เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
A Kiss of the Death and Persephone (DEMO)GIRL WHO WEAR GREY
โพสต์นี้มีเนื้อหาที่อาจไม่เหมาะสมกับเยาวชน 2
  • ทั้งสองอยู่ในความมืดมิดแห่งปีกกว้างซึ่งเป็นดั่งโลกของพวกเขาในชั่วขณะ ปีกสีดำจะพาสองหนุ่มสาวโผบินสู่ภวังค์ฉ่ำแฉะจากความรู้สึกแปลกใหม่ ความตายตอดรัดวิญญาณกลวงเปล่าด้วยจูบเยือกเย็น เขาโน้มตัวนอนเบียดและดึงดันแก่นกลางใต้อาภรณ์สัมผัสกันและกัน เจ้าหล่อนเปียกเยิ้มอ่อนไหวดึงยมทูตไว้ให้เขาสอดลึกอีกราวกับโหยหาความรู้สึกนี้เนิ่นนาน 

    โจเซลีนมีความสุขเหลือเกินกับช่วงเวลานี้ กับเซฟทิส เพราะความตายไม่เคยทิ้งเธอ คอยมองตามและเฝ้าดูจากมุมมืดยามกลางวันและปรากฎกายในรูปแบบของปีศาจใต้เตียงผู้หวังดียามค่ำคืนเพื่ออยู่เคียงข้างและเช็ดน้ำตา ความจริงใจแบบนั้นไม่อาจหาได้ในมนุษย์ทั้งชีวิตของโจเซลีนยกเว้นพี่ ๆ ของเธอ นอกนั้นก็เป็นพวกไร้หัวใจกันหมด 

    ระบายมันออกมาให้หมด ความคิดของยมทูตหนุ่มกล่าวขณะภวังค์ฉ่ำแฉะกำลังล้นทะลักในไม่ช้า พวกเขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกหลากหลายขณะร่วมรักอย่างไร้เสียงแล้วโผบินปีนป่ายไปตามผนังห้องและเพดานอย่างอิสระ ในเวลาเดียวกันที่โลกภายนอกซึ่งกำลังวุ่นวายเพราะพี่คนกลางยืนกรานเข้าร่วมชุมนุม แม้ไม่ถูกใจบุพการีซึ่งอยู่ฝ่ายตรงข้ามประชาชน พวกเขาทะเลาะกันใหญ่โตแต่อุดมการณ์นั้นแข็งแกร่งดังหินผาไม่อาจถูกทลายง่ายดายด้วยคำพูดของคนอื่น โจเซลีนไม่รับรู้ด้วยว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้นเพราะปีกสีดำกีดกั้นเธอเอาไว้ ทำให้รู้สึกเพียงของเหลวเยิ้มที่ทะลักหลั่ง

    มันคือเซ็กส์ที่ดีที่สุดของโจเซลีน ไม่ใช่เพราะยมทูตหนุ่มลีลาเด็ด เขาออกจะเหนียมอายเมื่อเธอเริ่มสัมผัสและโอบอมแก่นกลางของเขาก่อนเริ่มบรรเลงเพลงกามด้วยกันอย่างเชื่องช้า แต่เป็นเพราะมันคือความยินยอมให้อีกฝ่ายเข้ามาเติมเต็มในร่างกายและหัวใจเป็นครั้งแรก 

    “เซฟทิส” โจเซลีนเรียกชื่อของความตายซึ่งกำลังนอนแผ่ร่างเปลือยเปล่าขาวซีดบนเพดานอย่างกระหืดกระหอบ “ยมทูตมีอะไรกับวิญญาณแบบนี้… จะไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

    “ไม่หรอก เราทำอะไรกับความรู้สึกที่เอ่อล้นไม่ได้อยู่แล้ว นอกจากปล่อยให้มันเกิดขึ้นอย่างที่มันควรเป็น” ยมทูตตอบแล้วดึงร่างเล็กมาไว้ในอ้อมแขน จุมพิตหน้าผาก จมูก พวงแก้มสองข้างและริมฝีปาก "ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้วนะ" วิญญาณสาวตอบรับจุมพิตนั้นแล้วขอตัวไปทำธุระส่วนตัวด้วยความเคยชินหลังเสร็จกิจเหมือนคราวที่เป็นมนุษย์ เธอเดินผ่านศพแน่นิ่งของตัวเองโดยไม่สัมผัสพื้นห้อง เธอชำระล้างร่างกายของตนอย่างรวดเร็ว ล้างมือและส่องกระจกเงาจึงเห็นเพียงใบหน้าอ่อนล้าซีดเซียวของตัวเอง

    ยมทูตหนุ่มรอให้อวัยวะของตนหดตัวก่อนจึงสวมอาภรณ์กลับดังเดิม เขาสังเกตได้ว่าวิญญาณสาวยังไม่กลับจากห้องน้ำเสียที เขาจึงเดินไปหาแล้วพบว่าเธอกำลังยืนร้องไห้อยู่หน้ากระจกอย่างโหยหวน น้ำตาหลั่งไหลไม่ต่างจากเขื่อนแตก วิญญาณผู้ปลิดชีวิตตนเองจะเป็นแบบนี้ทุกราย -- ฟูมฟายอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อรำลึกได้ว่าตนเสียชีวิตไปแล้ว แม้จะเต็มใจตั้งแต่แรก เซฟทิสไม่มีวิธีปลอบประโลมอื่นนอกจากสวมกอดและจุมพิต เขาทำเป็นแค่นั้น

    "ฉันชอบกอดของคุณจัง" โจเซลีนพูดขณะหลั่งน้ำตาลงบนปีกกว้างของความตาย "ไม่ชอบตัวเองตอนร้องไห้เลย แต่…"

    "มันเป็นเรื่องธรรมดาของวิญญาณที่เพิ่งตายจะจมอยู่ในความเสียใจ"

    “อีกนานไหม”

    “สองสามวันก็หายแล้ว”

    เซฟทิสว่าแบบนั้น โจเซลีนสะอึกสะอื้นไม่หยุด เขาผู้ฟังเสียงร่ำไห้ของวิญญาณนับร้อยนับพันจนชินชา ลูบหัวเธออย่างอ่อนโยนแล้วปลีกตัวไปนอนรอบนเตียงนอนนุ่ม เขาถือวิสาสะหยิบหนังสือบนโต๊ะข้างเตียงของหญิงสาวรขึ้นมาอ่าน มันคือหนังสือนิยายแปลเรื่อง 1984 เขียนโดยจอร์จ ออเวลล์ ว่าด้วยโลกที่ปกครองโดยระบอบเผด็จการ เจ้าหน้าที่รัฐคุกคามประชาชนโดยอ้างว่าการกระทำเหล่านั้นคือความรัก 

    มนุษย์ช่างซับซ้อนและบ้าอำนาจ แม้เขาเคยเป็นมนุษย์มาก่อนแต่ก็ไม่เคยเข้าใจการกระทำของพวกเขาเลย 

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in