You Deserve Better.
sicheng x Ten
.
.
.
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นกลางดึกปลุกให้คนหลับยากอย่างต่งซือเฉิงตื่นขึ้นมาได้อย่างไม่ยากเย็นนักชายหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อยืดสีดำกับกางเกงนอนสีเทาขายาวเดินไปเปิดประตูด้วยใบหน้าง่วงงุ่นก่อนจะตื่นเต็มตาเมื่อเห็นว่าใครคือแขกที่มาเยี่ยมเยียนเอากลางดึก
“ ทะเลาะกันอีกแล้วเหรอ? ”
เจ้าของใบหน้าติดจะหวานกับเรือนผมสีเข้มคนนั้นไม่ได้ตอบคำถามและความเงียบที่ก่อตัวขึ้นแทนคำตอบก็ไม่ได้ทำให้เจ้าของห้องแปลกใจหรือหงุดหงิดจะมีก็แต่ความเป็นห่วงเสียมากกว่าต่งซือเฉิงเคยชินกับการต้องลุกจากที่นอนตอนกลางดึกมาเปิดประตูห้องเพื่อคนๆนี้จะพูดแบบนี้ก็คงไม่ผิดล่ะมั้ง
“ พี่เข้ามาก่อนสิ ” ต่อให้ไม่พูดคนตรงหน้าก็จะเดินเข้ามาอยู่ดีซือเฉิงรู้แต่ก็เพราะรู้นั่นแหละถึงได้ถามเพราะเขารู้ดีว่าต้องทำยังไงคนพูดน้อยตรงหน้าถึงจะอารมณ์ดีรู้ดีว่าควรจะทำตัวแบบไหนในเวลาอย่างนี้รู้ดีเสียยิ่งกว่าการตอบว่าตัวเขาเองอยากกินอะไรเป็นมื้อเย็นเวลามีใครมาถามเสียอีกและเพราะแบบนั้น..เพราะต่งซือเฉิงรู้จักคนๆนี้ดีกว่าใคร.. ต่งซือเฉิงถึงต้องเป็นคนที่เก็บความรู้สึกยิ่งกว่าใครๆ
“ ชามะนาวหมด.. น้ำเปล่าแทนได้ไหม?” เจ้าของห้องขยี้ผมตัวเองอย่างหงุดหงิดเมื่อเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วแต่ความว่างเปล่าเครื่องดื่มที่แขกยามวิกาลของเขาชื่นชอบดันมาหมดเอาวันนี้พอดิบพอดีซือเฉิงนึกตำหนิในใจที่ไม่ซื้อกลับเข้ามาด้วยตั้งแต่เมื่อเย็นตอนที่แวะซื้อของที่มินิมาร์ท
“ เบียร์... ” คนถามเลิกคิ้วกับคำตอบนั้นไม่บ่อยนักหรอกที่เขาจะได้เห็นคนที่นั่งนิ่งอยู่ตรงโซฟาถามหาเครื่องดื่มมึนเมาถึงจะแปลกแต่เขาก็ไม่ได้ขัดความต้องการของอีกฝ่ายคนตัวสูงในชุดนอนคว้าเบียร์ในตู้เย็นออกมาสองกระป๋องก่อนจะเดินกลับไปที่โซฟาแล้วยื่นมันไปให้คนที่ดูอารมณ์ไม่ดีนัก
“ คราวนี้ทะเลาะเรื่องอะไรกันอีกล่ะ? ” ซือเฉิงเปิดกระป๋องเบียร์พร้อมๆกับเอ่ยถามเสียงเป๊าะที่เกิดจากแรงดันดังสะท้อนไปในความเงียบกลายเป็นอีกครั้งที่คู่สนทนาของเขาไม่ได้ตอบคำถามนานพอสมควรที่คนสองคนตกอยู่ในความเงียบ
