เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[9Satra Fanfiction] Kiss It BetterM_Black
โพสต์นี้มีเนื้อหาที่อาจไม่เหมาะสมกับเยาวชน [9Satra Fanfiction] Kiss It Better
  •            ร้านเหล้าในตัวเมืองนาคาวรรณกำลังคึกคักจากงานฉลองเทศกาลเก็บเกี่ยวประจำปี เหล้าหมักจากข้าวและองุ่นนำเข้าจากเมื่องฝรั่งถูกนำมาต้อนรักแขกเหรื่อมากมาย ผู้คนต่างเฮฮาฉลองกันอย่างมีความสุขที่ผลผลิตปีนี้มากมาย สำหรับเมืองท่าที่เป็นศูนย์กลางการค้าขายและความเจริญยิ่งทำให้มันเป็นข่าวดีนัก ร่างสูงโปร่งผมแดงยืนหลบมุมดื่มเหล้าอยู่เงียบๆตรงโต๊ะริมบันได มิสนทนากับใคร สงบเงียบราวพยายามทำตัวให้ไร้ตัวตน ไม่มีผู้ใดสนเขานอกจากหญิงกลางคนที่คอยหมั่นมาเติมเหล้าและกับแกล้มให้ กระทั่งเข็มนาฬิการ้านบอกเวลาใกล้เที่ยงคืน ชายอีกคนที่เพิ่งเข้าร้านมาก็มาหยุดตรงหน้าโดยไม่รอคำเอ่ยชวนก็ถือวิสาสะนั่งลงทันที


               “ มาสายไปชั่วโมงนะ บาก “ ผู้นั่งรอมาก่อนทัก


               “ ขอโทษที “ ร่างสูงไล่เรี่ยกัน ผมสีขาวเหมือนปุยนุ่นเอ่ยตอบ


               “ เด็กเจ้าไม่ปล่อยเจ้ามาสินะ ข้าไม่ถือสาหรอกนะ มีคนรักเด็กกว่าเจ้าคงจะทนลูกอ้อนไม่ไหว “ บากที่กำลังตะโกนสั่งเครื่องดื่มหรี่ตามองสหาย


               “ ไม่ติดต้องค้าขายกับเจ้า ข้าคงต่อยเจ้าคว่ำไปแล้ว ทารคา “ เจ้าของนามผู้ถูกมาดร้ายหัวเราะ


               “ นั่นแสดงว่าเป็นเรื่องจริง เจ้าจึงดูหัวเสีย “


               “ ก็คงใช่ “ บากตอบ จิบเหล้าในถ้วยเคลือบ ความร้อนวูบวาบในลำคอช่วยให้รู้สึกดีไม่น้อย ชายหนุ่มดื่มอีกสองหรือสามอึกก่อนจะขยับตัวหยิบถุงเงินออกมา


               “ ไหนล่ะ ของของเจ้า “ ทารคาวางถ้วยเหล้าของตนเองลงบ้าง ก่อนจะหยิบกล่องไม้ออกมาจากในกระเป๋าหนังตัวระมาดเย็บอย่างดี เปิดออกเพื่อให้เห็นว่านั่นเป็นพลอยดิบยังไม่เจียระไนจำนวนนึง


               “ ดูท่าจะน้ำงามไม่น้อย ถ้าได้เจียระไนคงจะสวยพอถวายเข้าเข้ารั้ววังไม่ยากแน่ “


               “ ใช่ ข้าไปได้มาจากแหล่งพลอยชั้นดีทางเหนือน่ะ “ คนฟังเลิกคิ้ว


               “ เจ้ากลับไปทางคีรีกัณฑ์หรือ? “


               “ ไม่ถึง...ข้าไม่คิดจะกลับไปเหยียบคีรีกัณฑ์อีก “ ทารคาตอบ ดื่มเหล้าอีก


               “ ดีชั่วก็บ้านเกิดเมืองนอนของเจ้า ใยต้องเอ่ยเพียงนั้น “


               “ กลับไปก็รังแต่ยุ่งยากใจ ข้าเดินออกมาน่ะดีแล้ว เร่ร่อนค้าขายไปทั่วๆแบบนี้ สบายใจกว่าเยอะ วันนี้ค้าขายกับเจ้าเสร็จก็คงจะเดินทางออกจากนาคาวรรณในยามรุ่ง “ บากพยักหน้าเข้าใจ ดันถุงเงินส่งให้


               “ นับเอาว่าพอหรือไม่ “ ชายหนุ่มผมแดงนับจำนวนเหรียญทองอย่างระมัดระวัง เมื่อครบถ้วนตามที่ตกลงกันไว้ในสาส์นก็จัดการผูกปิดปากเก็บเข้าอกเสื้อไป


