรดสำคัญกับเจ๊มาก ที่เจ๊อยากเป็นเพราะจะได้มีโอกาสเข้าโรงเรียน ซึ่งมีเฉพาะลูกคนโปรดเท่านั้นที่ป๊า ม๊าจะยอมแลกทรัพยากรอันจำกัดของครอบครัว ส่งลูกเข้าโรงเรียน

    ซึ่งบังเอิญคนที่พ่อแม่เลือก ไม่ใช่เจ๊ แต่เป็นพี่ชายของเจ๊แทน ตามขนบลูกชายต้องดูแลครอบครัว

    ตอนนั้นเจ๊เสียใจมาก แต่ก็กล้าที่จะถามพ่อแม่ตรงๆว่าทำไมไม่ใช่เจ๊

    การต่อสู้อันยากลำบากต่อความไม่เท่าเทียมของเจ๊เริ่มที่ในบ้าน ซึ่งเจ๊ก็แพ้

    แต่เจ๊ไม่ยอม เมื่อครอบครัวไม่ได้ส่งให้เรียน สิ่งที่เจ๊ขอคือ อิสระจากการทำงานส่งเงินให้ครอบครัว 

    เจ๊ขอทำงานส่งตัวเองเรียนแทน 

    ซึ่งป๊าม๊า คงเห็นความเสียใจ จึงให้มอบอิสระให้กับเจ๊ 

    ซึ่งเจ๊บอกว่ามันมีค่ากว่าการที่ส่งให้เจ๊เรียนเป็นไหนๆ

     หลังจากนั้นเจ๊ออกมายืนด้วยตัวเอง 

    ทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย 

    ใช้ชีวิตแบบ American Dream

    ส่งตัวเองจนจบไฮสกูล

    และสอบเข้าในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุด 


    ที่นั่นเอง เจ๊ได้เจอคนรัก

    ทั้งคู่พยายามเรียนด้วยกัน จนจบมาด้วยเกรดอันดับต้นๆ

    บริษัทน้อยใหญ่มารุมตอมเจ๊กันมากมาย

    เจ๊เลือกบริษัทที่เจ๊ทำงานอยู่ปัจจุบัน จนทำงานและพิสูจน์ตัวเองมาเรื่อยๆ 

    จนมีทุกวันนี้

    เจ๊บอกว่า ชีวิตเจ๊ไม่ง่าย เจ๊เหนื่อยมาก แต่ถ้ามันง่าย เจ๊คงไม่ขึ้นไปจุดนั้นได้

    นึกภาพย้อนไป ถ้าทุกอย่างไม่เกิดขึ้น 

    เจ๊คงไปป้าวัย 50แก่ๆ มีลูกหลานเป็นขโยง ทำไร่ทำนา ขุดเผือกขุดมัน  ในชนบทห่างไกลสักที่ในจีน โดนผัวขี้เมาซ้อมปากเยินทุกเช้าเย็น เพราะเงินในบ้านไม่พอซื้อเหล้า(อันหลังดิฉันเติมเอง)



    ดิฉันมองสลับไปมาระหว่างเด็กนอกรถที่เอาปากกาเจ๊ไปเขียนอย่างมีความสุข

     กับเจ๊เจน คนที่ตอนนั้น นั่งเหม่อออกไปนอกหน้าต่างอีกด้านอย่างว่างเปล่า เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

    สองสิ่งที่สิบนาทีก่อน ดิฉันจัดไว้ว่า เป็นสิ่งที่น่ารำคาญที่สุดในโลก

    แต่ตอนนี้ สองสิ่งนั้นได้เชื่อมต่อกันด้วย เรื่องราวที่เจ๊เล่าให้ดิฉันฟัง

    ปากการาคาแพงนั่น

    กับคำพูดว่า “มันทำให้ฉันนึกถึงตัวเองตอนเด็กๆ”



    เจ๊เจนคนน่ารำคาญ

    กลายเป็นคนที่น่าเคารพคนนึงในสายตาดิฉัน



    ...................



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in