ในขณะที่เขายกเบียร์ขึ้นดื่มไปแล้วหลายอึกแต่กระป๋องเบียร์ในมือของคนข้างๆก็ยังไม่แม้แต่จะถูกเปิดด้วยซ้ำคู่สนทนาของเขาก็ยังเอาแต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างนั่งนิ่งอยู่แบบนั้นจนเขาอดไม่ได้ที่จะเรียก
“ หย่งชิน.. ” ถึงจะพูดว่าเคยชินกับความเงียบของคนตรงหน้าแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต่งซือเฉิงจะไม่กังวล เพราะเขารู้ดีเกินไปเพราะรู้จักหย่งชินมากกว่าใครเพราะแบบนั้นผู้ชายที่ดูจะเย็นชาและไร้สีสันในสายตาคนอื่นคนนี้ถึงได้ไม่เป็นตัวเองทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้กับคนตรงหน้า
‘ หย่งชิน ’ หลีหย่งชินรุ่นพี่ตัวเล็กเจ้าของรอยยิ้มสดใสและดวงตาที่เปล่งประกายราวกับดวงดาวคนยิ้มสวยที่ก้าวเท้าเข้ามาในชีวิตของต่งซือเฉิงตั้งแต่สองปีที่แล้วในฐานะแฟนของคนที่น้องชายแท้ๆของเขาแอบชอบ
หย่งชินเป็นแฟนของ ‘ แจฮยอน ’ ในขณะที่แจฮยอนเป็นคนที่ ‘ เหรินจวิ้น ’ ชอบ
เรื่องของพวกเขาสี่คนมันคงไม่ยุ่งยากอะไร..
ถ้าน้องชายของเขาไม่เป็นคนที่ล้ำเส้นความสัมพันธ์ของสองคนนั้นเข้า
มันคงไม่ยุ่งยากอะไร…
ถ้าในงานฉลองวันขึ้นปีใหม่เมื่อปีที่แล้วเหรินจวิ้นไม่ได้เมาและเผลอไปบอกรักคนๆนั้น
และ มันคงไม่ยุ่งยากอะไร…
ถ้าจองแจฮยอนคนนั้นไม่ได้เริ่มสับสนกับความรู้สึกของตัวเองหลังจากเหตุการณ์นั้น
มันคงจะไม่ยุ่งยากอะไรเลยจริงๆ..
ถ้าต่งซือเฉิงเองก็ไม่ได้ตกหลุมรัก ‘ หย่งชิน ’ เข้าตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นด้วยเช่นกัน
‘ โลกนี้คงเรียบง่ายกว่านี้ถ้าไม่มีความรัก’
ซือเฉิงบอกตัวเองทุกครั้งที่เขาต้องมานั่งปลอบใจไม่ใครก็ใครสักคนระหว่างเหรินจวิ้น กับ หย่งชิน เขากลายเป็นทั้งที่ระบายความรู้สึก เป็นที่ปรึกษาและคนที่ได้รับความไว้วางใจจากคนทั้งคู่จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้รับความไว้วางใจ ที่ปรึกษา อาจจะฟังดูดี แต่สำหรับซือเฉิงแล้วมันไม่ได้ดีนักหรอก
เพราะทุกครั้งที่เขาต้องปลอบไม่ใครก็ใครสักคนระหว่างเหรินจวิ้น กับ หย่งชิน.. เขาจะรู้สึกว่าจริงๆแล้วตตัวเขาเองมันช่างห่วยแตกเหลือเกินเขาไม่สามารถช่วยใครได้เลยระหว่างคนสองคนที่เขาให้ความสำคัญ..
เขาไม่อยากทำร้ายเหรินจวิ้นเหมือนกับที่ไม่สามารถทำให้หย่งชินเสียใจได้..