               “ แล้วนี่เจ้ากะจะเดินทางต่อไปไหนอีกหรือ? “


               “ ไม่รู้สิ พ่อค้าที่ขายทุกอย่างแบบข้า ก็ไปเรื่อยๆนั่นล่ะ ค่ำไหนนอนนั้น ตื่นมาก็หาของขาย “ เขาตอบเอื่อยๆ คนทั่วไปอาจจะมองว่าทารคาน่าจะเมา แต่บากรู้ดีว่าไม่ใช่ ด้วยสนิทกับมาตั้งแต่เด็กๆ อีกฝ่ายไม่เมาง่ายๆ แน่นอน


               “ ลงหลักปักฐานเถอะ ทารคา “ บากแนะนำ


               “ ไม่ล่ะ การเดินทางไปเรื่อยๆช่วยให้ข้าไม่ต้องคิดอะไร คิดแค่เรื่องค้าขายก็พอแล้ว “ สหายสนิทถอนใจ


               “ หากว่านั่นเป็นสิ่งที่เจ้าเลือกนะ แต่ถ้าเจ้าสนใจอยากจะหาที่อยู่ ข้าพอช่วยได้ “ ทารคายิ้มเห็นเขี้ยว


               “ ขอบใจมาก บาก เอาล่ะ ข้าว่ามันดึกแล้ว ข้าควรกลับที่พัก เจ้าเองก็ด้วย ควรกลับได้แล้วหาไม่แล้วเจ้าลูกหมาของเจ้ามันจะงอแงเอานะ “


               “ ลูกหมาที่ไหนกัน อย่ามาแซวสิ “


               “ ไม่แซวแล้วๆ “ ชายหนุ่มผมแดงหัวเราะ สะพายกระเป๋าหนังก่อนจะจัดการจ่ายค่าเหล้าทั้งหมดทั้งของตัวเองและบาก อากาศเย็นในยามกลางคืนทำให้ชายหนุ่มต้องหยิบผ้าพืนหนามามาพันคอ สวมฮู้ดหนังคลุมศีรีษะ แล้วเดินย่ำเท้าไปเรื่อยตามตรอกทางเดิน ผ่านผู้คนมากมาย ผ่านบรรยากาศงานฉลอง แต่ทุกสิ่งก็เหมือนภาพที่ไร้เสียงทุกก้าวเดิน  เมื่อถึงบ้านพักหลังเล็กๆย่านชานเมืองสำหรับนักเดินทาง กุญแจถูกหยิบออกมาเพื่อจะไข แต่ทว่าแสงและประตูที่แง้มเอาไว้ทำให้ทารคาชะงัก กลิ่นหอมของดอกไม้ที่คุ้นเคยแว่วกระทบฆานประสาท เรียกเสียงถอนหายใจได้ดี


               “ ...อีกแล้วเหรอ? “ เขาบ่น ก่อนก้าวเข้าไปข้างใน ร่างสูงสง่าในชุดคลุมสีขาวคลิบทองสูงค่ายืนอยู่กลางห้องพัก ไล่มือสำรวจกองม้วนสาส์นที่เป็นรายการสินค้าที่ค้าขาย และของใช้ส่วนตัวบางอย่าง วานิชหนุ่มเอ่ยทักขึ้นมาก่อน


               “ นิสัยชอบบุกรุกห้องคนอื่นที่แก้ไม่หายนะ “ ผู้ถูกว่าขานชะงักมือ ก่อนจะหันมามอง แย้มยิ้มใจดีให้


               “ นี่มิใช่ห้องพี่เสียหน่อย ทารคา แค่บ้านเช่าเก่าโทรม “


               “ แต่ข้าก็เสียเงินเช่ามัน เพราะงั้นมันเป็นสิทธิ์ของข้า ออกไปได้แล้วมารตา “ เจ้าของบ้านชั่วคราวเอ่ย ดึงผ้าพันคอและฮู้ดออกแขวนไว้ที่พนักเก้าอี้ ผู้มาเยือนยามดึกผิวปากน้อยๆก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้อีกตัวข้างหน้าต่าง ยกขาไขว่ห้างด้วยท่าทีสง่า


               “ หากข้าซื้อกิจการที่นี่ ท่านก็ไล่ข้าไม่ได้แล้วนะ เจ้าพี่ “


               “ ไม่ต้องมาทำเสียงหวานเรียกข้าแบบนั้น ข้าไม่ใช่พี่เจ้า แล้วก็เลิกนิสัยเอาเงินฟาดหัวคนอื่นได้แล้ว ไอ้เด็กโง่ “ มารตาหัวเราะ


               “ พี่ก็ควรเลิกหยาบคายใส่ข้านะ “


               “ มึงมาทำไม “ เขาถาม ดูเหมือนคำพูดก่อนหน้าของมารตาแทบไม่เข้าหูเลยสักนิด


               “ ...บอกว่าคิดถึง พี่จักเชื่อไหม? “


               “ ตอแหล “ ทารคาสวนทันควัน เอากระเป๋าวางไว้ที่หัวเตียงแล้วนั่งลงเตรียมจะถอดรองเท้าหนัง ซึ่งตอนนั้นเองที่มารตาขยับกายมานั่งคุกเข่าลงตรงหน้า จับขาของอีกฝ่ายมาวางตรงหน้าขา


