นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันก็ใช้ชีวิตทุกเช้าค่ำอยู่กับความหวาดกลัว ฉันยิ้มให้เซฮุนเหมือนปกติ กินข้าวกับแม่ด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย แต่หลบหน้าจงอินราวกับคนมีชนักติดหลัง ฉันกลัว กลัวว่าถ้าเจอฉัน เขาจะพูดอะไรออกมา
จะพูดเรื่องที่เขา..กำลังจะต้องจากไป
“อ้าว มากันได้ยังไง”
ฉันแสร้งถามจงอินกับเซฮุนที่ยืนอยู่หน้าประตูบ้านขณะที่ฉันเดินออกไปต้อนรับ สายตาของฉันพยายามจับจ้องอยู่แต่ที่ใบหน้าของเซฮุน ฉันยังทำใจให้มองหน้าจงอินไม่ได้ และหวาดกลัวเหลือเกินในเหตุผลที่เขามาหา
สิ่งที่ฉันกลัวมาตลอด กำลังจะเกิดขึ้นแล้วเหรอ
“ไม่รู้เหมือนกัน จู่ๆ เขาก็ลากฉันออกจากบ้านมาหาเธอเนี่ยแหละ”
เซฮุนพูดอย่างงงๆ แต่สองแก้มของคนตัวบางแดงปลั่ง เซฮุนดูเขินอายและดีใจมากที่จงอินไปหาถึงที่บ้าน เพราะโดยปกติแล้วจงอินมักจะไม่ค่อยไปเซฮุน แต่หมอนั่นกลับชอบมาขลุกอยู่กับฉันทั้งวัน
“คิดถึงฉันรึไง”
ฉันรวนใส่จงอิน
“อื้ม มากๆ เลยล่ะ"
คำตอบของจงอินทำเอาฉันเงยหน้าขวับไปมองเขาทันที เพียงแค่สบตากับดวงตาดำสนิทรียาวคู่นั้น ฉันก็ต้องรีบทำเป็นจามเพื่อแอบเช็ดน้ำตาที่รื้นขึ้นมา เพราะแค่ชั่ววินาทีที่ได้สบตา สายตาของเขาที่ทอดมองมานั้นอ่อนโยนและ.. และเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอะไรสักอย่าง เขามองมาอย่างแน่วแน่ อ่อนโยน และราวกับแทงทะลุหัวใจฉัน มันทำให้ฉันอยากร้องไห้ออกมาเดี๋ยวนั้น ฉันรู้สึกตีบตันอยู่ในลำคอ ขอบตาร้อนผะผ่าวอย่างควบคุมไม่ได้ อย่านะคยองซู อย่าร้องไห้ออกมาตอนนี้นะ
"ฉันมาชวนไปเดินเล่น ไปด้วยกันหน่อยได้มั้ย”
“ได้สิ จะไปที่ไหนล่ะ”
เซฮุนยิ้มร่าแล้วตอบรับทันทีเมื่อจงอินถาม เซฮุนกำลังมีความสุขกับการได้ออกไปเที่ยวด้วยกัน จนไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติของฉัน
"ไปที่ทุ่งอาซาเลียกันเถอะ"
"ได้สิจงอิน"
เวลาแห่งการบอกลา มาถึงแล้วสินะ
ทุ่งหญ้าในฤดูใบไม้ร่วงไม่นุ่มนวลน่าเหยียบนักเมื่อเทียบกับในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และตอนนี้ดอกอาซาเลียที่บานสะพรั่งก็ได้ร่วงโรยหมดไปนานแล้ว จงอินเอาข้าวกล่องฝีมือคุณแม่ของเขามาด้วย พวกเราสามคนนั่งกินข้าวกล่องกันตรงที่ประจำของพวกเรา ใกล้ๆ เนินที่พวกเรามักชอบมานั่งเล่นดูพระอาทิตย์ตกดินกันเมื่อครั้งยังเด็ก
วันนี้จงอินพูดเยอะ และพูดมากกว่าปกติจนเซฮุนยังสังเกตเห็นได้ เธอส่งสายตามามองฉันอย่างมีคำถาม ฉันไม่สนใจเซฮุนและเออออไปกับทุกเรื่องที่จงอินเล่า เขาพูดถึงชีวิตของพวกเราในวัยเด็ก ขุดเรื่องน่าเกลียดทุกเรื่องที่เขาจำได้มาล้อ เอ่ยปากถึงความประทับใจระหว่างเราสามคนทุกอย่างที่เขานึกได้
“ตอนตำโมจิเมื่อปีใหม่ครั้งโน้น เซฮุนเธอจำได้มั้ยว่า คยองซูน่ะออกแรงมากจนลื่นเกี๊ยะล้มอย่างแรงเลยนะ น่าอายมาก”
“จำได้”
เซฮุนรับ
“แล้วก็..”