ซือเฉิงไม่สามารถช่วยให้น้องสมหวังได้เพราะเขาไม่อยากเห็นหย่งชินต้องร้องไห้
เหมือนกันกับที่เขาไม่สามารถช่วยให้หย่งชินมีความสุขได้
เพราะเขาไม่อยากเห็นเหรินจวิ้นต้องเสียใจ
เป็นเขาที่อยู่ตรงกลาง เป็นเขาที่ต้องแบกรับความรู้สึกของคนสำคัญทั้งสองคนเอาไว้เอง
“ หมอนั่น.. ” เสียงแหบๆของหย่งชินเรียกให้ซือเฉิงหลุดจากภวังค์ดวงตาที่เคยเปล่งประกายของคนที่นั่งนิ่งมานานสองนานคนนั้นช่างดูว่างเปล่าเสียเหลือเกินแม้ว่ามันไม่ได้เจ็บปวดหรือเต็มไปด้วยน้ำตาอย่างทุกครั้งที่หย่งชินมาหาเขาเวลาทะเลาะกับใครคนนั้นแต่สายตาแบบนั้นก็ไม่ได้ทำให้เจ้าของห้องอย่างซือเฉิงรู้สึกดีอีกเช่นกัน
“ หมอนั่นทำไม? ” วางกระป๋องเบียร์ของตัวเองลงบนโต๊ะขณะที่เอื้อมมือไปกุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้ซือเฉิงได้แต่หวังว่าการทำแบบนั้นจะช่วยแบ่งเบาความรู้สึกที่อยู่ในใจของหย่งชินได้บ้าง
ดวงตาเปล่งประกาย และรอยยิ้มสดใสที่ซือเฉิงหลงรักตั้งแต่แรกเห็นเขายังคงจำมันได้ดี เหมือนกันกับที่จำได้ไม่มีลืมว่าในตอนนั้นเขามองออกโดยที่ไม่ต้องถามด้วยซ้ำว่าคนยิ้มสวยนี้เป็นอะไรกับจองแจฮยอนที่มาด้วยกันแขนของใครคนนั้นที่โอบหย่งชินเอาไว้ไม่ยอมห่าง สายตาที่ต่อให้โง่แค่ไหนก็คงเข้าใจได้ไม่ยากสองอย่างนั้นทำให้ต่งซือเฉิงรู้ตัวในทันทีว่าเขาควรทำยังไงต่อไป
แต่ถึงจะรู้ดีว่าควรตัดใจ.. ชายหนุ่มก็ฝืนตัวเองอยู่ได้แค่เพียงไม่นาน
ซือเฉิงค่อยๆขยับเข้าใกล้หย่งชินอย่างช้าๆจากรุ่นพี่รุ่นน้องที่รู้จักกัน จนในที่สุดพวกเขาทั้งสองคนก็กลายเป็นคนที่รู้ใจและไว้ใจกันมากที่สุดโดยไม่ต้องมีคำว่าคนรักเป็นคุณสมบัติ
รู้ใจและไว้ใจซึ่งกันและกันมากที่สุด
ไม่สิ.. ไว้ใจน่ะใช่
แต่อันที่จริงแล้ว.. ถ้าตัดเรื่องความไว้เนื้อเชื่อใจออก
คงต้องพูดว่าต่งซือเฉิงฝ่ายเดียวต่างหากที่รู้ใจหย่งชินดีกว่าใคร..
เหรินจวิ้นมักจะพูดอยู่เสมอว่าเขาน่ะโง่ที่ไม่พยายามแย่งเจ้าของรอยยิ้มแสนสวยคนนั้นมาเป็นของตัวเองแต่สำหรับต่งซือเฉิงเขามักจะคิดแค่ว่าเท่าที่เป็นอยู่นั้นก็มากพอแล้ว ซือเฉิงไม่ได้ต้องการทำลายความสัมพันธ์ของหย่งชินกับแจฮยอนเขาทนไม่ได้ที่ต้องเห็นหย่งชินร้องไห้
“ แจฮยอนขอให้ฉันไปจากชีวิตเขาซะ... ” คนที่นิ่งเงียบมานานพูดออกมาในที่สุด มือของเขากำแน่นจนซือเฉิงต้องดึงมาจับเอาไว้
“ เขาเลือกแล้วซือเฉิง.. ” เสียงของหย่งชินฟังดูสั่นเครือและนั่นทำให้ซือเฉิงปล่อยมือที่จับมือของหย่งชินอยู่แล้วลุกไปกอดเขาเอาไว้กับลำตัวแทน
“ หมอนั่นเลือกแล้ว.. แต่ไม่ได้เลือกฉัน ” ซือเฉิงถอนหายใจช้าๆพร้อมๆกับลูบผมยุ่งๆของคนที่เขากอดอยู่อย่างปลอบประโลมหย่งชินไม่ได้ร้องไห้โฮหรือสะอึกสะอื้นแบบเด็กๆ คนในอ้อมแขนเขาเพียงแต่ปล่อยน้ำตาให้มันไหลออกมาช้าๆและซือเฉิงเองก็รับรู้ถึงมันได้จากความชื้นที่ก่อตัวขึ้นบริเวณเสื้อ
