เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
2018kawoatt
A year of lesson learned
  • จริงๆเอนทรี่นี้ไม่มีอะไรมาก นอกจากเป็นการเขียนอะไรหลายๆอย่างให้กับปี 2018 ที่ผ่านมา
    เอาจริงๆจะว่าเป็น A year of lesson learned ก็คงไม่แปลกนัก โดยเฉพาะเรื่องงานและทิศทางชีวิตหลังเรียนจบ ปีนี้เป็นปีที่เราตัดสินใจสมัครแอร์โฮสเตสแม้เรามีเวลาเตรียมตัวไม่นานนัก คิดไว้เมื่อต้นปีก็ลงสนามแรกเดือนมีนาเลย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยืนยันได้ว่านี่ไม่ใช่ความคิดชั่ววูบของเราแน่นอน :)

    ทำไมถึงอยากเป็นแอร์? 
    คำถามที่เจอมาไม่รู้กี่ครั้ง บ้างก็ตอบไป บ้างก็เหนื่อยจนกว่าจะอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ
    สำหรับเรามันมีองค์ประกอบหลายๆอย่าง การตัดสินใจเดินทางสายหนึ่งหลังเรียนจบไมใช่เรื่องง่าย แต่หลังจากลองประมวลความชอบ นิสัยส่วนตัวหลายๆด้าน สไตล์การทำงาน ผลจึงออกมาว่างานลูกเรือนี่แหละ ที่น่าจะตอบโจทย์ชีวิตจบใหม่ได้ดีไม่น้อย

    หลังจากเรื่องรักย่ำแย่ในปี 2017 เราเลยตัดสินใจทุ่มเทความรักทั้งหมดที่มีให้กับเป้าหมายใหม่ในชีวิต ก็คือการสมัครงานนี่แหละ ฟังดูเว่อร์ไปไหม? 5555 แต่เราคิดแบบนั้นจริงๆนะ เราไม่อยากทำมันแค่เล่นๆ ครั้งนึงที่เราตัดสินใจแล้ว ก็อยากทำมันด้วยความรัก และความตั้งใจ เลยตั้งเป้าหมายใหม่ งั้นไปโฟกัสชีวิตกับเรื่องงานแทนก็ได้ :)

    หลังจากถ่ายรูป เตรียมตัว(แบบลวกๆแต่คิดว่าพร้อมแล้ว) เลยเริ่มสมัครสนามแรกที่กรุงเทพนี่แหละ
    เราจำความรู้สึกก่อนไปสมัครครั้งแรกได้ เราไปด้วย self esteem ล้นเหลือ พ่วงมาด้วย pride ว่าเห้ย เราก็จบอินเตอร์นะ ภาษาก็ดี ยังไงก็น่าจะได้แหละน่า

    แต่... เราลืมนึกไปว่า การสมัครงานลูกเรือไม่ได้พิจารณาแค่ภาษา แต่รวมถึงบุคลิค ประสบการณ์ที่หลอมรวมกัน
    และแน่นอน การมีอีโก้สูงเสียดฟ้าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่

    เราเข้าห้องไปเจอกับกรรมการผมสีบลอนด์ ท่าทางคล่องแคล่ว พูดจาฉะฉาน เริ่มด้วยการให้เราแนะนำตัวเอง ซึ่งเรามั่นใจในความคล่องแคล่วของตัวเองมาก แต่ลืมนึกถึงการใช้ hand gesture และบุคลิกของตัวเอง และสุดท้าย เราก็พลาดแบบไม่ต้องสงสัย

    วันนั้นเรากลับบ้านมานอนร้องไห้นานเลยล่ะ ในตอนแรกเราไม่เข้าใจเลยว่าเพราะอะไร เราหาสาเหตุไม่เจอเพราะอีโก้ที่บังตาเอาไว้ซะมิด จนเวลาผ่านไปถึงรู้ว่า ที่เราไม่ได้เพราะไม่เตรียมตัวนี่แหละ จะไปโทษใครได้ยังไงกัน

    หลังจากเฟลรอบแรกเราก็เริ่มสมัครครั้งที่ 2 และ 3 เรื่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่าเราก็เฟลอีกตามเคย เพราะเหตุผลเรื่องที่ดีแคลร์ไป