“นายต้องการจะพูดอะไรกับพวกเรากันแน่จงอิน”
ในที่สุดเซฮุนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป จงอินไม่เป็นตัวเอง และเซฮุนก็รู้อาการประหม่าแบบนี้ของจงอินดีอยู่แล้ว จงอินจะเป็นเช่นนี้เสมอเวลาที่เขากำลังจะสารภาพอะไรสักอย่างกับพวกเรา ถ้าเป็นครั้งก่อนๆ ฉันก็คงจะสนับสนุนเซฮุนด้วยการไล่บี้ถามเขาถึงเรื่องจริงๆ ที่ต้องการพูด แต่ในครั้งนี้ฉันไม่อยากให้เขาพูดความจริงอะไรออกมาเลย ไม่อยากเลย
“ก็.. เธอจำได้มั้ย ว่าที่โรงเรียนของฉันมีการประชุมเพื่อประชาสัมพันธ์ของกองทัพ”
“จำได้”
คราวนี้เซฮุนหรี่ตามองจงอินอย่างหวาดระแวง มือของเซฮุนกำตะเกียบแน่น ส่วนฉันยังคงไม่เงยหน้าจากกล่องข้าว คีบไข่หวานเข้าปาก ฉันไม่อยากมองหน้าจงอิน และไม่อยากรับฟังอะไรทั้งนั้น
“ฉันกรอกใบสมัครแล้วนะ ว่าจะเข้าร่วมกับกองทัพน่ะ”
ตะเกียบลื่นหลุดลงจากมือของเซฮุนทันที จงอินรีบคว้ากล่องข้าวของเธอมาวางไว้บนพื้นก่อนที่มันจะหกคว่ำ เพราะตอนนี้มือของเซฮุนสั่นมาก
“ว่ายังไงนะ”
เสียงของเซฮุนเบาหวิวกลายเป็นกระซิบ เธอถามซ้ำอีกหลายครั้งด้วยคำถามเดิม
“นายว่ายังไงนะจงอิน”
ใบหน้าที่แต่เดิมขาวจัดอยู่แล้วของเซฮุน มาตอนนี้ยิ่งเผือดลงจนไร้สีเลือด ดวงตาทั้งสองมีแต่ความไม่อยากเชื่อและตื่นตระหนก
“ฉันจะอาสาสมัครเข้าร่วมรบกับกองทัพ”
“ทำไมล่ะจงอิน นายเกลียดสงครามไม่ใช่เหรอ”
“อื้ม เกลียดมากๆ เลย”
“แล้วทำไมถึงเข้าร่วมกองทัพล่ะ”
เซฮุนเริ่มพูดด้วยเสียงดังขึ้นจนเกือบจะเป็นตวาด แต่มันแหบและเครือมากจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง เป็นเสียงของคนที่กำลังเสียใจจนแทบคุมสติเอาไว้ไม่ได้
“ถ้าเกิดว่าการที่ฉันเข้าร่วมกองทัพไปอีกคนแล้วทำให้ญี่ปุ่นชนะสงคราม เพื่อยุติการออกไปรบของคนอื่นๆ ได้ ฉันก็ยินดี”
“แต่..”
