เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Minimore SessionKhai Kung
Session 01 - Travelogue
  • 0. จุดเริ่มต้นของการเดินทางเริ่มจากนั่งหน้าคอม
    ----

    ขณะที่ผมเริ่มต้นพิมพ์เรื่องนี้เป็นเวลาห้าทุ่มของวันที่ 23สิงหาคม อันที่จริงผมควรเข้านอนได้แล้ว แต่หากคุณได้ลองนอนเวลาเที่ยงคืนติดต่อกันทุกวันทุกวัน มันคงยากอยู่หากจะให้ หลับตาลงในคืนนี้ แม้ว่าในวันรุ่งจะมีเรื่องสำคัญที่ต้องดำเนินการแต่เช้าก็ตาม

    “กูส่งงานครบรึยังวะ...เออคงส่งครบแล้วมั้ง ช่างแม่ง ยังไงก็เอาคอมไปด้วยอยู่ดี”
    ไฟล์งานที่ผมเพิ่งเซฟถูกส่งไปยังอีเมล์ที่เขาส่งจดหมายมาทวงก่อนหน้า
    ผมปิดโปรแกรมพิมพ์งานหน้านั้นทิ้งไป เปิดหน้าใหม่ และเริ่มต้นพิมพ์

    กระเป๋าเป้เดินทางใบใหญ่ของผมถูกจัดไว้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่สองวันก่อน จะว่าตื่นเต้นกับการเดินทางผมก็คิดว่าน่าจะใช้คำนั้นได้อยู่ เพราะผมไม่รู้ได้เลยว่าหนทางข้างหน้าเราจะเจออะไรบ้าง แม้เราจะมีแผน แต่มันก็ดูหลวมเสียจนพร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอด ดังนั้นไม่แปลกใจเลยหากผมจะมีความตื่นเต้นปนอยู่ในกระแสเลือด ส่วนเหตุผลจริงๆแล้วคือผมรู้ตัวว่าช่วงสองสามวันก่อนเดินทางผมจะต้องสะสายธุระบางอย่างให้เรียบร้อย อย่างน้อยก็ควรเคลียงานทุกอย่างให้เสร็จส่งภายในกำหนด ก่อนจะโบกมือลาจากประเทศนี้ไปถึงสองสัปดาห์เลยทีเดียว

    ผมไม่รู้ว่านี่จะเรียกว่าการท่องเที่ยวได้มั้ย หากเรากำลังจะเดินทางไปยังสถานที่หนึ่งโดยมีโจทย์และจุดหมาย แม้ผลสุดท้าย เรารู้ว่าต้องได้งานบางอย่างกลับมาเพื่อใช้เป็นเชื้อไฟและแหล่งพลังงานพร้อมสำหรับการเดินทางครั้งต่อไป

    นานแค่ไหนที่เราอยู่แต่โลกใบเดิม ผมตั้งคำถามนี้กับตัวเองเมื่อสามปีก่อน ตอนนั้นผมอายุยี่สิบ ทำงานประจำซ้ำไปซ้ำมาเพียงเพื่อรอรับผลตอบแทนปลายเดือน จนพอมีเงินเก็บจากการทำงานอยู่บ้าง หลังจากครั้งหนึ่งเคยแบกเป้ขึ้นไปเชียงใหม่คนเดียว พาตัวเองไปเดินขึ้นดอยสุเทพกับคนนับพันด้วยความศรัทธา และพาตัวเองล่องลอยไร้จุดหมายด้วยตัวคนเดียวที่ลาวหนึ่งสัปดาห์ ก่อนต้นปีที่ผ่านมาจะไปสัมผัสฮานอยสิบกว่าวัน ผมคงต้องขอยืมคำพูดเท่ๆของนักเดินทางหลายคนมาพูดซ้ำ คำว่า ”การเดินทางสร้างเรื่องราวใหม่ๆได้ไม่รู้จบ” เป็นความจริงเช่นนั้นเอง

    ผมคงเดินทางไม่บ่อยเหมือนใครหลายคนที่นี่ โอกาสทำเช่นนั้นมันคงเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากหลายอย่างไม่เอื้ออำนวย แต่ถึงกระนั้น หลายครั้งที่ผมยังนั่งอ่านเรื่องราวการท่องเที่ยวของหลายๆคน และหวังไว้ว่าซักวันน่าจะมีโอกาสได้เล่าเรื่องราวเหล่านั้นในรูปแบบของตัวเองบ้าง จนกระทั้งตอนนี้ ต้นฉบับสารคดีท่องเที่ยวสองชิ้นก็ยังไม่เสร็จดี และยังไม่มีทีท่าว่าจะคืบหน้าเลย (โครตขี้เกียจ)

    ผมคงเขียนถึงสภาวะภายนอกระหว่างการเดินทางของผมว่าสายตาเราประสบกับอะไรบ้างไม่เก่งอย่างคนในเว็บบอร์ดยอดนิยม ผมว่าสิ่งนั้นมันไม่น่าสนใจไปมากกว่าสิ่งที่ปรากฏลึกๆภายใน โลกเป็นโรงเรียนกว้างใหญ่ เราเป็นแค่ใครซักคนนึงซึ่งลงทะเบียนเรียนวิชาสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตตลอดชีวิต โดยมีค่าหน่วยกิจเป็นเวลาที่เดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ ดังนั้นผมคิดว่าเรื่องสภาวะบางอย่างที่เกิดขึ้นในใจนั้นน่าสนใจพอกับสิ่งที่พบภายนอก ทั้งสองอาจผนึกรวมเป็นสิ่งเดียวกันเหมือนเช่นหยินและหยาง

    สถานที่ที่ผมจะไปไม่ไกลนักหรอก หนึ่งในประเทศเพื่อนบ้าน สมาชิก AEC ของเรานี่เอง ระยะเวลาสองชั่วโมงสำหรับการเดินทางที่ระบุไว้ยังไม่นานพอให้ผมหลับได้อย่างเต็มอิ่มด้วยซ้ำไป

    แม้รู้ว่าตัวเองอาจจะไม่มีเวลาจรดนิ้วมือลงคีย์บอร์ดได้บ่อยเหมือนตอนอยู่ไทย และเดาไม่ได้เลยว่าที่นั่นจะมีสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่แรงพอจะช่วยให้คุณภาพชีวิตง่ายรึเปล่า แต่เมื่อท้าวก้าวออกไปแล้ว จะหันหลังกลับคงยาก อันที่จริงคือเสียดายค่าเครื่อง สึส!! อุสาห์จองล่วงหน้าตั้งนานกว่าจะได้โปรถูก

    นั้นแหละฮะ เขียนให้ดูเท่ๆมาซะหนึ่งหน้ากระดาษ A4 ฟร้อทต์ Cordia New 14 สรุปง่ายๆว่ากำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ และจะพยายามเก็บเศษความคิดที่มีน้อยนิดพอๆกับรอยหยักในสมองของผมมาเขียนให้อ่านนะครับ อย่าคาดหวังว่าจะมีเรื่องบันเทิงอะไร เพราะผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องไปเจอกับอะไรบ้าง