               “ จะทำอะไร? “


               “ จะช่วยถอดให้เท่านั้นเอง “ ผู้อ่อนวัยกว่าตอบ


               “ ไม่ต้อง ข้าถอดเองได้ อีกอย่างชุดหรูหราขององค์กษัตริย์จะเปื้อนเอา พ่อค้าจนๆแบบข้าไม่มีปัญญาใช้คืนหรอกนะ “ มารตาหัวเราะอีกครั้ง ถอดรองเท้าให้แบบไม่สนใจ


               “ ของพวกนี้ก็ของท่าน เมื่อไหร่จะกลับมาเป็นกษัตริย์เล่า? “ คนผมแดงถอนใจ


               “ ข้าบอกแล้วไง ข้าไม่ได้ต้องการเป็นกษัตริย์ เจ้าเป็นก็ดีแล้วนี่ “


               “ ทั้งๆที่ท่านเป็นบุตรคนโตของพระบิดาหรือ “


               “ ลูกนอกสมรสที่ถูกถอดจากบัลลังก์ ไม่คู่ควรนั่งบนบัลลังก์หรอก เจ้ากลับไปได้แล้ว ถ้าไม่มีธุระอะไร เลิกตามข้าได้แล้ว แล้วนี่รู้ได้อย่างไรข้าอยู่ที่นี่ บากบอกเจ้ารึ??? “ องค์กษัตริย์ส่ายพักตร์


               “ ไม่ใช่ ข้าตามเฝ้าดูท่านมาตลอด “


               “ มาเสียเวลาตามข้าทำไม? “


               “ ก็บอกไปแล้วว่าข้าคิดถึง “ องค์ตรัส ขยับกายมาใกล้ๆ เลื่อนมือจับกับมือที่เย็นสักหน่อยของพี่ชาย ถูและบีบเบาๆให้ไออุ่น


               “ มือท่านเย็นนัก เลิกเป็นพ่อค้าเร่ร่อนมิได้หรือ? กลับไปคีรีกัณฑ์ ในฐานะผู้ช่วยของข้าเสียก็ได้ “


               “ ...ข้าสาบานกับตัวเองไว้ว่าจะไม่กลับไปที่นั่น “


               " ตอนนี้ข้าเป็นกษัตริย์คนปัจจุบันแล้ว แค่เรื่องที่พี่ถูกไล่ออกเพราะคิดฆ่าข้า ข้าทำให้มันเป็นเรื่องที่ไม่เกิดขึ้นได้เลยนะ “ ทารคาถอนใจอีกครัง


               “ อย่าใช้อำนาจในทางที่ผิดสิ ข้าเคยสอนเจ้าไปแล้วนี่ “


               “ จนป่านนี้ พี่ก็ยังสั่งสอนข้าเหมือนเดิมนะ หรือจะเป็นครูแทนวานิชแล้ว “


               “ เลิกพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องได้แล้ว มารตา รู้ตังบ้างไหมว่าตอนนี้เจ้าอยู่ในฐานะอะไร กลับไปได้แล้ว ปล่อยข้าให้มีชีวิตของข้าเถอะ “


               “ พี่ช่างดื้อดึง ยิ่งทำข้าให้ยิ่งอยากเอาชนะ “ มารตาบอก ยิ้มให้เหมือนเด็กน้อยเอาแต่ใจ


               “ วันนั้นข้าน่าจะเอามีดปักหัวเจ้า ไม่ใช่….ตรงอก “ วานิชเกศาสีเพลิงเอ่ย เลื่อนมือแตะที่อกของผู้สูงศักดิ์กว่าตนเอง


               “ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าข้า ข้ารู้ มันก็แค่ความเข้าใจผิดของเราสองคน อีกอย่างนึงถึงจะโดนจริงๆข้าก็ไม่ว่าพี่ “ มารตาบอก ก่อนจะลุกขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้ตามเดิม


               “ มารตา? “


               “ ช่วงนี้ค้าขายดีไหม “ องค์ถาม ทารคาเอนตัวลงนอนกับเตียงก่อนตอบ


               “ ก็ดี... “


               “ ไม่เหนื่อยหรือ พี่ทารคา เร่ร่อนไปทั่ว พี่ค้าขายดีแต่ไม่เห็นจะมีทรัพย์สินอะไรเลย “ คนมากวัยกว่ามองน้องชาย


               “ ข้าไม่ได้ต้องการอะไร แค่นี้ข้าก็มีความสุขพอแล้ว “ กษัตริย์หนุ่มลุกมาประทับข้างๆ ทอดพระเนตรใบหน้าคมที่แสนสง่างาม ครั้งหนึ่งเมื่อยังเด็ก ชอบนักที่ได้พิศมองพี่ชายจากระยะใกล้ จดจำทุกรายะเอียดทั้งแพขนตาหนา เส้นผมสีแดงสดนุ่มมือจนหลายต่อหลายครั้งต้องเอ่ยปากขอถักหรือจับเล่นตอนจะนอน ด้วยมารดาเสียไปแต่เยาว์วัย มือที่ฟูมฟักตนเองมาจึงมีแต่พี่ชายเท่านั้น