“ฉันก็ยังคงเป็นฉัน เกลียดสงคราม และไม่อยากจากแม่ไปไหนเพราะพ่อของฉันก็ไม่อยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริงก็คือพวกเราต้องเสียสละ ถึงแม้ฉันจะไม่ชอบที่ประเทศของเรารุกรานประเทศคนอื่น แต่ในเมื่อตอนนี้แผ่นดินของพวกเรากำลังถูกโจมตีคืนบ้าง ฉันก็จำเป็นต้องปกป้องเอาไว้”
จงอินยิ้มให้เซฮุนด้วยรอยยิ้มอบอุ่น แต่ความอบอุ่นนั้นส่งไปไม่ถึงใจของเซฮุน และส่งมาไม่ถึงใจของฉันที่พังพินาศไปหมดแล้ว
“แล้วนายจะทำยังไงกับแม่ ไม่ห่วงแม่หรือไง”
เซฮุนค้าน หยดน้ำตาเม็ดโตร่วงลงมาไม่ขาดสายจากดวงตาที่เคยเปล่งประกายอยู่เสมอ
“ก็เพราะห่วง ฉันถึงต้องไป”
“ไม่เห็นจำเป็นเลย มีคนอีกตั้งมากมายที่พร้อมจะอาสาเข้ากองทัพ อีกอย่างนายยังเด็กอยู่เลย พึ่งอายุสิบเจ็ดเองนะ ”
เซฮุนเริ่มสะอึกสะอื้นออกมา จงอินบีบต้นแขนเธอเบาๆ อย่างปลอบประโลม แต่เซฮุนเหมือนไม่รับฟังอะไรทั้งนั้น เธอเอาแต่รำพึงกับตัวเองซ้ำๆ
"ไม่เอา ฉันไม่ให้ไปนะจงอิน อย่าไปนะ"
“ถ้าเกิดว่าทุกคนคิดแบบเธอ เราก็คงไม่มีใครเข้ากองทัพเลย ฉันคิดมาดีแล้วว่าฉันควรจะทำอย่างนี้ อีกอย่างมีหน่วยรบที่อายุน้อยที่สุดคือสิบหกปีด้วยซ้ำ เห็นมั้ยล่ะว่าจริงๆ แล้วฉันน่ะแก่หงำเหงือกในหน่วยรบเลยล่ะ”
เขาพูดติดตลก แต่ไม่มีใครยิ้มออกมาได้ในเวลานี้เว้นเจ้าตัว คราวนี้จงอินหันมามองฉัน เขาพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนที่มีอำนาจทำให้ทุกคนที่เห็นรู้สึกอบอุ่น แต่ไม่ใช่กับฉันและเซฮุนในเวลานี้
“ขอโทษด้วยนะคยองซูที่เมื่อก่อนฉันต่อต้านความคิดของเธอ ฉันไม่อยากไปทำร้ายคนอื่นน่ะ แต่ก็ไม่อยากให้คนอื่นมาทำร้ายคนที่ฉันรัก ไม่ว่าจะเป็นแม่ เป็นเธอ เป็นเซฮุน หรือว่าใครๆ ที่ฉันรู้จักก็ตาม” "..."
"ฉันต้องขอฝากแม่ไว้กับเธอสองคน และขอให้เธอสองคนดูแลกันและกันให้ดีด้วยนะ"
"..."
