"ถ้าจะให้ออกอัลบั้มทุกปีมันทำได้แต่เราจะชอบมันหรือเปล่า ถ้าจะให้กล้ารับปาก แล้วพูดด้วยความจริงใจ ว่าแต่ละครั้งคือหยาดเหงื่อและตั้งใจทำจริงๆ ไม่ใช่ทำๆไปแล้วก็ออกมาพูดว่า ตั้งใจมากนะคะ ช่วยติดตามด้วยนะคะ คือมันไม่ได้ผิวเผินอย่างนั้น"
"ถ้าเราบอกว่าทำ คือเราไปทำอย่างนั้นจริงๆ ไปมิกซ์ด้วย อยู่ด้วย แก้เนื้อ ทำทุกสิ่งทุกอย่าง โฟกัสไปที่งาน แม้กระทั่งปก ตัวหนังสือ ทุกอย่าง มีหลายเรื่องที่มันประกอบเป็นอัลบั้ม เราต้องชอบเราต้องอินกับมัน ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นตอนไปเล่นคอนเสิร์ตเราก็แย่ เราร้องอะไรไปเรายังไม่อินเลย มันไม่ง่ายเลย"
จากชีวิตที่ต้องเดินสายแสดงสดเป็นระยะเวลาร่วมสามปีติดต่อกัน กระทั่งหมดสัญญากับต้นสังกัด ไม่ต้องมีวงจรชีวิตแบบเครื่องจักรอีกแล้ว ทุกวันจึงเป็นเวลาสำหรับชีวิตให้ได้ใช้มันอย่างช้าๆ มันก็คือช่วงตักตวงความสุขของชีวิตที่เฝ้าเก็บสะสมมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย
"ใครๆ ก็อยากได้เงิน เราก็อยากได้เงิน แต่เราไม่ได้กระหายมากเหมือนเมื่อก่อน ที่เราเจอความฝันแล้วเราทำมันแล้วบังเอิญประสบความสำเร็จ มันเกิดขึ้นเองโดยที่ไม่มีใครคาดหวังอะไรเลย ทีมงานหรือว่าเราก็ทำเพราะว่าเราชอบ จากนั้นมาก็เหมือนเราทำประกอบร่างมาเรื่อยๆ หาเองมาเรื่อยๆ"
"ความรู้ทางด้านดนตรีเราไม่มีมาก เราใช้มันไปแทบจะหมดอยู่แล้ว ตอนนี้เราอยากจะคิดอะไรแล้วตกตะกอนได้ดีที่สุด เราจึงจะทำมัน ยืนยันได้ว่าใครที่ฟังอัลบั้มจะได้สิ่งที่เราคิดออกไปจริงๆ เราอยากให้มันเป็น เราอยากจะบ้าแบบนี้ เราอยากจะแต่งตัวแบบนี้ คือมันเป็นแบบนั้น"
จากตัวตนของ 'Palmy' อัลบั้มแรกในชีวิต ต่อด้วยอัลบั้มที่สอง 'Stay' ในแบบของเธอ ในช่วงรอยต่อของการทำอัลบั้มที่ 3 นี้เอง ด้วยเงื่อนไขทั้งภายในและภายนอก เรื่องความพร้อมของการทำดนตรี ความมั่นคงและความอิสระ ทำให้เธอต้องตัดสินใจในเส้นทางดนตรีของเธอ ในที่สุดผลที่ออกมาคือ 'Beautiful Ride' ซึ่งบรรจุมาตรฐานและพลังอันเต็มเปี่ยมของเธอเอาไว้ได้โดยไม่หล่นหายไประหว่างทาง
"เราเริ่มทำงานตอนอายุ 18 ออกอัลบั้มอายุ 20 คือความเข้าใจทางด้านดนตรีไม่มีอะไรมากมาย เราเริ่มมาจากสัญชาตญาณว่ามันต้องเป็นแบบนี้ อธิบายเป็นภาพได้ ไม่ได้เจาะไปทางคำศัพท์เทคนิค เราไม่ได้ศึกษามาทางด้านนี้ บังเอิญมันเป็น 'อยากร้องดังๆ' เราก็แค่ทำต่อเนื่อง"
"เรากล้ายืนยันว่า เพลงเราก็ไม่ได้แย่ลง อัลบั้มสองมันก็ดีในแบบของมันเข้มข้นทางด้านดนตรี พอมาอัลบั้มที่ 3 ทำให้มันป๊อบแล้วก็สื่อสารกับคนส่วนมาก เนื้อหามันก็เป็นเรื่องที่เราอยากจะพูด เราแค่เป็นคนนั่งเขียนไม่ได้ แต่เรากำกับว่ามันจะต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าคำนี้เราไม่ร้อง ก็จะแก้กัน"