               “ แต่ข้าไม่มีความสุขเลย “


               “ ทำไม? ข้าได้ข่าวว่าเจ้าก็เพิ่งจะอภิเษกไปนี่ บ้านเมืองก็สงบไม่ใช่หรือ สงครามหรือความอดอยากก็ไม่มี ใยเจ้าไม่มีความสุข “


               “ เพราะไม่มีพี่ข้างกาย ข้าจึงไร้ความสุข “ มารตาตรัสตอบ ใช้เนตรสีฟ้าอมจ้องมองนัยน์ตาสีเพลิงตรงหน้า และกว่าจะให้ทารคาได้ตั้งตัว ก็โน้มองค์ลงประทับจูบที่ริมฝีปากของอีกฝ่าย เร่งเร้าราวย้ำเตือนให้เชษฐาผู้ไร้ศักดินาได้ระลึกถึงอดีต


                          อดีตหอมหวานที่ทารคาจำใจทิ้งเอาไว้

                          และพยายามไม่คิดถึงอีก


               “ มะ… มารตา “ ทารคายกมือจับพาหาแข็งแรงหมายเตือนสติให้หยุด กระนั้นก็มิอาจทำได้มากมายอะไร บพิตรผู้บุกรุกยังคงเอาแต่พระทัยเฉกเช่นยามเป็นเด็กน้อย และเพราะรักแสนรักนั่นอย่างไร ทารคาผู้พี่จึงมีเคยห้ามปรามให้หยุดได้เลยสักครา และมารตาก็เลิกหยุดแค่เพียงจุมพิตไว้เนิ่นนานแล้ว นับแต่เป็นวัยหนุ่มที่พร้อมอยากเรียนรู้สัมผัสทางกาย


               “ ...กลับไปกับข้าเถิด “ น้ำเสียงที่เอ่ยมาอ่อนหวาน ยั่วเย้าออดอ้อนให้ผู้มากวัยกว่าเผลอใจ


               “ ข้าจะ..ไม่กลับ “


               “ กลับเถิด กลับไปอยู่ข้างกายให้ข้าได้รักได้ดูแลพี่ให้ดี ให้ข้าได้รักพี่ให้สมใจ ให้ได้กอดพี่อีกสักครั้ง พี่จะใจร้ายกับน้องคนนี้หรือ ทารคา “ ผู้สดับฟังถอนใจอีกครั้ง


               “ ข้ามิได้ใจร้าย แต่ข้ากลับไปไม่ได้ คีรีกัณฑ์มิใช่ที่ของข้า “


               “ แต่อ้อมแขนข้าเป็นที่ของท่าน “ มารตากระซิบบอก


               “ อ้อมแขนเจ้าเป็นที่ของมเหสีเจ้า แลนางสนมมากมาย มิใช่ข้า อย่าเข้าใจผิด ท้าวมารตา ลืมเสียเถิด ลืมว่ามีข้าเป็นพี่ ลืมว่าครั้งหนึ่งข้าเคยหลับไหลทั้งคืนวันในอ้อมแขนนั่น “ ทารคาเอ่ยตอบ ทั้งๆที่รู้องค์ดีด้วยชุบเลี้ยงมาแต่เยาว์วัย น้องชายเป็นเด็กเอาแต่ใจ อีกทั้งมั่นคงหนักหนา หากได้ลองรักแล้วก็มิปล่อยมือ นอกเสียจากสิ่งนั้นไปไกลจนเกินเอื้อมแล้ว จึงจะยอมตัดใจ


               “ ข้าอาจมีมเหสี มีนางสนม แต่หัวใจข้ามีแต่ท่าน ใยพระทัยร้ายนัก เชษฐาข้า มีรักมีเอ็นดูน้องชายคนนี้แล้วหรือ หรือเพราะว่าข้าเติบใหญ่แล้ว จึงสิ้นเอ็นดู “


               “ ผ่านไปอีกกี่ร้อยปี ต่อให้เจ้าแก่เฒ่าตาฝ้าฟาง ข้าก็ยังมองเจ้าเป็นมารตาคนเดิม เป็นน้องชายตัวน้อยที่ข้าเฝ้ารักเฝ้าดูแลมาเสียแต่ยังมิหย่านมแม่ “ มือที่ลูบเส้นผมสีขาวอ่อนโยนนัก ทารคายอมรับกับตัวเองมาเสมอว่ามิเคยลืมอนุชาผู้น่ารักใคร่ได้ลง แต่เมื่อนึกถึงความสุขของอีกฝ่ายแล้ว การที่เดินจากบ้านเกิดเมืองนอนมาเป็นวานิชเร่ร่อน มันคงจะดีที่สุดแล้ว