    แต่อย่างน้อยถ้าเป็นไปได้ ผมขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่กำลังอ่านอยู่
    โปรดจงช่วยดลบันดาลให้ผมเดินทางไปกลับอย่างปลอดภัยด้วยเทิญ

    สาธุ //

  • 01. บนท้องฟ้าไม่มีอะไรแน่นอนถ้ามองจากมุมนี้


    เที่ยวบิน FD-244 ออกจากสนามบินเรียบร้อยแล้ว สัญญาณปลดล้อกเข็มขัดดับวูบลงพร้อมกับเสียงอื้ออึงในหู ดูเหมือนว่าเครื่องจะขึ้นได้อย่างปลอดภัย

    บนที่นั่งกว้างคูณยาวขนาดเท่าๆกับคนหนึ่งพอดีมีผู้โดยสารสองคนขนาบข้างผมอยู่ ฝั่งริมหน้าต่างเป็นเพื่อนร่วมทริปของผมตลอดสองสัปดาห์นี้ ส่วนฝั่งติดทางเดินเป็นชายหนุ่มหน้าหวานซึ่งเข้าสู่นิทราตั้งแต่เครื่องบินขึ้นฟ้า (ซึ่งนั้นทำให้ผมเกรงใจไม่กล้าลุกออกไปห้องน้ำ) นอกหน้าต่างคือโลกกว้างที่มองลงไปไม่เห็นผู้คนอีกแล้ว

    มองลงไปด้านล่าง พบว่ามนุษย์เป็นเพียงจุด Pixels เล็กๆเท่านั้นหากมองกันในเสกลของโลก ต่อให้ใครซักคนจะทะนงตนถึงความยิ่งใหญ่เพียงไหนก็ไม่ได้ใหญ่ไปกว่าท้องฟ้า หลังคาหลากสีที่เรียงรายกันบนพื้นเมื่อมองจากมุมสูง เหมือนถูกตอกย้ำให้รู้ว่ามนุษย์ตัวจ้อยยังคงต้องการเคหะสถานปลอดภัยไว้พักอาศัย และภายในบ้านซักหลังเบื้องล่างคงมีใครซักคนที่กำลังรอใครบางคนอยู่แน่

    ไม่บ่อยนักหรอกที่เราจะได้เห็นก้อนเมฆเรียงตัวกันในระดับสายตา เมื่อก่อน เรามักสงสัยว่าข้างบนนั้นมันจะมีอะไรอยู่ จนเมื่อเติบโตมาและได้รู้ความจริงว่าบนท้องฟ้าไม่มีอะไรเลย ไม่มีเทวดาและไม่มีนางฟ้าวิ่งไล่กัน สิ่งนั้นลดทอนความโรแมนติกไปพอสมควร แต่ความจริงก็คือความจริง สิ่งที่เป็นจินตนาการเวลานี้อาจทำได้เพียงปลอบประโลมใจในวันที่เราต้องการหลีกหนีความจริงบางอย่าง

    เวลาบนเครื่องและทิวทัศน์ขาวโพลนภายนอกชวนให้เราได้คิดถึงบางอย่างที่บังเอิญผุดขึ้นมาในความทรงจำ

    ช่วงเวลาแสนสั้นบนฟ้าอาจน่าเบื่อสำหรับนักบิน แต่กลับคนที่ต้องออกจากถิ่นกำเนิดแบบผม ช่วงเวลานี้เหมาะทีเดียวสำหรับคิดถึงคนที่จากมา

    เมื่อก่อนถ้ามองย้อนกลับไป หากมีใครซักคนพูดขึ้นมาว่าอยากจะบินบนฟ้าเหมือนนก คงถูกคนหาว่าบ้า แต่หลายพันปีต่อมาโลกก็ได้รู้จักกับองค์การนาซ่าและพาเราออกไปไกลกว่าการบินบนฟ้าภายในโลกมนุษย์

    จินตนาการที่เป็นความจริงสิ่งนั้นจะยังถูกเรียกว่าจินตนาการอยู่ไหม และหากสิ่งใดที่ยังไม่เกิดขึ้นมา มันมีโอกาสมากแค่ไหนที่จะกลายเป็นความจริง

    ผมเกือบจะหลับไปแล้ว หากเสียงเครื่องบินกระตุกฉุดให้ผมตื่นขึ้นมารับกับอาการสั่นไหว และไม่นานต่อมา เสียงใสๆแจ้งว่ากำลังจะถึงปลายทางแล้ว

    อีกไม่นานคงถึงจุดหมาย
    ผมมองแผนการหลวมๆของตัวเองในสมุด
    และคิดว่านี่คงเป็นเพียงจินตนาการเช่นกัน

    ----

  • 02.ขี่มอเตอร์ไซค์ต้องใช้ใจฟัง(ดีๆ)


    เรื่องของเรื่อง หลังจากเข้าที่พักเรียบร้อยเป็นโรงเรียนสอนภาษาที่หามาจาก air b&b ก็ทีเห็นสมควรออกสำรวจรอบๆมัณฑะเลย์ แต่ไอ้ครั้นว่าจะเรียกแต่ Taxi อย่างเดียว กลัวว่าทริปสองสัปดาห์อาจจะหดลงเหลือแค่ห้าวัน ดังนั้นเราจึงตัดสินใจเช่ามอเตอร์ไซค์จากเจ้าของบ้านน่าจะดีกว่า

    รถมอเตอร์ไซค์แบบมีเกียร์นับว่าคุ้นเคยกับผมดี เพราะคันที่ใช้อยู่ปัจจุบันมันก็เป็นแบบนี้เช่นกัน แถมยังเก่ากว่าคันที่เอามาให้เราด้วยซ้ำ ผมมองเห็นเกจวัดน้ำมันดูเหมือนริบหรี่เต็มที จึงสอบถามคุณแพนดาซึ่งเป็นเจ้าของบ้านถึงเรื่องน้ำมันและได้คำตอบกลับมาว่า ราคานี้ไม่รวมน้ำมันนะ โอเคไม่มีปัญหา ระหว่างขับไปมาน่าจะเจอปั้มเอง แต่คุณแพนด้าบอกกับเราว่าที่นี่หาปั้มน้ำมันยากหน่อย ถ้าต้องใช้จริงซื้อแบบขวดพลาสติดข้างทางดีกว่า อ้าวเวร มโนภาพที่ว่าจะเติมน้ำมันเต็มถังแล้วขับไปรอบๆเมืองต้องกลายเป็นเพียงเติมน้ำมันทีละหนึ่งขวดน้ำดื่ม สำหรับผมที่มาจากเมืองที่มีปั้มน้ำมันถี่ยิ่งกว่าสถานีตำรวจ นี่เป็นปรากฏการณ์ shock cluture อย่างหนึ่งในร้อยแปดสิ่งที่ได้เจอมา

    ปัญหาไม่จบแค่นั้น หลังจากที่ผมก้าวเท้าขึ้นขี่อย่างมั่นใจ
    "ไอ้สัส!! ขาไม่ถึงพื้น....."

    ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจ้าของรถเป็นชาวต่างชาติฝั่งยุโรปซึ่งมาทำงานสอนหนังสือที่นี่มีความสูงเกินไป หรือผมเองเป็นชายหนุ่มขนาดไม่มาตรฐานเองกันแน่ ดังนั้นภาพที่เห็นคือผมนั่งคร่อมรถมอเตอร์ไซค์แล้วเขย่งขาแบบน่าเวทนา

    และปัญหาต่อมาคือว่าถ้าใครเคยขับมอเตอร์ไซค์แบบมีเกียร์ (นึกภาพ honda wave) อาจจะคุ้นเคยกับการวางขาซ้ายแบบยาว การดันฝ่าเท้าไปข้างหน้าคือการเพิ่มเกียร์ ส่วนถ้าใช้ส้นเท้ากดลงมาคือการลดเกียร์ คันนี้ก็เช่นกัน ระหว่างทดสอบรถ กดเท้าเข้าเกียรได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่พอจะใช้ส้นเท้ากดกลับ เฮ้ย!! ทำไมมันจมหายไป หาสาเหตุอยู่นานถึงรู้ว่าเกียร์มันอยู่ต่ำกว่ามาตรฐานนิดหน่อย จึงลำบากเวลาลดเกียร์ ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้สบายๆ

    "ยูโอเค" เจ้าของรถถามผม
    "อ้อโอเค" (คิดในใจ ถ้าไม่โอเคมึงก็ไม่มีเปลี่ยนให้เปล่าวะ....)

    เขาบอกว่าถ้าไม่ชอบคันนี้ก็มีอีกคันให้ใช้ได้ (แหนะ รู้ใจ) แต่มันมีครัชนะ แล้วเปิดผ้าคลุมรถให้ดู โอโห cbr!! แค่คันธรรมดาขายังไม่ถึงพื้น ถ้ามา cbr นี้ตายห่าแน่นอน ว่าแล้วก็ยอมเอาคันนั้นไปก็ได้

    หลังจากมาตามทางออกถนนใหญ่ ในตอนนั้นผมขับชิดซ้าย เมื่อถึงถนน ผมหักซ้ายทันทีตามความเคยชิน

    อ้าวสัส สวนเลน...

    ผมลืมไปว่าที่นี่ขับรถชิดขวา สถาพการจราจรขับขวาเรียกได้ว่าพาปวดหัวสำหรับคนที่มาจากประเทศขับซ้ายแบบผม โชคดีที่ว่าไม่เจอรถที่สวนมางาบเข้าให้ แต่ได้รับเสียงแตรระงมกลับมาแทนคำเอ็นดู

    ผมกับเพื่อนกำหนดจุดหมายเป็นบริเวณจุดต่างๆที่เราต้องแวะมาในวันต่อๆไป แวะสถานีรถไฟชิคๆแบบฮิปสเตอร์ เดินห้างชิคๆ กินอาหาร(ไทย)เกร๋ๆ และนั่งเกร็งตูดอยู่บนมอเตอร์ไซค์ทั้งคนขับคนซ้อน

    นอกจากการจราจรที่พาปวดหัวได้ง่ายๆ เสียงแตรที่นี่จัดได้ว่าเป็นน้องๆเวียดนามเลยทีเดียว หากเป็นที่ไทยคงมีต่อยกันบ้าง แต่กลับที่นี้ เสียงแตรเป็นเหมือสัญญาณทักทายระหว่างรถด้วยกัน ประมาณว่าฉันมาแล้วนะ สวัสดีจ๊ะ หลีกทางให้นิดนะจ๊ะ แล้วก็ขับต่อไป ตอนแรกก็เกรงใจ ติดนิสัยว่าถ้าบีบแตรเมื่อไรหมายความว่าคุณพร้อมจะมีเรื่อง แต่ขับไปซักพักรู้สึกว่าไม่ได้แล้ว ถ้าไม่บีบแตร รถวิ่งออกมาไม่ได้ยินแน่ๆ

    และหลังจากนั้นผมก็บีบแตรอย่างบ้าคลั่งราวกับชดเชยหลายครั้งที่ไม่ได้บีบในบ้านเกิด และดูเหมือนการจราจรจะคล่องขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

    น้ำมันในถังอาจเป็นน้ำมันวิเศษ ตลอดช่วงบ่ายยันเย็นที่เรายืมรถออกไป ไม่ได้ทำให้น้ำมันบุบสลายเลย จึงรู้สึกดีที่ไม่ได้เติมให้ ขากลับมาถึงเป็นประมาณสี่ทุ่ม เจ้าของคงนอนไปแล้ว

    และผมคิดว่าควรคืนกุญแจรถเค้าในทันทีที่เจอ และวันต่อๆไปคงเลิกคิดเช่ามอเตอร์ไซค์ถาวร
  • 03. จะทำให้รักเราเป็นตำนาน
    ใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้มา 23 ปี เพิ่งรู้ว่าไอ้ขนมครกที่เราชอบกิน(โดยเฉพาะใส้ข้าวโพด)มันมีตำนานของมันอยู่ด้วย

    วันนี้ระหว่างเดินอยู่ที่ตลาดบริเวณงานนัต เราผ่านร้านขายขนมครกพม่าหน้าตาแปลกๆ จะเหมือนหอยทอดครกก็ไม่เชิง จะเป็นขนมครกไทยก็ไม่เหมือนซะทีเดียว

    เพื่อนที่เป็นล่ามให้ในวันนี้เลยบอกให้เราฟังว่า ขนมชนิดนี้เรียกว่า 'หลีน-เมีย' ซึ่งแปลง่ายๆก็คือขนมผัวเมียนั่นเอง ซึ่งผมเองก็ไม่สามารถบอกได้เหมือนกันว่ามันมีรสชาติอย่างไร แต่แอบหมั่นไส้ตอนได้ยินชื่อ เพราะเอาเข้าจริงก็ยังไม่กล้าทานของข้างทางที่นี่มากนัก เรื่องเล่าเค้าเยอะ

    ตำนานของขนมชนิดนี้จากที่เพื่อนเล่าให้ฟังผสมๆกันกับที่ผมกลับมาเซิจหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ได้ความคร่าวๆว่า

    กาลครั้งหนึ่ง มีชายหนุ่มฐานะยากจนประมาณชนชั้นแรงงานบ้านเราซึ่งขยันขันแข็งทำมาหากินเป็นอย่างมาก แต่ดันไปพบรักกับหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ซึ่งมีตำแหน่งเป็นลูกสาวหัวหน้าหมู่บ้าน

    ซึ่งเมื่อหมาวัดหมายปองดอกฟ้า แน่นอนว่าย่อมไม่เข้าตาผู้เป็นพ่อของหญิงสาว ถึงกระนั้นก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรค์นานับประการที่เข้ามาขัดขวามความรักของเขาทั้งสอง แต่เมื่อหัวใจมันเรียกร้อง ก็ต้องฝ่าฟันไปให้ได้ถึงที่สุด จนสุดท้ายฝั่งผู้เป็นพ่อใช้ท่าไม้ตายคลาสสิกในตำนาน จับลูกสาวแต่งงานซะเลย แน่นอนว่าตามท้องเรื่อง ทั้งสองจึงตัดสินใจพากันหนี

    ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพ่อหนุ่มคนนั้นแกแวะเวียนมาหาเป็นรูทีนรึเปล่า วันดีคืนดีพ่อตาดันรู้มาว่าไอ้พ่อหนุ่มคนนี้ต้องมาหาลูกสาวเราในเส้นทางนี้อีกแน่ๆ จึงขุดหลุมรอไว้และฝังหนามไว้กะให้ตกลงไปแล้วตายเลยทันที (จิตใจทำด้วยอัลไล) แต่ไม่รู้ว่าวันนั้นหยิงสาวเกิดนึกอะไรขึ้นมา เมื่อทั้งสองพบหน้ากัน ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายวิ่งเข้าไปหาฝ่ายชายโดยไม่รู้ว่า เอ๊ะ เอ๊ะ ใครกันนะมาขุดหลุมไว้ตรงนี้

    ซวบ!! ฝ่ายหญิงตกลงไปในหลุม ในข่าวไม่ได้เล่าว่าตายทันทีหรือไม่ แต่ฝ่ายชายตกใจกระโดดหมายจะตามไปช่วย แล้วสุดท้ายก็ตกลงไปในหลุมด้วยกัน

    เช้าตรู่ฝ่ายพ่อหวังจะมาดูผลงานที่ตัวเองสร้าง แต่ต้องตกใจแทบสิ้นสติเมื่อพบว่าภายในหลุมมีร่างไร้วิญญาณอยู่สองคน และหนึ่งในนั้นเป็นลูกสาวตัวเอง

    แต่ก็ต้องจำใจฝังดินกลบลงไปโดยไม่รู้ว่าหลังจากนั้นฝ่ายพ่อจะโดนข้อหาอะไรมั้ย และตำนานเรื่องนี้ถูกเล่าปากต่อปาก จึงมีใครซักคนเริ่มสรรสร้างขนมครกขึ้นมา (โดยที่ไม่รู้ว่าได้สูตรมาจากไหน ถ้าจะให้เชื่อมโยงตำนานหน่อย ก็ให้ฝ่ายชายชื่อกระทิแล้วฝ่ายหญิงชื่อแป้งไป) โดยตามลักษณะของขนมครกจะเป็นสองชิ้นปิดกันเพื่อแสดงถึงความรักของทั้งคู่ ฉะนั้นหากทานขนมครกที่ถูกวิธีคือต้องกินทีเดียวแบบที่ยังประกบกันนั้นแหละ (ซึ่งมึงก็ต้องแคะออกจากฝาแล้วมาประกบกันที่หลังอยู่เปล่าวะ!!) เรื่องเล่ามีเท่านี้นี่เอง

    และนิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าถ้าอีกฝ่ายตกลงไปในหลุม
    ควรตั้งสติก่อนกระโดดลงไปช่วย

    สังเกตุว่าหลายตำนานที่เล่าขานต่อกันมามักมีเรื่องของความรักเป็นส่วนประกอบแทบทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นมุมใดของโลก หรือนี่จะเป็นจริงดังที่ว่าความรักมักขับเคลื่อนโลกให้มุนต่อไปได้ พลังงานหนุ่มสาวช่างน่าสนใจเสมอ

    แต่ตำนานก็ยังคงเป็นเพียงเรื่องเล่าแบบปากต่อปาก หากไม่บิดเพี้ยนไปตามเวลาที่เคลื่อนผ่านไป เราคงมีเรื่องสลักไว้ในความทรงจำของคนรุ่นหลังอีกนานแสนนาน

    และวันต่อๆไปที่ผมหยิบขนมครกขึ้นมากิน ผมคงจับแยกชิ้นกินเหมือนเดิมด้วยความสะใจ

  • 04. อนาล๊อกแค่ไหนถามใจเธอดู


    ยกให้เป็นเรื่องเซอร์ประจำวันไปโดยปริยายกับสวนสนุกของที่นี่ วันนี้หลังจากที่ผมและเพื่อนๆจบงานในตัวเทศกาลเสร็จ เราเลยออกมาเดินเล่นตลาดบริเวณนั้น และหูทั้งสองก็ได้ได้ยินเสียงเพลงจังหวะ EDM ของพม่าลอยมาพอดี เราจึงลองเดินตามเสียงนั้นไปดู

    อู้หู้ว!! นี่มันโซนเครื่องเล่นงานวัดนี่น่า ภาพแรกที่ปรากฏสู่สายตาเป็นภาพของชิงช้าสวรรค์กำลังหมุนๆหยุดๆ เราก็เออ งานวัดมันต้องแบบนี้สินะ มีชิงช้าสวรรค์เป็นเหมือนมาสคอส แต่พอยิ่งเดินเข้าไปใกล้ๆ เฮ้ยเดี๋ยวนะ ทำไมมันแปลกๆวะ เหมือนว่าชิงช้าสวรรค์ที่นี่มันรูปทรงที่นังแปลกๆไปซะหน่อย แต่ตอนนั้นยังไม่ได้สนใจอะไร สิ่งที่ทักทายสายตาเราตอนก้าวพ้นประตูดุเหมือนจะเป็นม้าหมุน

    ภาพเด็กน่ารักเล่นม้าหมุนหัวเราคิกคักชวนเราหยุดดูเพลินๆ หยิบกล้องมาถ่ายเก็บไว้ดูเล่น แต่ซักพักเรามองเห็นผู้ชายคนหนึ่งซึ่งยืนประจำอยู่จุดเดิมตลอดเวลา และเป็นคนคอยจัดคิวให้เด็กขึ้นไป แต่พอสังเกตุ หน้าที่เขาไม่ได้มีแค่นั้นเหวย!! เราเห็นพ่อหนุ่มคนนั้นเป็นคนพลักให้ม้าหมุนเคลื่อนที่เป็นวงกลม ซึงในแต่ระรอบเขาจะพลักประมาณ 3-4 ครั้ง แล้วหลังจากนั้น ตามทฤษฏีการเครื่อนที่เป็นวงกลม แรงส่งนั้นจะทำให้ม้าหมุนหมุนต่อไปได้เรื่อยๆ จากความแรงต้นจนถึงค่อยๆต่ำลง และหยุดในที่สุด นั้นคือหมดรอบ

    เชี่ยยย!!! โครตเซอร์ เมนวลสุดๆ ทุกอย่างทำด้วยแรงมือล้วนๆ แต่ยัง นั่นยังไม่พีคเท่าชิงช้าสวรรค์

    เราเดินกันต่อไปอีกหน่อยจนถึงแถวชิงช้าสวรรค์ แล้วพอหันขึ้นไป ผมถึงกับตกใจ เฮ้ยยยยยย ที่นั่งไม่มีประตูปิด บ้าไปแล้ว อารมณ์เหมือนคนนั่งสวนสาธารณะชิวๆ แล้วหมุนไปเรื่อยๆ แต่ความปลอดภัยในชีวิตต่ำเลยนะมึงงงง