ฉันไม่มีคำตอบอะไรให้กับจงอินทั้งนั้น ทั้งๆ ที่ภายในใจของฉันกำลังตะโกนออกมาเป็นคำเดียวกับคำพูดของเซฮุน
อย่าไปนะ จงอิน
..อย่าไปนะ
คริสตศักราช 1942 วันที่ 6 เดือน พฤศจิกายน,
เมืองฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น
“เซฮุน! เข็มตำมือเธอแล้วนะ”
“อ๊ะ”
ฉันรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าขึ้นมากดเลือดให้เซฮุนทันที ตั้งแต่จงอินจากไปเซฮุนก็เหม่อลอย คุณแม่ของเซฮุนเองก็เป็นกังวลกับเรื่องนี้ ทำให้ฉันพยายามอยู่กับเธอให้มากขึ้น เราสลับกันไปนอนที่บ้านของเซฮุน บ้านของฉัน และบ้านของจงอินเพื่อไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ของจงอินบ้าง
จงอินออกเดินทางไปในอีกสองวันถัดมาหลังจากเรื่องในวันนั้น ตลอดการกินข้าวเย็นบนเนินนั้นฉันนิ่งเงียบราวกับคนใบ้ตั้งแต่ต้นจนจบ แม้เขาจะพูดด้วยแต่ฉันก็ไม่ตอบคำ ทั้งๆ ที่มีอะไรอยากบอกกับเขาตั้งมากมาย ฉันไม่ได้อยากจะทำตัวเย็นชาแบบนั้น แต่ฉันไม่สามารถพูดอะไรได้เลยต่างหาก เสียงของฉันราวกับถูกดูดหายไปพร้อมๆ กับเรี่ยวแรงทั้งหมดในร่างกาย ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเดินกลับบ้านมาได้ยังไง
คืนนั้นเราแยกกันตรงบริเวณสี่แยกในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นที่ๆ เราเคยนัดเจอกันเป็นประจำ เพราะเป็นจุดกึ่งกลางของบ้านทุกๆ คน ฉันเดินไปทางขวา เซฮุนเดินไปทางซ้าย จงอินเดินตรงไปข้างหน้า เส้นทางเบื้องหลังที่พวกเราเคยเดินด้วยกันสามคนตลอดมาไม่มีอีกแล้ว
ฉันร้องไห้ทันทีที่ตัวเองหันหลังให้จงอินกับเซฮุน หยดน้ำตามากมายไหลพรากและพร่างพรมลงพื้นราวกับสายฝนโปรยปราย สองมือแนบกดถุงเครื่องรางที่จงอินมอบให้ไว้ในวันนั้นลงตรงหน้าอกข้างซ้ายราวกับว่าการทำเช่นนั้นมันจะช่วยลดความเจ็บปวดลงมาได้ ร่างกายฉันเจ็บร้าวไปหมดราวกับถูกใครทุบตี ฉันเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ในวินาทีนี้ ว่าความเจ็บทางใจมันเป็นอย่างไร หัวใจฉันบีบรัดแน่นจนจุกไปทั้งอก ความเสียใจในแบบเดียวกับวันที่พ่อจากไปกำลังเข้ามาทำร้ายฉันซ้ำเป็นครั้งที่สอง แต่กับจงอินมันยิ่งทวีคูณมากกว่า เมื่อฉันรู้แน่นอนว่าเขาจะไม่มีวันกลับมา ไม่ว่าด้วยหนทางใดก็ตาม
“เธอต้องระวังให้มากกว่านี้นะเซฮุน”
“ฉันขอโทษ”
ฉันเตือนเมื่อเซฮุนทำกล่องข้าวหล่นลงบนพื้น เสียงดังแคร้งจากฝากล่องทำให้เซฮุนได้สติและรีบลนลานเก็บกวาด เราแบ่งกันกินข้าวกล่องของฉันแทน อาหารของพวกเราทุกวันนี้มีเพียงข้าวปั้นห่อสาหร่ายเท่านั้น ข้าวของแพงขึ้นทุกๆ วัน อาหารปันส่วนก็น้อยลงทุกๆ ครั้งเช่นกัน เราไม่มีเนื้อสัตว์กินกันมาพักใหญ่แล้ว เพราะราคาที่สูงเกินกว่าจะจ่ายไหว
เซฮุนหยิบข้าวปั้นขึ้นมากัดก้อนหนึ่ง กัดไปได้ไม่กี่คำน้ำตาก็ร่วงเผาะ ฉันรู้ว่าเธอคิดถึงอะไร และคิดถึงใคร จงอินจะกินข้าวได้เยอะกว่าทุกครั้งถ้าอาหารเป็นข้าวปั้นของโปรดของเขา
หัวใจบีบลงจนความหิวหายไปทั้งหมด ฉันแสร้งทำเป็นกระแอมเพื่อกลืนก้อนแข็งๆ ลงคอ และทำท่าทางเป็นมองท้องฟ้าเพื่อไม่ให้น้ำตาไหลลงมา
เย็นวันนั้นหลังจากเดินไปส่งเซฮุนที่บ้าน คนที่ฉันไม่คิดว่าจะยืนอยู่หน้าบ้านก็ทำให้ฉันรู้สึกตกใจ สงสัย และหวาดกลัว
“สวัสดีค่ะคุณน้า เชิญเข้าบ้านก่อนค่ะ”
คุณแม่ของจงอิน แม่ของจงอินมาหาฉันทำไม..