“ อย่าร้องเลย.. น้ำตาของพี่มีค่านะ อย่าร้องไห้ให้กับคนแบบนั้นเลย ” ซือเฉิงไม่ได้เกลียดแจฮยอนแต่ก็ไม่ได้ชอบผู้ชายคนนั้นเหมือนกัน
ใจหนึ่งเขาอยากจะฝังกำปั้นลงบนใบหน้าหล่อๆนั่นโทษฐานที่ทำให้คนสำคัญของเขาต้องเสียใจแต่ขณะเดียวกันซือเฉิงก็อยากจะชื่นชมอีกฝ่ายที่ตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้องสักที
เขาดูออกมาสักพักแล้วว่าคนต่างชาติเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาคนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่สายตาที่แจฮยอนใช้มองหย่งชินเปลี่ยนไป พร้อมๆกันกับที่หมอนั่นเริ่มให้น้องชายของเขามีผลกับตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆเขารู้ว่าสุดท้ายแล้วแจฮยอนก็คงเลือกเหรินจวิ้นอย่างที่เคยทำมาตลอดแต่ที่เขาไม่เข้าใจก็คือ เพราะอะไรคนๆนั้นถึงยังปล่อยให้เรื่องราวของตัวเองกับหย่งชินยืดเยื้ออยู่อย่างนั้นตั้งนานสองนาน
ไม่ชัดเจนและเอาแน่เอานอนไม่ได้จนหย่งชินต้องมาระบายกับเขาอยู่บ่อยครั้งในช่วงสามเดือนก่อนก่อนจะหายเงียบไปเดือนกว่าๆและกลับมาร้องไห้กับเขาในวันนี้
ปล่อยให้หย่งชินต้องทรมาน.. และปล่อยให้ต่งซือเฉิงมทรมานยิ่งกว่า
ด้วยการต้องคอยรับฟังว่าคนที่ตัวเองรักสุดหัวใจนั้นรักใครอีกคนมากแค่ไหน
ทรมานกับการโกหกในสิ่งที่รู้เพียงเพื่อให้คนที่รักสบายใจ..
ทรมานกับการบังคับตัวเองไม่ให้บอกความรู้สึกที่มีออกไป
“ หมอนั่น.. นาย.. นายรู้อยู่แล้วใช่ไหมซือเฉิง? ” หย่งชินเงยหน้าขึ้นมองเสี้ยวหน้าของเจ้าของห้องในความมืดสองมือที่เคยกอดเอวของคนตัวสูงเอาไว้ย้ายมาขยำเสื้อนอนสีดำของคนที่เป็นที่ซับน้ำตาให้จนยับยู่
“ นายรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าเขาจะเลือกเหรินจวิ้น? ” หย่งชินถามซ้ำ และนั่นทำให้ซือเฉิงรู้สึกจนตรอกสิ่งต่างๆหนักอึ้งอยู่บนบ่าของเขา น้ำหนักของความรู้สึกเหล่านั้นมันมากเหลือเกินมากจนเขาจะทนรับมันไม่ไหวอีกต่อไป โดยเฉพาะน้ำหนักของความรู้สึกที่เขามีต่อหย่งชิน
“ ใช่.. ” ซือเฉิงตอบเสียงเบาแล้วสบตากับเจ้าของคำถาม..สายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง สายตาที่บ่งบอกว่าเรื่องราวที่เกี่ยวกับแจฮยอนนั้นสำคัญขนาดไหนสายตาที่ตอกย้ำว่าคนในวงแขนของเขายังคงรักแจฮยอนคนนั้นไม่เปลี่ยนไป
“ ทำไมนายไม่บอก? ” เสียงของหย่งชินปนเปไปด้วยความโมโหคิ้วเรียวที่รับกันดีกับดวงหน้าออกหวานขมวดมุ่นจนหย่งชินอยากจะใช้มือคลายมันออกจากกันเหลือเกินแต่ก็รู้ดีว่าเขายังทำแบบนั้นไม่ได้ในตอนนี้