    ยังครับ ยังไม่พอ จังหวะแรกเราเห็นคนที่ปีนป่ายแบบคล่องแคล่วมากประหนึ่งเป็นลูกศิษย์เห้งเจีย เกาะตัวที่นั่งชิงช้าสวรรค์ซึ่งแต่เดิมอันตรายอยู่แล้วให้เสี่ยงตายขึ้นไปอีก แต่ยังครับยัง เท่านั้นยังเซอร์ไม่พอ ตอนแรกเราคิดว่านั่นเป็นเพียงคนเมาซนๆธรรมดา แต่ดูไปดูมา เฮ้ยไม่ใช่ละ คนทำแบบนั้นมีมากกว่าสิบคน และปีนป่ายขึ้นไปตามซี่ลวดชิงช้าสวรรค์ เราสังเกตุอยู่พักหนึ่งถึงกับตกใจกับ shock culture ที่เจอในวันนี้ ซึ่งเป็นที่พีคสุดๆแล้วเท่าที่เจอมา สรุปว่าผู้คนเหล่านั้นคือแหล่งพลังงานขับเคลื่อนชิงช้าสวรรค์ให้เคลื่อนที่ไปได้ในระบบอนาลอก

    เขาไม่ใช้ไฟฟ้า แต่ว่าใช้แรงงานคน ลองนึกถึงเกมบางอย่างที่ให้เราหมุนแผ่นวงกลมในแนวตั้งดูนะครับ ไอ้ที่ว่าถ้าตอนวงกลมหยุดหมุนเมื่อไร แล้วภาพอะไรตรงกับลูกษรก็รับรางวัลนั้นไป หลักการคล้ายๆกัน นั้นคือในแต่ระรอบ ทีมงานจะปีนขึ้นไปด้านบนเยื้องๆไปทางฝั่งใดฝั่งหนึ่งของชิงช้า พอพร้อมและได้สัญญาณ เขาจะกระโดดเกาะกับที่นั่ง น้ำหนักตัวบวกกับแรงดึงดูดโลกจะดึงให้ชิงช้าสวรรค์หมุนเป็นวงกลมในแนวนอน ซึ่งหลักการคล้ายๆกับม้าหมุน เพียงแต่นี่เป็นแนวตั้ง ซึ่งความแรงตั้งต้น แน่นอนว่าเร็วพอให้ใครซักคนที่ยึดเกาะไม่แน่นร่วงหล่นลงมาได้แน่ๆ และพอม้าหมุนหมุนไปซักพัก ทีมงานจะจับจังหวะแล้วเกาะกับชิงช้าเพื่อให้พาขึ้นไปสู่ด้านบน แล้วเขาจะเหวี่งตัวเองไปประจำตำแหน่ง

    ที่พีคอีกคือตอนใกล้หยุด ทุกคนจะมาช่วยกันใช้แรงต้านเพื่อให้มาหมุนหยุด ก่อนจะให้ลงที่ละคนๆ จนครบแล้วเริ่มรอบใหม่

    เรายืนมองด้วยใจระทึกปนตื่นเต้น ครั้งหนึ่งผมเคยเล่นกีฬาอย่าง Free running หรือ Parkour ซึ่มเป็นกีฬาประเภทปีนตึกมาบ้าง มาครั้งนี้ผมได้เห็นลีลาการปีนขึ้นชิงช้าสวรรค์และโหนตัวระหว่างโครงเหล็กได้อย่างคล่องแคล่วแบบนี้ ผมนี่ถึงกับอึ้งไปเลย ไม่แน่ว่าถ้าพวกเขารู้จักกับกีฬา Extream อย่าง Prakour และได้ลองเล่นดู เชื่อว่าประเทศนี้จะติดอันดับต้นๆได้ไม่ยาก

    อีกอย่างคือเพิ่งเคยเห็นชิงช้าสวรรค์เวอร์ชั่น Analog แบบนีเป็นครั้งแรก และเชื่อว่าจะไม่ได้เห็นที่ไทยแน่ๆ แต่ถ้าเป็นไปได้ อยากลองดูด้วยตาอีกซักครั้ง ส่วนได้ทดลองขึ้นดูซักรอบมั้ย บอกเลยว่าไม่กล้า ยังรักชีวิตอยู่

    หันหลังกลับไปเจอเครื่องเล่นอีกชนิดหนึ่งซึ่งเป็นลักษณะคล้ายเรือแกว่งไกวไปมาคล้ายชิงช้า เราอาจจะรู้จักในชื่อของ ไวกิ้ง

    ใช้ครับ แม่ง Analog อีกแล้ว วีธีการง่ายๆ ให้คนขึ้นไปให้หมดครบจำนวน แล้วมีเจ้าหน้าที่คอยไกวเหมือนชิงช้า แต่เราจะได้ยินเสียงเหมือนลูกปืน คอยเบรกให้ความช้าลดลงมาจนสามารถหยุดได้

    โอ้โห วันนี้ยืนช๊อคกับโซนนี้อยู่นานพอสมควร สิ่งหนึ่งที่เห็นคือความสามัคคีกันของคนในคณะของแต่ละเครื่องเล่น ผมไม่รู้หรอกว่าเขาสนุกหรือไม่ แต่ภาพเบื้องที่เห็นคือเขายังทำงานได้อย่างขยันขันแข็งและคล่องแคล่ว และชิงช้าสวรรค์สำหรับที่นี่อาจไม่ใช่เครื่องเล่นเพื่อให้หนุ่มสาวจีบกันแบบโรแมนติกแน่ๆ อัตราเร็วแบบนั้นอาจเป็นการพิศูจน์ความรักได้มากกว่าหากว่ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตกลงไป มันอาจเป็นเครื่องเล่นวัดใจและให้ความเสียวใส้ได้ไม่ต่างจากไวกิ้ง

    สิ่งนี่เป็นสิ่งพิเศษที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ
    แต่มันจะตราตรึงอยู่ในใจผมอีกนานแน่ๆ 
  • 05. ทางรถไฟสายนั้นทอดยาวสู่สีป้อ

    -----


    "คอฟี คอล่า เบเยีย วาทา"

    เสียงแปล่งเล็กแหลมจากแม่ค้าปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์หลังจากรถไฟออกมาจากสถานีได้พักใหญ่ ในสถานีเล็กๆ ระหว่างเส้นทางสู่สีป้อ นี่เป็นจุดจอดพักรถ(ไฟ)

    --

    ไม่บ่อยนักหรอกที่ผมจะเบิกลูกตาตื่นก่อนเข็มสั้นของนาฬิกาชี้ที่เลขเจ็ด แต่เหตุจำเป็นวันนี้ทำให้ผมต้องตื่นเช้า เพื่อให้ทันรถไฟเที่ยวเวลาแปดโมงครึ่ง ซึ่งคืนก่อนหน้า เจ้าของบ้านที่เราขอพักอาศัยโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายบอกเราไว้ว่าเวลาเจ็ดโมงครึ่งวันนี้ เขาจะให้คนงานของเขาพาเราไปส่งที่สถานีรถไฟ เป็นการแสดงน้ำใจครั้งสุดท้ายก่อนแยกย้ายกันไปในคืนนั้น

    ฝนตกปรอยๆชวนให้เป็นหวัดได้ง่าย แต่ต้องขอบใจที่เขาพาเรามาถึงสถานีรถไฟได้ทันเวลาก่อนฝนห่าใหญ่จะตามมาติดๆ เราซื้อตั๋วเรียบร้อยแล้ว แม้เวลาบนตั๋วจะระบุตัวเลขชัดเจน แต่ในใจรู้แน่ๆว่ามันต้องออกช้ากว่ากำหนด

