ต่อจากพรอมท์ Book to Relax to When Taking A Break from Work (1-7)
ข้าพเจ้าได้กลิ่นเจือชาเลดี้เกรย์ออกมาจากเครื่องแต่งกายของมร. อัชเชอร์ ไม่แน่ว่าหากตั้งใจสูดดม มันคงเล็ดลอดแผ่วเบาผ่านลมหายใจ ผิวหนัง และเส้นผมพรมเซทเลิกแสกอย่างดี ซึ่งเบี่ยงกลางกระหม่อมเรียบเปล้เฉียงฝั่งซ้ายเหมือนอย่างทุกวัน บางหนบางคราว ข้าพเจ้าก็รู้สึกคล้ายกลิ่นหอมละม้ายสวนแชมเปญอ่อน ๆ ในงานเริงรมย์ ราวดาร์จีลิงถ้วยละมุนเกสรขจรเคล้าบรรยากาศชื้นแฉะ ขณะเขาทำหน้าที่ย่างนำข้าพเจ้าบนบาทวิถีไปยังตรอกซอยตามหมุดหมาย
ข้าพเจ้ากริ่งเกรงว่าบทบาทในหน้าที่ของเขา กำลังสวนทิศกับข้อเท้าจากผู้ตกเป็นฝ่ายตามอย่างข้าพเจ้าอยู่หลายโมงเทียว ตามเข้าใจ “บท” ของเขาคือการรักษา และ “บาท” ของเขาก็ควรจะเดินตามวิธีสมานแผลผู้คน ทว่า เขากลับชำนิชำนาญเรื่องการผ่าตัดและการนำทางบทบาทส่วนตัวของข้าพเจ้าเหลือเกิน
31. Oct
กำแพง
ข้าพเจ้ารุดหน้าออกจากห้องสอบสวนเหตุตามคำเรียกของรองผู้กำกับที่บอกว่ามันผิดวิสัยในหน้าที่พึงกระทำของข้าพเจ้าอยู่มากโข หลังดำเนินการสอบคำให้การรองจากพนักงานฝ่ายรับแจ้งคดีของลูกความร้องทุกข์ประกอบใบนัดหมายครบกระบวน — มันคงจะเป็นคดีปลงระยะรายรับ-จ่ายในบริบทธรรมดา ๆ ของสัญญาเบี้ยวนัดรอบชำระให้กลับมาปฏิบัติคงเดิมตามเส้นกำหนดได้ หากชายผู้ทำหน้าที่เป็นช่างซ่อมรอยรั่วคืนวานไม่แทรกขัดข้าพเจ้าเสียก่อน เรื่องที่เขาทาบข่าวมาสะสางแก่ข้าพเจ้าก็ดูเหมือนจะเป็นเพียงสำลีอุดปากแผลไว้เพียงด้านเดียวเท่านั้น ข้าพเจ้าสังเกตว่าเขาลอบเห็นความแผกเพี้ยนไม่สมประดีในห้องเช่าหลังนั้นเข้าโดยบังเอิญ ประสมเสียงฝีเท้าเนืองแน่นเช้านี้จากหน่วยพลตระเวนที่เร่งรัดข่าวกลับมาอ้างต่อ พวกเขากล่าวว่าผู้เป็นเจ้าของตึกเช่าเพิ่งลงความเห็นจะรื้อถอนโครงสร้างใหม่ตาม ‘ความฝัน’ ซึ่งเดิมทีมันยังฝันพร่ำเพ้อของหล่อนผู้ถือกรรมสิทธิ์ หาได้เกิดขึ้นจากความลวงหลอกของผู้เช่าอาศัยรายก่อน เพียงแต่ยังเป็นรายถัดไปของห้องพักของหล่อนอีกละมัง เมื่อชายร่างท้วมเคราเฟิ้มนามคาลอส ฮอว์กินเพิ่งจะยันกายผุดหนีความเคืองใจออกจากเก้าอี้สอบสวนเช้านี้ หลังกล่าวอ้างว่าตนเป็นช่างรับจ้างจากเมืองฝั่งตะวันออกที่เพิ่งปรี่เข้ายื่นเรื่องนายจ้างเบี้ยวค่าอุปกรณ์พิเศษของอาคารหมายเลข ๘ ซึ่งถูกแนบท้ายใบสัญญาร่วมครึ่งเดือนเย็นวาน หลังเข้าฝากบันทึกไว้กับเจ้าหน้าฝ่ายซักประวัติ