    ดีชั่วอย่างไร มารตาก็เป็นอนุชาร่วมสายเลือด

    แค่สัมผัสทางกายก็ผิดมากพอแล้ว

    อย่าให้ต้องถลำลึกเกินไปกว่านี้เลย


               “ แต่ข้ามิมองพี่แบบนั้น “


               “ มารตา? “ ทารคาหรี่ตามองน้องชาย กว่าที่จะรู้ตัว หัตถ์สีชาดก็เอื้อมมาดึงรั้งใบหน้าคมให้รับเอาจูบไป มันยังหอมหวานเช่นเดิม และก็ทำให้เขาไม่อาจห้ามใจได้ทุกครั้ง


               “ ข้ารักพี่… รักมาตลอด อย่าพระทัยร้ายมิได้หรือ เมตตาน้องเถอะ ทารคา “ กษัตริย์หนุ่มเอ่ยอ้อนวอน รุกเร้าแนบกายผลักพี่ชายลงนอนกับเตียง แสงจันทร์ที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามานุ่มนวลเผยใบหน้าคมที่แดงราวย้อมสี


               “ จำคืนแรกที่ข้ากอดพี่ได้ไหม? “ อีกฝ่ายมองน้องชายที่เติบใหญ่ พยักหน้าน้อยๆ


               “ ไม่เคยลืม...เจ้าเพิ่งสิบห้าชันษา ข้าเองก็ราวๆยี่สิบ เจ้ายังตัวเล็กจ้อยนัก “ มารตาก้มลงจนใบหน้าชิดกัน ปลายจมูกปัดป่ายหยอกล้อ


               “ ข้าตื่นเต้นเหลือเกิน ไม่นึกว่าพี่จะยอมให้ข้ากอด “


               “ เจ้าตัวสั่นเหมือนลูกนก “ ทารคาว่า เลื่อนมือแตะอุระที่บัดนี้แข็งแรงอบอุ่น


               “ พี่ก็ตัวสั่น ข้าจำได้ จำได้ไม่ลืมทุกๆผิวกายของพี่ ทุกสัมผัสที่พี่ให้กับข้า ทุกรอยจูบที่ข้าประทับไว้บนตัวพี่ … “ ผู้มากวัยกว่ายิ้ม


               “ เจ้าจูบดีจนข้าใจละลาย ชาด “ หัวใจของราชาหนุ่มลิงโลด ยามใดที่ทารคาเอ่ยเรียกตนด้วยชื่อเล่น ยามนั้นหมายความว่าเขาใจอ่อน และจะเป็นพี่ชายที่แสนดีทุกครั้ง วอนขออันใดก็มิเคยปฏิเสธ และแน่นอนว่าครั้งนี้ก็เช่นกัน


               “ กลับไปกับข้านะ ทารคา พี่ข้า “


               “ แค่เรื่องนี้เท่านั้นที่ข้าให้เจ้าไม่ได้ “ ชายหนุ่มตอบ ผละลุกลงจากเตียง หันหลังให้น้องชายที่มีสีหน้าเจ็บปวด มือประดับแหวนพลอยสีทับทิมหยิบกองกระดาษที่เป็นรายการสินค้า สิ่งที่บอกว่าตนเองเป็นวานิช…


               “ พี่ช่างใจร้ายนัก ข้าที่เป็นกษัตริย์มาอ้อนวอนถึงเพียงนี้ ก็มิใจอ่อนเลยแม้แต่น้อย “ คนฟังถ้อยคำตัดพ้อถอนใจ เงียบไปครู่หนึ่ง ทารคาก็ตัดสินใจดับไฟจากโคมตะเกียง มืดสลัวหากพอมีแสงจากภายนอกให้มองเห็นการเคลื่อนไหวภายใน


               “ ข้าจักไม่กวน หากพี่จะนอนแล้ว “ มารตาเอ่ยเสียงเศร้า แต่ทว่าเสียงของผ้าที่ร่วงหล่นจากผิวกายสีขาวตัดกับเกศาแดงนั้นเรียกให้องค์ชะงัก


               “ ข้าเป็นวานิช อะไรขายได้ข้าก็ขาย ไม่เว้นแม้แต่ตัวเอง “ ร่างเปล่าเปลือยตรงหน้าทำให้หัวใจของคนเป็นน้องแทบกรีดร้องราวสัตว์ร้ายป่าเถื่อนมาสิงสู่ เวลผ่านไปนานแค่ไหน เรือนกายสีขาวที่เริ่มคร้ามแดดเพราะออกเดินทางนั่นก็ยังน่าพิศมัยมิเปลี่ยนแปลง


               “ ใยพี่เอ่ยแบบนี้ พี่จะบอกว่าเวลาที่ผ่านมา ยามใดพี่ขายอะไรไม่ได้พี่ก็ขายตัวเองหากินหรือ? “


               “ มิใช่ บอกแล้วอย่างไร อย่างไรข้าก็พ่อค้า หากค้าขายไม่ได้กำไร ข้าจะทำไปทำไม? เรือนร่างข้าก็มีราคานะ ชาด “ ผู้มากวัยเขยิบเดินมาหา หยุดยินตรงหน้าน้องชายที่แทบจะคุกเข่าอย่างลืมว่าตนเป็นพ่อเมืองสูงศักดิ์