    สถานีรถไฟที่นี่ไม่ต่างกันกับบ้านเกิดของผม ภาพผู้คนแบกสัมภาระพะรุงพะรัง พร้อมทั้งเด็กเล็กวิ่งเล่นอย่างไร้เดียงสาเป็นภาพที่น่ารักในตอนเช้า และยิ่งเป็นวันที่ฝนตกลงมาให้เย็นใจแบบนี้ด้วย เด็กก็คือเด็ก ความเขิลอายอาจยังไม่ก่อตัวขึ้นตามอายุ เพียงผมส่องกล้องเข้าหา เด็กน้อยก็กรูกันมายืนแอ๊คท่าให้ถ่ายรูปอย่างสนุกสนาน ไม่ต้องเป็นห่วงช่างภาพที่มาด้วยกัน ฝ่ายนั้นได้ภาพเด็ดๆกลับไปแล้วกระบุงใหญ่ ชีวิตเช้าช่างเปี่ยมล้นไปด้วยพลัง หลังจากเราทานก๋วยเตี๋ยวแห้งของที่พม่าบริเวณตลาดหมดลง ก็เป็นเวลาไล่กันกับรถไฟแล่นมาจอดเทียบท่าพอดี

    ดูเหมือนว่าโบกีที่ผมนั่งมาจะเป็นโบกี้เฉพาะนักท่องเที่ยว กระเป๋าใบใหญ่ของแต่ละคนถูกนำไปเก็บไว้ตรงตระแกรงเหนือหัว หลายคนทักทายกันตามอัธยาศัยและไมตรีของนักเดินทาง ส่วนผมเข้าที่นั่งได้เรียบร้อย ก็ปรับเบาะเอนลงหลังและพล้อยหลับไปในขณะที่สายฝนยังโปรยอ่อน

    -----

    กว่าผมจะจับใจความได้ว่าเสียงที่แม่ค้าชาวพม่าคนนั้นกำลังพยายามบอกกับเราคือลักษณะของเครื่องดื่ม คอฟฟี่ โคล่า เบีย์ร วอเตอร์ ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่หลายๆคนลงจากรถไฟเพื่อหาอะไรเติมเต็มช่องว่างในท้องกันแล้ว

    เหมือนว่าเป็นที่รู้กันของชาวบ้าน รถไฟจอดสถานีนี้นานเป็นพิเศษ ช่วงเวลานี้เองเป็นช่วงเวลาสั้นๆแต่นานพอที่แม่ค้าจะกอบโกยกำไรจากสินค้าที่ตนหิ้วมาได้อย่างไม่ขาดทุน ผมเติมข้าวลงกระเพราะหนึ่งกล่อง แล้วกลับมานอนต่อ

    ----

    จุดพักรถอีกครั้งเป็นสัญญาณว่าเรากำลังเข้าใกล้สะพานใหญ่อันเป็นไฮไลท์ของทางรถไฟสายนี้ ทางรถไฟที่สูงที่สุดในพม่ากำลังจะโผล่ออกมาให้เราเห็นภายในไม่กี่นาทีข้างหน้า แม้ว่าผมจะยังคงง่วงอยู่ แต่ถ้าพลาดดูสะพานแห่งนี้ด้วยสายตาคงน่าเสียดาย

    ไม่นานนักโครงเหล็กยักษ์งดงามก็ออกมาปรากฏกายให้เราเห็น คุณลุงพม่าคนหนึ่งคงเห็นผมงงๆ จึงเดินเข้ามาใช้ภาษากายชักชวนให้ผมไปยืนตรงนี้ ตรงที่ผมสามารถมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วลงมือลั่นชัตเตอร์ได้อย่างไม่เคอะเขิน

    หากสะพานแห่งนี้เป็นหญิงสาว ในแต่ละวันสาวเจ้าคงชินชากับบรรดาปาปารัซซี่ที่เก็บภาพเธอในทุกครั้งที่ผ่านไป ไม่น่าเชื่อว่าสะพานก๊อกเต็กแห่งนี้จะมีอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปีมาแล้ว

    งดงามและยิ่งใหญ่เหลือเกิน
    ผมคิดในใจ

    กล้องเล็กจิ๋วไปจนถึงตัวใหญ่หนักบ่าถูกงัดออกมาเก็บภาพกันอย่างไม่ขาดสายตลอดเส้นทางที่รถไฟแล่นไป ทุกคนล้วนอยากเก็บภาพ ครั้งหนึ่งในชีวิต ด้วยกันทั้งนั้น ผมเองก็เช่นกัน

    และเมื่อผ่านพ้นจุดนั้นไป ทุกอย่างก็กลับกลายเป็นปรกติ เป็นเวลาอีกนานพอควรกว่าจะถึงจุดหมาย เศษซากกิ่งไม้ที่โดนขบวนรถไฟแล่นผ่านตกกระจุยกระจายเต็มพื้น ทำให้ผมต้องหยิบกระเป๋าขึ้นมาปัดมันออก ลมภายนอกประกอบกับฝนปรอยผ่านกระทบร่างเย็นสบายเหลือเกิน ผมหยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้มาอ่านต่อเพื่อฆ่าเวลา

    เส้นทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล

    เมื่อเราเดินทางโดยรถไฟ วิวทิวทัศน์ไกลๆปรากฎเป็นทุ่งนาสลับทิวเขา ชาวบ้านบางคนโบกมือให้ในเวลาที่รถไฟผ่าน สำหรับชีวิตคนเมืองแบบผม ภาพแบบนี้คงเห็นได้ไม่บ่อยนัก ไม่แปลกใจเลยหากหลายครั้งจะเผลออมยิ้มไปโดยไม่รู้ตัว

    พม่ายังเป็นเมืองที่ต้นไม้เขียวชุ่มและพุ่มไม้แน่นหนาตลอดเส้นทางที่รถผ่าน น่าเสียดายหากวันหนึ่งผืนป่าจะต้องกลายหายไปเป็นเพียงดินโล่ง

    ผมยังคงอ่านหนังสือในมือตัวเองต่อไปในขณะที่รถไฟยังโยกเยกไปมาเป็นจังหวะเดิม

    เวลาในการเดินทางครั้งนี้เหลือไม่มากแล้ว เวลาสั้นๆสองสัปดาห์ไม่อาจพาเราไปชมสถานที่ไฮไลต์ได้หมดทั้งประเทศ เพียงแต่เวลาที่ผ่านมา หลายเรื่องที่ได้เจอก็นับว่าคุ้มค่ามากแล้วกับการเดินทางมาครั้งนี้

    ----

    รถไฟถึงที่หมายช้ากว่ากำหนดอย่างที่คิดไว้ ในสีป้อ เมืองเล็กๆแต่เปี่ยมไปด้วยเรื่องราวน่าสนใจมีแรงดึงดูพอที่ทำให้ผมและเพื่อนตัดสินใจเดินทางมาเยี่ยมชม