เป้าสายตาของหน่วยตรวจเร่งนำข่าวสมาคมภายในมาแพร่งพรายถึงหูของข้าพเจ้าทั่วสำนักงาน แม้จะดูนอกเหนือหน้าที่ต้องรับผิดชอบในทีเพราะไพร่พลฝ่ายสืบค้นน้อยหนักน้อยหนากว่าทางสกอตแลนด์ยาร์ด สืบเนื่องหลังคดีอุกฉกรรจ์ของการฆาตกรรมปริศนาปิดตายจบลง ทีมฝีมือดีจากต้นสังกัดใหญ่ก็จะถูกดึงตัวกลับไปกลับมาอยู่หลายเทียว ความจำเป็นของการเพิ่มกำลังแรงงานจึงอยู่เหนือความเข้าใจของกระทรวงเช่นกัน
กระนั้น ข้าพเจ้าก็ลงเอยถ้อยแถลงแก่จ่าสมิธว่าคดีฉ้อโกงนี้มีบางอย่างเกินความชอบกลอยู่ และข้าพเจ้าต้องไปเห็นด้วยตาตนเอง
ข้าพเจ้าไล่ทวนคำสบประมาทของสารวัตรไบลธ์ที่แย้งขึ้นว่ารายงานจากหน่วยลาดตระเวนเมื่อวานซืนก็แค่ทรงจำประหลาด ๆ ของพวกไม่เต็มเต็ง ปัญหาของพวกชั้นผู้น้อยมักโยนมาให้เราถมมันจนเต็มอยู่เสมอ ไอ้พวกนั้นรังแต่จะนำคำถามสารพัดสารเพมาตรวจแผ่ข้อเท็จจริงอยู่เนือง ๆ เพราะหัวใคร่จะคิดแต่เรื่องอาหารมื้อเที่ยง
แค่อาหารเที่ยงก็มีแรง ดีจริงนะ สารวัตรว่าไหม เขาส่งเสียงชังใต้ลำคอหนาแทนคำตอบ ข้าพเจ้ามิมีเจตนาจะขัดเขาอีกกระทง แต่เพราะอาหารมื้อหนักกลางแดดสายก็ทำให้ผู้คนมีแรงใจจะหลุดพ้นจากงานตรงหน้าเช่นกันกับข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ทราบมาว่าเขาคงอิ่มหนำแต่มื้อเช้าเนื่องเวลาปฏิบัติถูกขยายหยุ่นเสียรวนเร เดิมทีข้าพเจ้าก็มีกิจอันต้องกระทำบ้าง เมื่องานเบื้องหลังพลั้งวิบัติคล้อยทีท่าจะหย่อนเบา ร่างกายไม่เป็นชิ้นเป็นอันของข้าพเจ้าก็จะระส่ำปนหนาวขวัญชวนสะท้านขณะก่อขบถราง ๆ ในเส้นชิดปลายเปิด
หากแลถ้วนแล้ว ระยะหลังมานี้ คดีที่ควรปิดมิดใต้ตีนก็เลยเถิดออกมานอกพรมให้ข้าพเจ้าพิจารณ์มันอยู่บ่อยครั้ง จนไขข้อปูดอมน้ำเลือดของข้าพเจ้าดลปวดกะทันหัน ถึงขั้นต้องผ่อนใจลงบ้างบางเทียวเมื่อแสงตะวันเลื้อยตลบสุมกลีบเมฆเพราะหยดชื้นโปรยรั้ง
และเมื่อข้าพเจ้าอาสาจะทอดน่องไปเอง พลตระเวนจึงลงความเห็นว่าควรให้ข้าพเจ้าเข้าถึงจุดเกิดเหตุด้วยรถม้ารับส่งส่วนตัวที่ยังจอดพักข้างอาคาร หลังพาตัวพวกเขากลับจากตรอกในบันทึกเรื่องอุบัติเหตุอาการหน้ามืดจนล้มพับของหญิงชรากลางตลาดค้าปลีก