“ไม่เป็นไรจ้ะคยองซู ฉันแค่จะมาบอกว่าจงอินส่งจดหมายมาหา บอกว่าอีกสิบห้าวันข้างหน้า เขาจะได้ขับเครื่องซีโร่แล้ว หนูอยากไปเข้าร่วมพิธีกับฉันมั้ยจ๊ะ”
รอยยิ้มบิดเบี้ยวปรากฏอยู่บนใบหน้าที่เคยสวยมากของคุณน้า
“ไม่ค่ะ หนูไม่อยาก”
ฉันพูดอย่างเสียมารยาท แล้วโค้งลาแม่ของจงอินก่อนจะเลื่อนบานประตูบ้านเข้ามา ทำไมวันนี้บานประตูจึงหนักและเลื่อนยากเช่นนี้ก็ไม่รู้ หรือเรี่ยวแรงฉันหายไปหมดกันแน่ เมื่อพยายามเลื่อนบานประตูปิดได้ ฉันก็ทำได้เพียงทรุดตัวนั่งลงอยู่ตรงนั้น ไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้เลย จนกระทั่งแม่มาเจอฉันเข้าในตอนค่ำ
จงอิน..
นาย.. กำลัง.. จะจากฉันไป.. แล้วงั้นเหรอ..
วันรุ่งขึ้นเซฮุนไม่มาเรียน ฉันเองก็ไม่อยากมาเลย แต่ต้องลากสังขารมานั่งเรียนทั้งๆ ที่ไม่มีความรู้อะไรเข้าหัวแม้แต่นิด
จงอินกำลังจะขึ้นขับเครื่องซีโร่นั้นในอีกสิบสี่วันข้างหน้า เครื่องบินที่บรรทุกระเบิดหนักสองร้อยปอนด์ เติมน้ำมันแบบตีตั๋วเที่ยวเดียวไม่มีขากลับ มีหน้าที่เพื่อพุ่งชนทำลายเรือของข้าศึกและสังเวยชีวิตไปพร้อมๆ กับภารกิจของตน
“นี่ มีใครรู้จักปฏิบัติการกามิกาเซบ้าง ใครพอจะบอกฉันได้มั้ยว่าไอ้การขึ้นเครื่องอะไรนี่มันทำยังไง ทำอะไรมั่ง”
ฉันตะโกนถามเพื่อนนักเรียนในห้องอย่างผิดวิสัยคนไม่ค่อยพูดแบบฉันมาก เพื่อนนักเรียนมองหน้ากันลอกแลกแล้วส่ายหน้า
“ฉันรู้จัก”
เสียงเบาหวิวของนักเรียนคนหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ เธอเดินเข้ามาหาฉันที่โต๊ะด้วยดวงตาที่ขึ้นสีก่ำ
“คยองซูอยากรู้อะไรเหรอ" เธอนิ่งเงียบไปนาน พร้อมๆ กับน้ำตาที่ไหลลงมาอาบหน้า
"พี่ชายของฉันพึ่งขับเครื่องซีโร่ไปเมื่อวานซืนนี้เอง”
เมื่อกลับมาถึงบ้านแม่บอกว่าพ่อส่งจดหมายมาหา เนื้อความบอกว่าพ่อยังสบายดีอยู่ ไม่ต้องเป็นกังวล มือที่ถือจดหมายของแม่สั่นมากขณะอ่านจบ แม่เอาแต่พร่ำพูดแต่คำเดิมเป็นครู่ใหญ่
“ดีเนอะ ดีจังเลย”
“...”