               “ แล้วมันเท่าไหร่ มีใครซื้อพี่ไปบ้าง ใครที่มันได้มองพี่แบบที่ข้ามองตอนนี้ ข้าจักฆ่าให้หมด “ ทารคาหัวเราะ


               “ มิมีผู้ใดเคยซื้อร่างกายข้า ข้าตั้งราคาที่ใครก็ไม่อาจซื้อได้นอกจากเจ้า ชาด “ นัยน์เนตรสีฟ้าน้ำทะเลเหลือกลืมมอง


               “ ราคาของร่างข้า หากเจ้าอยากได้ จงจ่ายมันด้วยจูบของเจ้า “


               “ ท่านพี่??? “


               “ ยามใดเจ้าจูบข้า ข้าจะโยนทุกอย่างทิ้งไป ทั้งศักดิ์ศรี ทั้งเรื่องสายเลือด ทุกๆอย่างที่เป็นเราสองคน จูบเจ้าล้ำค่ากว่าเพชรพลอยใดๆที่ข้าเคยได้ครอง “ มารตายิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนลุกขึ้นมายืนเทียบเคียง เขาสูงนักหากก็ไม่ได้มากมายกว่าพี่ชาย ยามนี้ใบหน้ายังคงห่างกันเพียงนิด มือใหญ่ค่อยๆยกขึ้นลูบแก้มมีไรเคราแดง ทารคาเป็นชายหนุ่มรูปงาม ด้วยวัยใกล้สี่สิบก็ยังคงดูหนุ่มแน่นน่ามองไม่รู้จักเบื่อ


               “ ไม่กลัวหรือ หากวันนี้ข้าจูบพี่แล้ว ข้าจะไม่ปล่อยพี่ไปอีก “


               “ ข้าหนีเจ้ามากี่ครั้งแล้วล่ะ เจ้าน้องโง่ “ ฝ่ายไร้อาภรณ์ว่าตรงๆ ราชาแห่งคีรีกัณฑ์หัวเราะรวบกอดคนเปล่าเปลือยเอาไว้อ้อมแขน


               “ พี่หนีได้ก็หนีไป จำไว้เถิด ข้าจักตามไล่ตื้อพี่ไปตลอด “ มือของผู้มากวัยกว่า เลื่อนไปกอดแผ่นหลังกว้าง


               “ เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลัง มาจูบกันก่อนดีกว่าไหม? “


               “ รู้ใช่ไหม ข้าไม่หยุดแค่จูบ “ มารตาเอ่ยถาม


               “ ข้าเลี้ยงเจ้ามาตั้งกะตีนเท้าฝาหอย ใยจะไม่รู้ว่าไอ้เด็กอ้วนแบบเจ้ามันเอาแต่ใจ เอาแต่ได้แค่ไหน “


               “ ก็พี่สอนสั่งมาเอง หรือไม่ใช่ “ ทารคาหัวเราะบ้าง


               “ ไม่เถียง… “ เขาว่า ก่อนจะเงียบเสียงลงไปเมื่อมารตาคว้าตัวกลับไปยังเตียงนอน พรมจูบให้ทั่วทั้งผิวหน้าและผิวกาย สดับฟังทุกเสียงครางครวญในลำคอ เครื่องทรงกษัตริย์สูงค่า สามารถซื้อที่ดีได้ถึงหนึ่งในสี่ของนาคาวรรณถูกกองก่ายกับพื้นแบบไม่ใยดี เช่นเดียวกับเครื่องประดับทองและพลอย ร่างใหญ่เกศาสขาวเปลือยเปล่าแนบเนื้อของตนลงกับชายร่วมสายเลือด ต่างฝ่ายต่างรู้ว่าที่กระทำอยู่นั้นผิด หากก็ไม่สนใจ ในเมื่อสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดอยู่ตรงหน้า


               “ ชาด…อย่าแรงนัก “ พี่ชายเอ่ยเตือน ขณะซุกหน้าลงกับหมอน มือเกาะเกี่ยวท่อนแขนแข็งแรงที่ยันตนเองไว้ข้างๆ


               “ พี่มาห้ามตอนนี้ไม่ได้นะ ...ข้าออมแรงไม่ไหวหรอก “ น้องชายพูดด้วยเสียงสั่นพร่า แต่ก็พยายามที่จะไม่โถมแรงใส่อีกฝ่ายให้มากเกิน ความเนิบช้าอ่อนโยนทำให้ฝ่ายถูกรุกรานกัดปากตนเองราวข่มใจ เมื่อไม่อาจทานไหว จึงเผลอขยับมาขบกัดแขนที่เท้าอยู่ข้างหัวตนเองแทน