ทว่า ใบหน้าคุ้นเคยของแขกเหรื่อคนสำคัญที่เพิ่งก้าวขาออกจากห้องโดยสารคันใหม่เบื้องหน้า ก็ทำให้ข้าพเจ้าเฉลียวส้นชะงักกลางคัน
เรือนกายภายใต้กลิ่นน้ำมันไม้ฉุนสมุนไพร [1] โชยผ่านลมถอนใจของข้าพเจ้า เขาสวมเชิ้ตผ้าแฟลนเนลสีทึบมืดตามอย่างสุภาพชน ขณะต้อนฤดูกาลลมหนาวต้นเดือนพฤศจิกายนด้วยโค้ตสีดำตัวเขื่องอันเป็นเอกลักษณ์คงเดิม พร้อมหมวกเฟโดราที่ข้างขวาจะเอียงลงเพื่อยกระดับมุมหน้าให้ฝั่งซ้ายเชิดขึ้นเล็กน้อย ต่างจากหมวกฟางสานของข้าพเจ้าที่มักถูกเลือกสวมกันแดดเลือนเพราะน้ำหนักเบาและคล่องตัวเกินกว่าจะสง่างามในยูนิฟอร์ม
รอยยิ้มกันเองของเขาบังคับความอิ่มเอมซ่อนใต้ประสงค์ให้ข้าพเจ้าเบิกตัวตนนิ่งทื่ออยู่ท่ามกลางนัยน์ตาราวผลแพรสุก ประกอบรับประกายเรือนสะอ้านเงาบลอนด์ที่ดูจะเกรียมแห้งเพราะไอหมอกมาพักหนึ่ง เป็นเขา — บุรุษนามมร. เพียร์ซ เวลล์ อัชเชอร์ ที่ผู้กำกับสถานีลงความเห็นว่าควรใช้สิทธิ์ตามชอบธรรมนำบทบาททางการแพทย์จากเขาเข้ามาสมทบทีมอาชญากรรมนครบาล
“บังเอิญจริงสารวัตร ผมกำลังจะคาบข่าวมาบอกคุณอยู่พอดีว่ามันไม่ใช่คดีฉ้อโกงธรรมดา”
ข้าพเจ้าสูดหายใจลึก ดูเหมือนคู่สนทนาตรงข้ามฝั่งคงเริ่มกระจ่าง พอจะจับประเด็นออกว่าความกลัดกลุ้มเหล่านั้นมิใช่จากใครอื่น
“เห็นที...เราจะต้องไปด้วยกัน” ชายอายุมากกว่าเผยไมตรีมาดมั่น ขณะถอยกายร่นไปทางด้านหลังเพื่อผายมือข้างถนัด อนุญาตให้ข้าพเจ้าแทรกตัวนั่งชิดริมหน้าต่างตามกฎที่เขาคงสร้างมโนทัศน์ไปเองในฐานะผู้มาเยือนหน้าใหม่ แม้ข้าพเจ้าจะด้อยขัยจากเขาถึงเจ็ดปี
หลังมือกรำแดดของข้าพเจ้าเพิ่งเคยอุ่นวาบด้วยความลำบากปนกระอ่วนใจเป็นหนแรก แดดเลือนไสวไกวใต้โขลงครามทึมเทา แผ่ขยายไกลสุดสายตา ข้าพเจ้าพยายามจะไม่เงยสบมันเป็นครั้งที่สอง หลังจ่ายเหรียญถุงเล็กและบอกแก่คนขับว่าไม่ต้องทอน เพราะอีกสองชั่วโมงข้างหน้าเขาจะต้องวนกลับมาอีกคราว
ชายกลางคนพยักคำขานด้วยการรูดลมลึกเสียทรวงยกผึ่ง ขณะคว้าก้อนหนักในมือข้าพเจ้าไปจากผู้เคยเป็นเจ้าของอย่างคนคร้านวิวาท
และเพราะเบื้องหน้าปลายขอบมนสีด้านใต้พื้นคอนกรีตคือเรือนตึกกร่อนอิฐแดง ข้าพเจ้าจึงเห็นชัดว่าฝ่ามือซีดเผือดของมร. อัชเชอร์เพิ่งคว้ากล่องบุหรี่สีเงินขึ้นเปิดอย่างตระหนี่เกินควร มันเป็นคราแรกของวันที่ข้าพเจ้าตระหนักลำพังว่าตั้งแต่ตนเคยใช้ชีวิตนอกสถานที่ ข้าพเจ้ายังมิเคยเห็นก้นกรองบุหรี่ผู้ใดจะเหือดแห้งและแคระเกร็นค่อนมวนเป็นผลึกตะกอนซ่อนอยู่ใต้ชายโค้ตชวนโสกังเช่นนั้นมาก่อน