“พ่อยังอยู่ดี ยังไม่เป็นอะไร ดีจังเลยนะคยองซู”
“...”
“ฮือ.. ดีจังเลยที่คุณยังอยู่ ดีจังเลยที่ไม่เป็นอะไร” แม่ค่อยๆ พับจดหมายที่เต็มไปด้วยลายมืออันเป็นระเบียบของพ่อใส่กลับลงไปในซอง ยกมันมากอดแนบอกแล้วร้องไห้โฮอย่างที่ฉันไม่ได้เห็นมานาน แม่ยกจดหมายซองนั้นขึ้นมาแนบกับใบหน้าราวกับว่าการทำเช่นนั้นจะเป็นการได้อิงแอบกับพ่อจริงๆ น้ำตาฉันไหลรินลงมาตามหางตาเป็นสาย พ่อไม่ได้ติดต่อเรามาตั้งหลายเดือนแล้ว นี่เป็นของขวัญที่วิเศษสุดที่เคยได้รับในรอบหลายเดือน
พ่อยังไม่เป็นอะไร ดีที่สุดเลย
เสียงเคาะประตูหน้าบ้านดังขึ้น แม่พยายามอดกลั้นเสียงสะอื้น แต่ฉันยกมือในเชิงบอกว่าไม่เป็นไรแล้วลุกไปดูด้วยตนเอง ฉันเอามือปาดน้ำตาออก ทันที่ที่บานประตูเลื่อนถูกเปิด ก็พบกับเซฮุนที่ยืนอยู่ด้วยใบหน้าขาวซีดและริมฝีปากที่ไร้สีเลือด
“ฉันไม่ไปนะ”
เซฮุนพูดเพียงแค่นั้นแล้วก็หันหลังเดินจากไป
คริสตศักราช 1942 วันที่ 21 เดือน พฤศจิกายน,
เมืองฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น
ข้าวเช้าวันนี้ทำอะไรดีนะ ไข่ม้วนกับซุปเต้าเจี้ยวดีมั้ยนะ หรือว่าผัดผักกาดดี ไม่รู้ว่าแม่จะอยากกินอะไรมากกว่าเพราะช่วงนี้กับข้าวของเราก็เหลือแค่นี้แล้ว แต่ไข่มีเหลือน้อยกว่าผัก เราควรเก็บไข่ไว้กินวันหลังดีกว่า
“แม่คะ ทานข้าวกันเถอะค่ะ”
ฉันเรียกเมื่อกับข้าวทุกอย่างพร้อมแล้ว แม่ผอมลงไปมากในช่วงหลังนี้จนชุดฮากามะที่สวมอยู่หลวมโพรกไปหมดเป็นผลมาจากความอดอยากที่เกิดขึ้นจากอาหารที่ขาดแคลนเพราะสงคราม
แม่มองฉันด้วยสายตาที่ฉันไม่อยากมองเห็น เพราะตอนนี้ฉันไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น
‘คนขับเครื่องซีโร่จะมีพิธีการก่อนในตอนเช้า’
เสียงเล็กๆ ที่สั่นเครือของเพื่อนนักเรียนในห้องดังก้องเข้ามาในหัวของฉัน ขณะที่ทรุดนั่งลงบนพื้นมือคว้าตะเกียบ อีกมือคว้าถ้วยข้าว
‘ญาติพี่น้องจะได้นั่งอยู่ในพิธีการนั้นด้วย’
ข้าวแฉะไปนิดนึงแฮะ
'นักบินจะได้ดื่มสาเกร่วมกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ จากนั้นพวกเขาก็จะผูกผ้าพันคอสีขาวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของหน่วยรบพิเศษกามิกาเซ่’
ผัดผักกาดก็จืดไปหน่อย
‘ใต้หมวกหนังคาดฮาชิมากิซึ่งเป็นอาภรณ์ของซามูไร และเหน็บกระบี่ของซามูไรด้วย’
แต่รสชาติของน้ำตาช่างเค็มปร่าจริงๆ
'เมื่อพร้อมแล้ว พวกเขาก็จะเดินขึ้นเครื่องบินที่จะพาเขาไปสู่ความตายอย่างกล้าหาญ เมื่อปฏิบัติภารกิจพวกเราจะตะโกนอย่างภาคภุมิใจว่า ‘แด่องค์จักรพรรดิ’’
“ฮึก..”