    ตำนานขมปร่าของเจ้าจาแสง เจ้าชายเมืองสีป้อแห่งรัฐฉาน ซึ่งตกหลุมรักกับสามัญชนคนธรรมดาอย่างอิงเง่และแต่งงานด้วยกันในที่สุด แต่จุดหนึ่งเมื่อปัญหาการเมืองส่งผลให้พระเจ้าจาแสงถูกจับตัวไป จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีคำตอบอีกเลยว่าจับตัวไปไว้ที่ไหน ทำให้เธอและลูกสาวสองคน เกนรี-มายรี ต้องหนีออกนอกประเทศไปอยู่ออสเตเรียในที่สุด และเกิดเป็นหนังสือนิยายอิงประวัติศาสตร์ชื่อ twilight over burma หรือชื่อภาษาไทยว่า สิ้นแสงฉาน (สนพ.มติชน) แม้ผมจะยังไม่เคยอ่านฉบับเต็บซักครั้ง แต่คิดว่าหากได้กลับไป นี่คงเป็นหนึ่งในหนังสือที่ผมต้องอ่านแน่ๆ

    รถโรงแรมบริการรับเราถึงสถานีรถไฟ สายฝนยังคงตกอยู่ ภาพพระเจ้าจาแสงและพระนางอิงเง่ที่ติดอยู่เหนือทางขึ้นบันไดที่พักยืนยันได้ว่าเรามาถึงสีป้อเรียบร้อยแล้ว

    แม้ไม่รู้ว่าความจริงของเรื่องนี้จะลงเอยเช่นไร และไม่รู้ว่าผมจะได้เจออะไรบ้าง แต่ลึกๆ ผมยังหวังให้ตำนานที่ยังไม่จบบริบูรณ์เรื่องนี้ค้นพบคำตอบเสียที

    ว่าตอนนี้ พระเจ้าจาแสงอยู่ที่ไหนกันแน่....
  • 06. โรคประหลาด ในประวัติศาสตร์ความเศร้า เมื่อเดินทางมาถึงวันท้ายๆในโลกที่ไม่ได้เป็นของเรา
    -----

    "ประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกไว้ในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา มนุษยชาติเลือกสงครามเพื่อเป็นหนทางไปสู่สันติภาพ หลายศตวรรษที่ผ่านมา ท่ามกลางโลกทั้งโลกซึ่งบอบซ้ำย่ำแย่ มนุษย์จึงพยายามเสาะค้นหาดาวดวงใหม่ โลกใหม่ เพื่อทำความเข้าใจดาวเคราะห์เพื่อนบ้าน ทุกวันนี้ นักจักรวาลวิทยา นักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ ค้นพบโลกใหม่สัปดาห์ละหลายโลก กระทั้งปัจจุบัน นักดาราศาสตร์ค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบหรือ EXOPLANET หรือโลกที่โคจรรอบดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ นอกจากดวงอาทิตย์แล้วกว่า 400 ดวงและพวกเขาเหล่านั้น พยายามค้นหาสัญญาณของสิ่งมีชีวิตจากโลกเหล่านั้น ที่น่าเศร้าอย่างยิ่งก็คือว่า มนุษย์เรากำลังทอดทิ้งและไม่ใส่ใจสัญญาณชีวิตของเพื่อนมนุษย์ ผู้หายใจอยู่บนดาวเคราะห์ดวงเดียวกัน"

    นี่เป็นหนึ่งในจำนวนประโยคหลายสิบประโยคที่ผมย้อนกลับไปอ่านซ้ำหลายๆครั้งในช่วงเวลาที่นั่งอ่านหนังสือเล่มนี้ ไม่น่าเชื่อว่าหนังสือดีขนาดนี้จะนอนนิ่งอยู่ในชั้นหนังสือบ้านผมอยู่เกือบสองปี

    ลายเซ็นต์ในหน้าที่สองยืนยันว่าผมกับนักเขียนเคยได้พบกันครั้งหนึ่ง แต่ถึงอย่างไร ในความหนาห้าร้อยหน้าก็เป็นความยากพอควรให้ผมเริ่มต้นอ่าน แต่เมื่อวันที่ผมกำลังจะเดินทางมาพม่า และสายตาหันไปเห็นหนังสือเล่มนี้พอดี เวลาเกือบสิบสี่วันผมคิดว่าคงอ่านมันจนหมด และขี้เกียจพกไปหลายเล่ม

    ผมเริ่มต้นอ่านหนังสือเล่มนี้ในวันที่หกของการเดินทาง ระหว่างรอรถบัสจากมัณฑะเลย์สู่พุกาม ช่วงเวลาสั้นๆกับกระดาษที่ผ่านไปไม่กี่หน้าทำให้ผมรู้ว่า ผมเลือกหนังสือมาถูกเล่มแล้ว

    เหตุการณ์ในเรื่องพอได้อ่านไปเรื่อยๆประกอบกับช่วงเวลาก่อนหน้าที่ผ่านมา ความช่วยเหลือของเพื่อนชาวไทยที่กำลังเรียนอยู่ในพม่า ทำให้ผมได้รู้ถึงแง่มุมอื่นๆมากกว่าที่ปรากฏในLonely planet และทำให้ผมรู้สึกว่ามันจริงเสียจนขนลุกจนต้องหยิบมันขึ้นมาอ่านต่อทุกครั้งเมื่อมีเวลา บางครั้งยังแอบมโนไปว่าถนนบางเส้นที่ผ่านมาอาจถูกเหยียบย่ำก่อนหน้าโดยตัวละครบางตัว

    เราอาจมีเมล็ดพันธุ์ความเศร้าไหลปนอยู่ภายในตัวเราด้วยกันทั้งนั้น

    หน้าสุดท้ายถูกปิดลงที่ระเบียงเกสเฮ้าส์ในเมืองสีป้อแห่งรัฐฉาน เมืองที่มีเรื่องราวความเศร้าคลุกเคล้าอยู่ในบาดแผลทางประวัติศาสตร์ไม่ต่างกัน

    วันพรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายในดินแดนพม่าแห่งนี้ ดินแดนที่ไม่ใช่ของเรา (และบางกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศนี้ก็ยังพูดได้ไม่เต็มปากว่านี่คือดินแดนของเขา) ผมคงไม่อาจเปรียบเทียบตัวเองกับนักเดินทางยุคใหม่ที่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางแต่ละครั้งน้อยที่สุด ผมคิดว่าบางครั้งราคาที่เราจ่ายไปเพื่อได้เรียนรู้บางอย่างกลับมาก็นับว่าคุ้มค่ากับเงินที่ได้เสีย

    นี่อาจจะยังไม่ถึงเวลานอนของผม
    Myanmar beer ขวดที่เท่าไรไม่รู้ถูกเทลงบนแก้วช้าๆในเวลาที่ผมกำลังนั่งพิมพ์ และคิดถึงเรื่องราวตลอดเกือบสองสัปดาห์ที่ผ่านมา