    ระหว่างนั้นเราได้เริ่มงานพาร์ทไทม์ที่โรงแรมเล็กๆแห่งหนึ่งไปด้วย แม้จะเป็นการทำงานแค่3เดือน แต่กลับเป็นจุดเปลี่ยนมากมาย ชีวิตที่นี่ทำให้เรารักในงานบริการมากขึ้น เรามีความสุขทุกครั้งที่ได้คุย แนะนำ ช่วยเหลือแขก การรู้จักและได้ทำงานกับผู้คนหลากหลายในที่ทำงาน ตั้งแต่พี่แม่บ้านยันเจ้าของโรงแรม ทำให้อีโก้ของเราค่อยๆลดน้อยลงไป และ appreciate คุณค่าของงานที่ทำกับสิ่งรอบตัวมากขึ้นด้วย จนพอเดือนตุลากาตาร์มาเปิดรับที่กรุงเทพอีกรอบ แม้จะคิดว่าคงไม่ได้ แต่สุดท้ายก็วอร์คอินไปอยู่ดีนั่นแหละ

    ครั้งที่4เนี่ย สำคัญที่สุดแล้ว..

    แปลกดี ครั้งนี้เราไปแบบไม่คาดหวัง ไม่คิดว่าจะได้ด้วยซ้ำ
    แต่ถ้าถามว่าทำไมถึงไป? คำตอบก็คือเรายังเชื่อใจตัวเองเสมอ และอยากลองให้โอกาสตัวเองอีกสักครั้ง ไม่ว่าผลจะเป็นยังไงก็ตาม
    เรายังจำความรู้สึกในทุกๆรอบได้ดี ตอนสัมภาษณ์รอบสุดท้ายเสร็จ เราแอบคิดว่าถ้าไม่ได้ก็คงจะเสียดาย แต่จะไม่เสียใจเลย เพราะวันนั้น คือวันที่ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า 
                               
                                      "การทำให้เต็มที่ และเป็นตัวเองในแบบที่ดีที่สุดคืออะไร"

    แม้จะผ่านโพรเสจหมดแล้ว สิ่งหนึ่งที่เราดีใจ ไม่ใช่การจินตนาการว่าตัวเองจะได้ลากกระเป๋าเดินทางรอบโลก หรือการมีเงินเดือนสูงๆ แต่เราดีใจไม่โกหกตัวเอง รู้สึกยินดีทุกครั้งที่กรรมการรับในความเป็นตัวเราได้ เพราะทุกคำตอบในทุกรอบ มันออกมาจากสิ่งที่เราคิดจริงๆ ไม่ใช่แค่การปั้นแต่งให้สวยหรู

    และที่สำคัญ อยากขอบคุณอังการ์มากๆที่ให้โอกาสเรามาถึงตอนนี้

    ถ้าย้อนกลับไปอ่านถึงการสมัครครั้งแรก เราเจอกรรมการผมบลอนด์ คนที่ดูเหมือนจะสนใจเรา แต่สุดท้ายก็ปัดตกและทำเราเสียน้ำตาจนได้ นั่นแหละ คืออังการ์ กรรมการสุดโหดจากโรมาเนีย 55555

    ครั้งนี้ เรากลับมาเจอเขาอีกรอบ เป็นเรื่องบังเอิญที่เจอเขาคนเดิมในทุกๆโพรเสจ อังการ์รู้ว่าเรามีข้อผิดพลาดตรงไหน เขายังจำได้ทุกรายละเอียด แต่ก็ให้โอกาสเรากลับมาปรับปรุงตัว จนสุดท้าย คนที่ปัดตกในวันนั้น ก็คือคนที่คอลจากโดฮามาหลังไฟนอลนั้นแหละ 55555

    จะว่าไป มีหลายคนถามว่าทำไมถึงเลือกกาตาร์?

    สำหรับเรามีทั้งคำตอบที่เป็นรูปธรรม และคำตอบที่มาจากความรู้สึก ถ้าตอบแบบเป็นเหตุเป็นผลหน่อยก็คือวัฒนธรรมองค์กร (จากที่มองในมุมมองคนนอก) แม้จะเข้มงวด แต่ก็มีความใส่ใจ และเห็นค่าของพนักงานที่ทุ่มเท มีความ multicultural สูง ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามองหาเสมอในการทำงาน

    แต่ถ้าเอาคำตอบตามสัญชาติญาณง่ายๆก็คือ ถ้าเราคิดว่าที่นั้นเป็นของเรา ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่ ต้องแลกมาด้วยความพยายามแค่ไหน สักวันมันต้องเป็นของเรา และเราก็เชื่อแบบนี้เสมอ
    ครั้งหนึ่งเราเคยได้แค่ฝัน เรานั่งจินตนาการชีวิตของลูกเรือ และนั่นแหละคือความผิดพลาดครั้งใหญ่ เพราะเรามัวอยู่แต่กับฝัน และไม่รู้จักทำมันให้เป็นจริง