‘เสียงล้อบดกับลานบินดังสนั่นหวั่นไหว พวกเขาเหินไปบนท้องฟ้าราวกับนกยักษ์ที่สยายปีกบินอย่างไม่กลัวเกรงสิ่งใดๆ เพียงพริบตาเท่านั้น เราก็เห็นเขาเป็นเพียงจุดเล็กๆ’
“ไปหาเซฮุนเถอะลูก”
แม่ลูบหัวฉันที่กำลังนั่งร้องไห้จนตัวสั่นเทิ้ม ฉันวางทุกอย่างในมือลงแล้วลุกพรวดขึ้นทันที เกี๊ยะถูกสวมอย่างลวกๆ สองขาวิ่งไปยังทิศทางของบ้านเซฮุน แล้วฉันก็เห็นร่างของคนที่กำลังวิ่งตรงมาทางนี้เช่นกัน
เซฮุนกับฉันต่างวิ่งเข้ากอดกัน เราต่างคนต่างวิ่งกันมาได้คนละครึ่งทาง ตรงใจกลางของสี่แยกของหมู่บ้านซึ่งเคยเป็นที่นัดพบของฉัน เซฮุน และจงอิน ที่ๆเรายืนอยู่ด้วยกันสามคนเป็นครั้งสุดท้าย การอยู่ด้วยกันสามคนซึ่งชีวิตนี้จะไม่มีอีกแล้ว
“ฮือ..”
เราสองคนไม่พูดอะไรกันทั้งสิ้น เพียงแค่กอดกันอยู่อย่างนั้นและร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับคนบ้าตรงใจกลางหมู่บ้านอย่างไม่หยุดหย่อน หยดน้ำตาของเซฮุนร่วงหล่นลงใส่บ่าของฉัน หยดน้ำตาของฉันร่วงลงใส่บ่าของเซฮุน
ความเจ็บปวดที่หัวใจรุนแรงมากราวกับก้อนเนื้อนั้นกำลังถูกเฉือนเป็นชิ้นๆ ด้วยมีดที่มองไม่เห็น เซฮุนทรุดตัวลงไปนั่งสะอื้นไห้อยู่บนพื้น เช่นเดียวกับฉันที่ยืนไม่ไหวอีกต่อไป
จงอิน..
จงอิน..
จงอิน..
‘แล้วหายลับไป’
--------------
สวัสดีค่ะ 02 มาแล้วค่ะ อ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงบอกกันได้นะคะ
จริงๆ ก่อนจะลงเรื่องนี้คิดนานมากเลย เพราะประเด็นสงครามโลกเป็นประเด็นที่อ่อนไหวมาก ในความเป็นเกาหลีและญี่ปุ่น แต่ก็ตัดสินใจลง หากมีโอกาสรีไรต์จะปรับบทให้เหมาะสมขึ้นนะคะ
ขอบคุณทุกๆ คนที่เข้ามาติดตามค่ะ ตอนหน้าก็จะเป็น UNNAMED DREAM 03 แล้วก็จะกลับไปลง Moon's Tale แล้วค่ะ ตอนนี้คิดชื่อเรื่องมูลเทลออกแล้ว รอลงตอน 2 จะแก้ชื่อเรื่องค่ะ ^-^
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in