“ไม่ยักรู้ว่าคุณอยากสูบเวลางาน” เขายื่นชี้เชิญ หมายให้ข้าพเจ้าเลิกหยั่งเชิงชั่งใจ หากแต่ข้าพเจ้าเลือกเบือนหน้ามองหัวกระไดชานพักตามเดิม
แม้ลึก ๆ ยังถวิลคราวแผ่นหลังพลั้งกรูดแนบบานหน้าต่างห้องสำรองแขกอย่างไม่ทันรู้สึก เมื่อต้องถ่วงยื้อสมาธิ เพราะข้าพเจ้าลืมตัวครั้งเผยอิริยาบถหลังฟังถ้อยไร้ยินร้ายจากคำกล่าวที่ว่า ‘คดีนี้คือเหยื่อรายใหม่’ ซึ่งยอมหลุดจากปากเขาโดยเร็ว ทำนองเรียบเฉยคล้ายทอตนสรรเสริญสะกดคร่าสำนึกข้าพเจ้าอยู่เนืองเนิ่นนั้น ยังไม่ปล่อยให้ข้าพเจ้าล่วงเป็นอิสระ หลังแรงวิ่งใต้เบาะนั่งสัญจรกระทบความแข็งรั้นจากขอบวงกรวด ซึ่งพร้อมจะกระเทือนความเป็นศัลยแพทย์มากความสามารถแผกพลั้งจากนามมร. อัชเชอร์ที่ข้าพเจ้าเคยรู้จักเมื่อครู่ เสียจนแสงพร่องผอมของแดดครึ้มสั่นไหว แล่นใต้แส่กำหนดเงาโคจรผละลอดเส้นอุโมงค์มืดที่ค่อย ๆ ทยอยเคลื่อนห่างสายตา ริมฝีปากคู่ตรงข้ามก็พลันเหยียดยกผ่านวลีส่อลับลม
ข้าพเจ้าทราบดีว่าเขาคงชอบใจเป็นกรณีพิเศษ หากข้าพเจ้าจมทุกข์ — หนทางนี้มีคดีปิดตายควรสาวเท้าถึงหมุดหมายเป็นการด่วนคอยท่าอยู่
“ก็รู้ดีนี่ว่าเวลาไหนเวลางาน”
ข้าพเจ้าสาวเท้าต่อ แม้ได้ยินเสียงพ่นลมแค่นขันตามหลัง แต่หาได้ใส่ใจ
เมื่อข้าพเจ้าและมร. อัชเชอร์มาถึงห้องพักตามคำร้องเรียน จ่ากริฟฟินจึงกวาดลากบานประตูให้ข้าพเจ้าทอดสายตาความชุลมุนด้านใน ขณะส่งมอบใบร่างเวชสูตรพฤติการณ์ซึ่งเหตุแห่งการตายให้ข้าพเจ้าล่วงเจตนา
เนื้อความทั้งหมดถูกบันทึกอย่างรวบรัดตามฉบับ ผ่านสายตาของศัลยแพทย์ข้างกายข้าพเจ้าที่ได้เข้ามาจับจองสถานการณ์นี้ก่อน ตามคำบัญชาการพร้อมหน่วยตระเวนเฉพาะหน้าเนื่องจากทีมสอบพยานเบื้องต้นติดธุระปล้นสะดม
ศัพท์สำนวนเรียงอักษรต้นและปลายผูกบรรทัดของพฤติการณ์ถ้วนความไว้อย่างสง่างาม คือประโยคลงความเห็นว่าบาดช้ำภายนอกเช่นใดควรจะส่งตรวจหลักฐานทางนิติพยาธิวิทยาสืบต่อ ข้าพเจ้าแลสัญลักษณ์ดอกจันทร์ถูกเขียนเหนืออักษรพิมพ์ใหญ่ยูซี (Undetermined Cause and Manner of Death) [2]
หากแต่ภาพรวมตรงหน้าข้าพเจ้า...