    - วิถีผีนัต ทางเลือกในการแสดงตัวตนของกลุ่มเพศทางเลือกในประเทศที่มีทางเลือกน้อยเหลือเกินในการแสดงออกของพวกเขา
    - ความศรัทธาต่อบางสิ่งซึ่งยังไหลอยู่ในสายเลือดตั้งแต่ยุคบรรพบุรุษ
    - การปรับตัวเพื่อความร่วมสมัยซึ่งกำลังแพร่กระจายไปยังเมืองเล็กๆ
    - เรื่องเล่าน่าเศร้าเบื้องหลังความยิ่งใหญ่ในอนาจักรพุกามซึ่งถูกฉาบด้วยหลายชีวิต
    - กลุ่มสามเณรที่เดินทางไกลเพื่อค้นพบซึ่งการเรียนรู้บางอย่าง
    - มิตรภาพของคนแปลกหน้าที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน
    - การผสมผสานระหว่างความหลากหลายจนกลายเป็นสิ่งใหม่ได้อย่างลงตัว
    - ระบบการจราจรที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับดินแดนบ้านเกิด
    - กลิ่นดินและกลุ่มควันที่ทำร้ายโพรงจมูกจนไม่อาจได้กลิ่นหอมของทานาคา
    - การประณีประนอมกันกับเพื่อนร่วมทางเพื่อสร้างทางออกที่ดี
    - แม้ประวัติศาสตร์น่าเศร้าแค่ไหน หากเราทำใจและยอมรับมันได้ มันจะกลายเป็นบทเรียนที่ดีในอนาคต

    สมุดเล่มนั้นและกล้องดิจิตอลใหม่เอี่ยมที่ผมพกติดตัวตลอดเวลาคงไม่สามารถบันทึกได้ทุกย่างก้าวและเรื่องราวที่ได้เจอ แต่ผมเชื่อว่าถ้าได้กลับมานั่งทบทวนอีกครั้ง ภาพความทรงจำอาจหลั่งไหลกลับมาโดยไม่ต้องย้อนกลับมาที่นี่อีกครั้ง

    พรุ่งนี้ทั้งวันคงหมดไปกับการเดินทางสู่มัณฑะเลย์ เมืองแรกที่เราเหยียบย่างในผืนแผ่นดินนี้ อินเตอร์เน็ตที่นั่นคงใช้การได้ดีกว่าเมืองที่ผมกำลังอยู่

    สุดท้ายเมื่อรู้ว่ายังมีใครบางคนรอเราอยู่ในดินแดนที่จากมา เท่านั่นก็คุ้มค่ามากพอแล้วที่เราจะแบกเอาเรื่องเล่าทั้งหลายไปพูดกับเขา ใช้ชีวิตเดิมๆด้วยประสบการณ์ใหม่ เปลี่ยนแว่นสายตาที่ใช้มองโลกนี้ วางแผนชีวิต และการเดินทางครั้งต่อไป

    อีกนานเท่าไรไม่รู้ เพียงแต่ผมเชื่อว่านี่ไม่ใช่การเดินทางครั้งสุดท้ายในชีวิตแน่ๆ

  • เราหายไปนานเพื่อพบพานบางสิ่ง
    ----

    หลังจากกลับมาจากพม่า แม้ว่าจะมีเรื่องราวเป็นกระบุงที่อยากจะเล่า แต่เราก็ตัดสินใจใส่มันไว้นอนนิ่งในสมุดบันทึกเงียบๆ แน่ละ ช่วงเวลาหลังจากเดินทางเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการซึมซับสิ่งดีๆ เหมือนรอให้บางอย่างในความคิดตกผลึกออกมาเป็นสิ่งที่มีควรค่าแก่การบอกต่อ

    สองวันที่ผ่านมาเพราะการงานที่ทำ ทำให้เรามีโอกาสได้โทรคุยกับคุณมิ้น I Roam Alone สาวน้อยนักเดินทางผู้ซึ่งเราติดตามเธออยู่ (หมายถึงติดตามผ่านทางโซเชียลเน็ตเวลิค) แม้วันนั้นจะเป็นเวลาหัวค่ำ แต่น้ำเสียงของเธอยังสดใส ผมไม่เคยเจอเธอตัวจริงหรอก แต่ได้คุยกันก็รู้แล้วว่าเธอเป็นคนร่าเริงขนาดไหน มีประโยคนึงในบทสนทนาที่เราชอบมาก เธอบอกว่า

    “ยิ่งเดินทางยิ่งตื่นเต้นนะ เหมือนเราไม่ได้มีเป้าหมายใหญ่ๆแบบแต่ก่อนแล้ว ช่วงนี้ตื่นเต้นกับอะไรเล็กๆง่ายมาก อย่างเห็นชาชักก็ตื่นเต้นแล้ว เหมือนเรายังเป็นเด็กตลอด แต่มันก็มีความเป็นผู้ใหญ่ในทางอารมณ์ เรานิ่งมากกว่าเดิม มีเหตุผลในชีวิตมากขึ้น”

    คิดว่าคงใช่ ผมเองไม่ใช่คนที่เดินทางไปไหนมาไหนมากมายเหมือนเธอหรอก แต่ล่าสุดศุกร์เสาร์ที่ผ่านมาผมเองก็แบกเป้ไปพัทยาเงียบๆคนเดียว ไม่ได้หนีร้อนหรือหนีรัก แค่อยากไปพักใจในที่ที่เราไม่ได้ไปมานานมากแล้วแค่นั้นเอง เราไม่ได้ตื่นเต้นกับน้ำทะเลเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าเราตื่นเต้นกับบรรดาทัวร์จีนและร้านเหล้าที่เราไม่เคยเข้ามากกว่า เช่นกันกับความตื่นเต้นเมื่อได้ลองร้านกาแฟใหม่ๆ ที่ดูหรูหราเกินกว่าจะมาอยู่แถวชายหาด การเดินทางคนเดียวคงให้อะไรแบบที่การเดินทางอื่นๆให้ไม่ได้ เราได้เจอเพื่อนใหม่ที่นั่น ได้เรียนรู้ความต่างในวัฒนธรรม และได้รู้ความดำมืดของสังคมอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งนั่นแหละคือความตื่นเต้นของเราในทุกครั้งที่ก้าวเท้าออกจากบ้าน

    พอได้ลองเดินทางครั้งนึง ขามันก็พลันขยุกขยิกอยากไปที่อื่นอีก แต่งบประมาณในกระเป๋าไม่อนุญาตให้เราทำแบบนั้นได้บ่อยๆ ด้วยความจำเป็นตอนนี้เลยต้องกลับมานั่งทำงานเพื่อแปลเปลี่ยนผลิตภัณท์ทางความคิดให้ออกมาเป็นรูปธรรม หาเงินจุนเจือท้องและความฝันเพื่อต่อยอดไปกับการเดินทางครั้งต่อไป ใครว่าเงินไม่สำคัญ อันนี้ผมคิดว่ามันคงไม่ถูกไปเสียทั้งหมด เงินจะสำคัญต่อเมื่อเราจำเป็นต้องใช้มัน และมันจะไร้ค่ามากเมื่ออยู่ในดินแดนที่ไม่มีใครต้องการ และมันก็เป็นใบเบิกทางชั้นดีในการพาเราเข้าไปเรียนรู้สิ่งต่างๆที่อยู่นอกเหนือตำรา

    คาดหวังว่าคนได้มีโอกาสเดินทางไปที่ไหนสักที่อีกครั้ง
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in