"เราขลุกกับทุกอย่างที่เราทำไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรือเพลง บรรยากาศมันทำให้รู้สึกไปช่วงยุค 70 หรือ 80 ถ้าไปดูคอนเสิร์ตเราจะอินนะ แต่ว่าสีสันดนตรีเราก็ต้องให้คนที่เขาทำดนตรีเป็นตัวเขาบ้างเหมือนกันเราทำงานคนละครึ่ง จะให้เรามาเจ๋อเรื่องคุมร้องเอง เจ๋อเรื่องร้องเรื่องดนตรีไปเสียหมดร้อยเปอร์เซ็นต์มันเป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่เราต้องให้คนอื่นช่วยทำด้วยมันก็ต้องคนละครึ่ง เขาก็อยากโชว์ผลงานของเขา"
"แต่ว่าจากนี้ไปมันก็ยากขึ้นด้วยอายุเราก็มากขึ้นแล้ว สิ่งที่เราอยากพูดมันไม่ได้เป็นเหมือนตอนนั้น เราคิดมากขึ้นความเข้มงวดก็มากขึ้นตามไป การที่จะหาคนที่เข้าใจเราก็ยาก"
ดังนั้นที่เธอจะเลือกทำงานกับค่ายดนตรีใดนั้น ย่อมหมายถึงการเลือกว่าจะอยู่กับคนที่ทำงานอย่างไรด้วย ไม่ใช่แค่ชื่อหรือภาพลักษณ์จากค่ายเพียงเท่านั้น
"เรารู้สึกว่าเราโชคดีที่เราได้คิดแบบนั้นแล้วมีคำตอบ พระเจ้ายื่นมาแบบนั้นว่าอยู่ที่เดิมดีกว่า ตอนนั้นก็ย้อนกลับไปสามสี่ปี สิ่งที่เราต้องการมันต้องจับต้องได้ คือเรายังไม่พร้อมที่จะออกไป ก็กลับมาคุยกับที่เก่า พี่เล็กเรียกกลับมาคุย แล้วก็ลงตัวที่จะอยู่ ต้องมีอะไรบ้าง ดูแลกันแบบไหนให้มันราบรื่น"
"เพราะแบบเดิมมันก็มีขรุขระบ้าง พอหมดสัญญาเราก็คุยกันใหม่ว่า ถ้าทำจะมีการดูแลที่เปลี่ยนไปไหม หลายๆ อย่างมันก็ลงตัวทั้งเรื่องเงิน ทั้งเรื่องทีมงาน ก็คุยกันแบบแฮปปี้ทั้งคู่ ถ้าเขาไม่แฮปปี้เขาคงไม่เอาเราไว้ ถ้าเราไม่แฮปปี้เราก็คงไม่อยู่กับเขาเหมือนกัน”
"เราเป็นคนไม่มีเส้นไม่มีสาย แต่ก็ไม่รู้สิ ปาล์มมี่โชคดีนะ อืม เราว่าทำงานอะไรก็แล้วแต่ต้องเป็นคนแบบเอาจริง ทำจริง คิดจริงๆ อยู่กับความเป็นจริงด้วยนะ ไม่ใช่ฟุ้งไปเรื่อยแล้วสร้างขึ้นมาไม่ได้ เราอยู่ตรงนี้เราก็ต้องสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใหญ่ที่ดูแลเรา คิดแล้วเราพิสูจน์ตัวเองด้วย พอมันสำเร็จ เขาก็ 'โอเค งั้นโยนให้ทำอีกอันหนึ่ง ไหวเปล่า' ถ้าทำมาแล้วไม่ใช่ เขาก็ต้องไปหาคนที่อยู่ตรงนี้ได้จริง ทำได้จริงๆ"
"ไม่อย่างนั้นเราคงไม่ได้ข้อเสนออะไรต่างๆ มันเป็นทุกหน้าที่ทุกงานเหมือนกัน ตั้งแต่อยู่ที่แกรมมี่มา เราคิดว่าพี่เล็กเข้าใจเราที่สุดเลย มีทะเลาะถกเถียงบ้างกับทีมงาน กับคนในตึก กับผู้ใหญ่ แต่พี่เล็กจะเป็นคนที่เหมือนมาอุ้มเราขึ้น 'นั่งลงสิมี่ คุยกันก่อนไหม' คือทำให้เราเปลี่ยนทัศนคติที่บางทีเราลบไปแล้ว เขาทำให้เรากลับมานั่งฟังแล้วเราก็ยอมเขาบ้าง ยอมในจุดที่ 'โอเค เรายอมแค่นี้ ถ้ามากกว่านี้ไม่ไหวนะ' เขาก็พูดอย่างนี้กับเราเหมือนกัน ก็เลยทำงานด้วยกันได้"
"คือฉลากของแกรมมี่ไม่ได้ผิดอะไรเลยนะ แต่ที่ไม่ได้อยู่เพราะว่าเรายังไม่เจอทีมงานในนั้น สมมุติมี 10 ทีมเราก็เคยทำงานมาแล้วแต่ว่าตัวเราเองอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศ ไหนๆหมดสัญญาแล้ว ลองเดินออกมาข้างนอก ถูกใจใครเราก็ลองทำ อยากลงไปในสนามเด็กเล่นที่เรายังไม่ได้เล่นบ้าง เราเล่นแต่ของชิ้นนี้ ทำมา 8 ปีแล้ว สุดท้ายแล้วอาจจะไปอยู่กับเขาก็ได้ ถ้าเจอคนที่ทำงานด้วยกันแล้วมันใช่ ค่ายเพลงไม่ใช่ปัญหาของเราเลย เพราะว่ามันคุยกันได้”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in