               “ ชาด… แรงอีก...ก็ได้ “


               “ เดี่ยวพี่จะเจ็บ “ มารตายิ้มบอก


               “ เชื่อฟังพี่กันหน่อยสิวะ “ อีกฝ่ายแหวให้ หอบกระเส่าเสียจนคนเบื้องบนต้องต้องก้มลงจูบ


               “ เดี๋ยวก็ให้เบา เดี๋ยวก็ให้แรง พี่ช่างเอาใจยากเหลือเกิน “


               “ พูดมากอีกกูถีบนะ ชาด “


               “ เป็นพ่อค้าวานิช อย่าพูดจาไม่เพราะกับลูกค้าสิ “ ราชาเกศาสีน้ำนมพูดพลางหัวเราะ จับตัวของทารคาให้หันมาจ้องมองหน้ากัน นัยน์ตาสีฟ้าเหมือนทะเลช่างสวยงามเสียจนไม่อาจละสายตา ทารคาเลื่อนมือไปกอดคอน้องร่วมสายเลือด


               “ ช่างหัวแม่งเถอะ...ชาด… “


               “ ว่าอย่างไร “ เจ้าของนามที่ถูกเอ่ยเรียกก้มลงจูบขมับ ไออุ่นจากกายที่โหยหาช่างชวนให้คิดถึง


               “ จูบกันเถอะ “


               “ แค่จูบเองหรือ? “ คนฟังเม้มปาก ตาสีทับทิมหยาดเยิ้มเปี่ยมล้นด้วยความต้องการ


               “ หลังจากจูบแล้ว อยากทำอะไรก็ทำ แต่เจ้าก็ทำอยู่แล้วนี่นะ “


               “ พี่ดูจะชอบให้ข้าจูบจริงๆ “


               “ ข้าไม่ได้ชอบจูบ...ข้าชอบเจ้า ชอบจูบที่มาจากเจ้า “ มารตายิ้มรับ ก้มลงจูบอีกครั้ง และอีกหลายๆครั้ง ทารคาเต็มใจรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆทั้งสิ้น ปล่อยให้อดีตทุกอย่างกองทิ้งเอาไว้ในที่เดียวกับศักดิ์ศรีของตน ค่ำคืนนี้มีเพียงรสจูบแสนหวานและกายที่หลอมรวมกันตราบกระทั่งรุ่งสางมาเยือนเท่านั้น….


    ::::::::::::::::::::::::::::::::::::



               มารตาลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนรุ่งสาง เสียงของหัวหน้ามหาดเล็กรักษาพระองค์เป็นคนปลุกดังมาจากข้างนอกบ้านเช่า องค์ขยับกายลุกขึ้นมองจึงพบว่าชายที่ร่วมกอดเกยกันเสียงค่อนคืนไม่ได้อยู่แล้ว ภายในห้องก็ไม่มีข้าวของใดๆทิ้งอยู่เลย ดูเหมือนว่าวานิชหนุ่มผู้นั้นจะหนีไปอีกครั้ง นั่นเรียกเสียงถอนพระทัยเป็นอย่างดี


               “ ทูลกระหม่อม หากไม่รีบแต่งองค์ จะเสด็จกลับคีรีกัณฑ์มิทันว่าราชการนะพะย่ะค่ะ “ มหาดเล็กคนเดิมย้ำเตือน ท้าวมารตาถอนพระทัยอีกสักครั้ง


               “ เข้าใจแล้ว ขอข้าแต่งตัวแล้วจะออกไป “ ร่างสูงเอ่ยตอบ ผละลุกจากเตียงหยิบฉลองพระองค์มาสวมใส่ รู้สึกใจหายที่ถูกทิ้งไว้กลางทางอีกแล้ว กลิ่นกายอันเป็นเอกลักษณ์ของเชษฐาผู้ละทิ้งลาภยศศักดิ์ศรีทั้งหมดยังคงหอมติดผิว ทารคาก็แบบนี้...ยามจากไปก็ใจร้ายเสียจนให้นึกชัง


                          เหมือนเมื่อครั้งเยาว์วัย ยามที่ยังเพิ่งจะขึ้นเป็นกษัตริย์

                          พี่ชายที่ยอมรับสารภาพว่าทำร้ายเขาก็รับโทษเนรเทศจากไป

                          ให้ง้องอน ไล่ตาม กกกอดสักเพียงไร

                          ก็ใจแข็งมิเคยหวนคืนบ้าน…

                          มิเคยหวนคืนมาอยู่ในอ้อมแขนนี้สักครั้ง


               “ ครานี้ จักไปที่ใดอีก “ บพิตรหนุ่มเอ่ยถามกับความเงียบ และไม่ได้รับคำตอบ จัดแจงองค์เองเสร็จแล้วก็ดำเนินออกมา เหล่ามหาดเล็กยืนเรียงรายรออยู่


               “ ทูลกระหม่อม เสด็จกลับเถอะ “


               “ ข้ารู้แล้ว มิต้องย้ำนัก “


               “ ...ทิศบูรพา “ มหาดเล็กคนสนิทเอ่ยแผ่วเบา ขณะที่องค์ราชาดำเนินผ่าน เนตรสีฟ้าหันมามอง


               “ เจ้าว่าอย่างไรนะ?”