“ ถึงบอก.. มันก็ไม่ได้ทำให้พี่เลิกรักเขา.. ” แล้วหันกลับมามองผม.. ต่งซือเฉิงเลือกที่จะไม่พูดประโยคสุดท้ายออกไปแค่ที่เป็นอยู่ก็ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูแย่ลงทุกทีๆ ชายหนุ่มบอกตัวเองแบบนั้นแม้ลึกๆจะรู้ดีว่าคงทนได้อีกแค่ไม่นาน
“ แต่มันอาจจะช่วยให้ฉันไม่ต้องเสียใจแบบนี้! ” หย่งชินตะโกน คนตัวเล็กกว่าผลักซือเฉิงออกพยายามสาวเท้าเดินไปให้พ้นจากจุดที่เขาทั้งคู่ยืนอยู่แต่ซือเฉิงเองก็เร็วพอที่จะรั้งทั้งร่างของหย่งชินที่กำลังโกรธเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขนเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเสียงสะอื้นของหย่งชินอย่างชัดเจน เสียงของมันดังชัดพอๆกับเสียงหัวใจของเขาไม่ได้รุนแรงแต่ก็มีพลังมากพอที่จะทำให้หัวใจของเขาถูกความรู้สึกผิดบีบรัดจากที่อ่อนแออยู่แล้วหัวใจของเขาในตอนนี้ยิ่งอ่อนแอลงกว่าเดิม
“ ขอโทษ.. ผมขอโทษ ” ซือเฉิงกระซิบเสียงแผ่วในตอนที่หย่งชินเริ่มทรุดตัวลงกับพื้นคนในอ้อมแขนของเขาอ่อนปวกเปียกจนซือเฉิงสามารถดึงตัวของอีกฝ่ายให้ลงไปนอนเคียงข้างกันบนพื้นห้องโดยง่ายไม่ใช่แค่หย่งชินหรอกที่ทนต่อไปไม่ไหว ต่งซือเฉิงเองก็แทบจะฝืนความรู้สึกของตัวเองต่อไปอีกไม่ได้แล้วเช่นกัน
“ ขอโทษนะที่ไม่ได้บอก.. แต่ถึงบอก พี่ก็คงปฏิเสธที่จะเชื่อผม.. ” หย่งชินจ้องมองคนที่นอนอยู่ในทิศทางตรงกันข้ามด้วยสายตาที่ยังคงเหลือความโกรธและผิดหวังถึงซือเฉิงจะเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาและเอ่ยคำขอโทษซ้ำๆแต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้หย่งชินในตอนนี้รู้สึกดีขึ้นเลย
“ พี่จะโกรธจะเกลียดผมก็ได้.. แต่ผมขอได้ไหม? หยุดร้องไห้เถอะอย่าร้องไห้อีกเลยนะ ” หย่งชินไม่ได้ตอบรับหรือแม้กระทั่งปฏิเสธมีเพียงสายตาเท่านั้นที่ดูเหมือนจะบ่งบอกว่าเขาต้องการจะรู้ว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้ต่งซือเฉิงพูดแบบนี้ออกมา
“ พี่ดีเกินกว่าที่จะต้องมาทนร้องไห้กับคนแบบนั้น ” น้ำเสียงของคนพูดดูเหนื่อยและเจ็บปวดหย่งชินไม่รู้ว่าเพราะอะไรสายตาของคนตรงหน้าถึงได้ดูปวดร้าวขนาดนี้ดวงตาของซือเฉิงที่มองมายังเขาดูคล้ายจะร้องไห้ออกมาได้ในทุกนาที
“ พี่เจ็บมากพอหรือยัง? ”
“ เลิกร้องไห้แล้วใช้น้ำตาพวกนั้นบอกผมว่าพี่รักเขาแค่ไหนสักที.. ”
“ ซือเฉิง… ”
“ เป็นผมไม่ได้เหรอ? ”
“ รักผมไม่ได้หรอ? ”
“ ถ้าเขาไม่รักพี่แล้ว.. รักผมแทนไม่ได้เหรอ?”
“ เป็นผมไม่ได้เหรอพี่หย่งชิน.. ”
#001011winten
#desbetterWT
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in