    เราเลยได้เรียนรู้อีกอย่างว่า "ความฝัน" เป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นจุดเริ่มต้น เป็นแรงบันดาลใจในการเริ่มทำสิ่งหนึ่งให้กับชีวิต

    แต่ฝัน จะเป็นได้แค่ฝัน ถ้าเราไม่รู้จักเรียนรู้ข้อผิดพลาด และหาวิธีที่เหมาะสมกับตัวเองเพื่อทำมันให้เป็นจริง

    ไม่ว่าจะเป็นอาชีพลูกเรือ หรืองานไหนๆ สิ่งสำคัญคือเราอย่าหยุดเชื่อในตัวเอง แม้ว่าคนรอบตัวเราจะบอกว่าเราทำได้แค่ไหน ก็ไม่สำคัญเท่าการเชื่อใจตัวเอง และเชื่อว่าคนเราล้วนมีเวลาที่เหมาะสมของตัวเองทั้งนั้น :)


    ขอบคุณสิ่งที่ผิดพลาดในปีก่อน ทั้งเรื่องงาน ความรัก ทุกๆอย่าง ที่ทำให้เรารู้ว่าใครคือคนที่อยู่ข้างๆเราเสมอทั้งในยามทุกข์และสุข คนที่คอยสนับสนุน เป็นกำลังใจ ใครคือคนที่เราควรใส่ใจและเห็นค่า

    ขอบคุณเพื่อนๆ ครอบครัวที่เป็นแรงผลักดันให้เราเสมอ บางครั้งที่เราท้อ เรามักได้ยินคำพูดเสมอว่า "เราทำได้" เลยกลับมาคิดได้ว่า แม้แต่คนอื่นๆยังเชื่อในตัวเรา แล้วมีเหตุผลอะไรล่ะ ที่เราจะไม่เชื่อใจตัวเอง :)

    ขอบคุณกาตาร์แอร์เวย์ (ว่าที่) บริษัทใหม่ในปีหน้า อังการ์,เอริก้า กรรมการทั้งสองที่ให้โอกาสเราเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ มันคุ้มค่าจริงๆที่เราทุ่มเทความรัก ความตั้งใจทั้งหมดให้กับสิ่งนี้ เราสัญญาว่าจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นไปอีก ให้สมกับโอกาสที่ได้รับ

    ขอบคุณตัวเองที่ไม่เคยหยุด ถึงจะเสียน้ำตาไปเยอะแค่ไหน สุดท้ายก็กลับมามองหาข้อผิดพลาดและเรียนรู้มัน ขอบคุณที่ให้โอกาสตัวเองเสมอ

    สุดท้าย ฝากเพลงนี้เอาไว้ เป็นอีกหนึ่งเพลงที่เราเปิดบ่อยมากในปีนี้ แม้การสมัครงานจะเป็นเรื่องที่เครียดและกดดัน แต่เพลงนี้เหมือนเป็นเชื้อเพลิงที่เติมความฝัน อิสระเล็กๆให้กับเราเสมอ 

    Over the hill and far away, a million miles from LA just anywhere away with you
    I've known we've got to get away some places where no one knows our name 
    We final start for something new

                    "Just take me anywhere, take me anywhere. Anywhere away with you"

    คิดถึงการนั่งมองเครื่องบินเทคออฟขึ้นฟ้ากับเพลงนี้แล่นอยู่ในหัว ลึกๆก็คิดว่าถ้ามีใครซักคนที่ไปด้วยกันในหลายๆที่ ได้ใช้เวลาด้วยกันก็คงดี แม้จะยังไม่รู้ว่า anywhere with you คนนั้นจะเป็นใคร หรืออาจจะต้องใช้ชีวิตคนเดียวแบบที่เคยเป็นต่อไป ก็คงไม่มีทางไปเร่งรัดหาจากที่ไหน ปล่อยให้เป็นเรื่องของเวลานั่นแหละเนอะ

    อย่าลืมนะ ทุกคนมีนาฬิกาเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเรื่องงาน การเรียน คนที่ใช่ เราเชื่อเสมอว่าทุกอย่างมีเวลาที่เหมาะสมของมัน ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ถ้านั่นคือที่ของเรา ยังไงมันก็เป็นของเรา :)

    Thank you my beloved 2018 :)







Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in