               “ วานิชผู้นั้นบอกว่า จะไปค้าขายทางทิศบูรพาขอรับ “ เขาตอบ เงยมองอดีตสหายที่บัดนี้กลายเป็นนายเหนือหัว และแน่นอนว่ากับวานิชคนนั้นก็ย่อมรู้จักดี


               “ บูรพา? บอกเพียงทิศ เมืองตั้งมากมาย ข้าจะตามหาเจอหรือ “ มารตาถาม เอนกายลงบนพระที่นั่งประทับ อีกฝ่ายยิ้มก่อนตามเสด็จเข้ามานั่งฝั่งตรงข้ามกัน


               “ กระหม่อมก็เห็นพระองค์หาเจอทุกคราไป “


               “ ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน “ ราชชาหนุ่มบอกกับสหาย


               “ องค์ทราบแก่พระทัยว่าทำไม “


               “ ...บางทีข้าก็เหนื่อย “


               “ แล้วพระองค์อยากจะเลิกทำเช่นนี้หรือยัง? “ คนโดนถามเงียบไปนิดก่อนจะส่ายพักตร์


               “ ข้าไม่มีวันเลิก ข้าอาจจะเหนื่อย แต่ข้าก็จะตามหา ข้าจะอ้อนให้เจ้าพี่ใจอ่อนสักวัน “ มหาดเล็กหนุ่มยิ้มให้ ด้วยอยู่รับใช้นานเสียจนพอจะรับรู้เรื่องราวทั้งหมดดี


               “ กระหม่อมเชื่อว่าต้องมีวันนั้น ถ้าอย่างไรกลับไปกระหม่อมจะให้คนไปสืบข่าวว่าทางทิศบูรพามีเมืองใดบ้างที่มีการค้าขาย แล้วจะถวายรายงานพระองค์เมื่อมันเสร็จ “


               “ ขอบใจ “ กษัตริย์หนุ่มตรัสอย่างอ่อนโยน ทอดพระเนตรเหม่อมองไปบนฟ้า องค์ใคร่รู้นักว่ายามนี้วานิชผมแดงผู้นั้นจะอยู่แห่งหนใด แล้วเขาจักจารจำได้หรือไม่ว่าจุมพิตที่องค์มอบให้เมื่อคืนนั้น จะยังติดต้องประทับในความทรงจำหรือไม่ เฉกเช่นที่ผ่านมา…


              .

    .

    .

    .


               บนเนินผาเหนือยอดเขา ร่างสูงในชุดพ่อค้าแวะพักเหนื่อยหลังจากต้องปีนป่ายหนึ่งชั่วยามแล้ว ผมที่มักมัดรวบเอาไว้ถูกปล่อยให้ตากลมเพื่อระบายความร้อนและความชื้นจากเหงื่อ ฟ้ามีแดดและอากาศค่อนข้างดีทีเดียว ขณะพับชายแขนเสื้อ รอยแดงจากการถูกจับข้อมือเอายังแน่น


               “ ไอ้เจ้าเด็กโง่ จับเสียแน่นเชียวนะ “ เขาบ่น ตอนนั้นเองที่เผลอยกมือแต่ปากตนเอง น่าแปลกนักที่ผ่านมาก็หลายยามแล้ว แต่รสจูบของมารตายังคงไม่ไปไหน  มันเหมือนยังอ้อยอิ่งอบอวลจางๆอยู่ ทารคาคลี่ยิ้ม


               “ ข้าหนีจากเจ้ามาเป็นร้อยครั้ง เจ้าก็ยังเพียรตามหาข้าไม่ลดละ จะบอกว่าโง่หรือดื้อด้านกันนะ มารตา… “ ดวงตาสีแดงทอดมองฟ้าที่แสนสวยเหมือนดวงตาของน้องชาย


               ข้าเป็นพ่อค้า ถ้าอยากได้อะไรก็ต้องมีของมาแลก ข้าจะรอ...รอว่าเจ้าจะมาซื้อตัวข้าด้วยจูบของเจ้าอีก… “ ชายหนุ่มเอ่ยกับตนเอง ก่อนจะยิ้มจางๆเก็บข้าวของใส่กระเป๋าหนังแล้วเริ้มต้นเดินทางต่ออีก จุดหมายปลายทางคือทิศบูรพานั่นเอง…


    :::::::::::::::::::: E N D ::::::::::::::::::::


    Man, fuck your pride
    Just take it on back, boy take it on back boy
    Take it back all night
    Just take it on back, take it on back
    Mmm, do what you gotta do, keep me up all night
    Hurting vibe, man, and it hurts inside when I look you in your eye


    What are you willing to do
    Oh tell me what you’re willing to do? (Kiss it, kiss it better, baby)
    Oh what are you willing to do?
    Oh, tell me what you’re willing to do?
    Kiss it, kiss it better, baby


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in