ความเป็นเอกลักษณ์ของมันช่างเหนือคาดจินตนาการเหลือเกิน
แพทย์ประจำทีมอาชญาเช่นเขาควรเคลื่อนปลายหนังสือทรงเอียงอันเป็นลายลักษณ์ประจำตัวของตนลงไปให้พ้องภาพเสมือนและชวนเสาะเค้นให้ยิ่งกว่านี้ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเขาเขียนมันก็เพื่อยั้งใจตัวเองเสียมากกว่า เพราะสิ่งที่สะท้อนม่านนัยน์ข้าพเจ้าอยู่ ณ เวลานี้คือพฤติกรรมอมนุษย์อย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเรือนกายผิดเบี้ยวซึ่งถูกฝังซุกให้ขดร่างไว้ใต้ผนังแตกกร่อนเนื่องรอยทุบร้าวพัง คล้ายอาการกระหายแค้นชนิดรุนแรงคราวต้องบดขยี้... ดังผุยผงที่ข้าพเจ้าเคยเห็นมันจนชินตา เมื่อเม็ดยาวงเล็กในมือถูกดูดลงช่องระบายน้ำคืนวาน — เป็นเช่นนั้นทุกค่ำ หากข้าพเจ้ายั้งความปวดได้ว่าอยากจะเลือกกลืนมันอีกหรือไม่ กระนั้น ข้าพเจ้าก็มิอยากทราบถึงเหตุสะเทือนขวัญใต้แรงกดดันของแพทย์หน้ามั่นผู้ใดอีกต่อไปอยู่ดี
พฤติกรรมนี้ส่อแววลักษณะการตายถึงฆาตกรรมยูดี (Unnatural Death) [3] เสียด้วยซ้ำ
เส้นผมเรียงยาวสีเข้มเงยช้อนเกยราบผิวคอนกรีต ความขลับเงาใต้ร่มปูนเปลือยนั้นแผ่อุบายให้พลตระเวนทุกนายที่กำลังก้มหน้าก้มตาวางลำดับเลขตามจริงบนรากเลื้อยรกของจุดพยานวัตถุ ทราบถึงเหตุแห่งวงกตใต้หัวคิ้วขมวดมุ่นของข้าพเจ้าที่จงใจเคร่งชัดดีว่าหล่อนเป็นหญิง — หล่อนผู้ทิ้งชีวิตแสนอาภัพกลางห้องหลังนี้ในฐานะผู้สูญวิญญาณและผู้ถูกพลัดพรากได้อย่างไร้ที่ติ
ข้าพเจ้าสูดลมล้นขณะคลายบางเบาจนอกหดยกแจ่มชัด พลางหันเอ่ย “คุณหมอทราบได้อย่างไรว่ามันสืบจำเพาะเหตุการณ์ฉับพลันหรืออาการเรื้อรัง ถึงได้ลงเอยแบบนี้”
นพ. อัชเชอร์สะบัดข้อมือ หลีกมวนเล็กคืนกล่องขังกลิ่นขมแปร่ง พลางกล่าวเสริม
ทั่วเรือนกายกลับมาปราศจากสิ่งข้องขุ่นซ้ำสอง แม้แต่เครื่องประดับใต้อาภรณ์เพียงชิ้นเดียวเขาก็หาได้สอดรับเข้าเกี่ยวให้พิจารณาเล่น ราวน้ำหนักพินอบพิเทาทั้งมวลคอยสับเปลี่ยนพฤติกรรมหนักอกคล้ายอยากรีดเค้นลมหายใจของข้าพเจ้าเหมือนเช่นทุกคราว ทุกสิ่งก่อตัวอีกหน บนใบหน้าเฉยเมยทำนองนั้น หลายครั้งหลายคราที่ข้าพเจ้าไม่เคยเข้าใจเขาได้หมดเปลือกเสียที
“เพราะแบบนั้นไงครับ ผมถึงต้องส่งเธอไปให้ทีมศัลยแพทย์ต่ออีกทอด ผมรับมือกับการผ่าศพติดกันซ้ำ ๆ ได้ แต่เห็นทีว่า...สายตากลางแจ้งของผมดูจะมัวอยู่หน่อย...อยู่มาก ผมถึงไม่ค่อยถนัดออกสนามเท่าไหร่นัก”
ความเล่านี้ยุแยงให้ข้าพเจ้าคะนึงถึงเลนส์แว่นสะท้อนดวงโคมเหนือกรอบหน้าเขา เมื่อสามเดือนก่อน หนที่นายแพทย์ผู้นี้ใช้เพ่งหนังสือพาดหัวข้อข่าวกลางสื่อพิมพ์ในร้านชา เพราะนอกจากเวลางานสารพันย่ำค่ำ ข้าพเจ้ายังมิเคยเห็นเขาสวมมันสักเทียวใด
ข้าพเจ้าอ้าปากหอบเอาความขุ่นมัวใต้ข้อนิ้วชี้บังดวงคู่ถนัดของตน ก่อนเอ่ยถาม
“คุณหมอสายตาสั้นหรือยา--” วกันแน่
ทว่าพลตระเวนผู้หนึ่งก็เข้ามาขัดสนทนา โพล่งกลางวง “สารวัตรฟลานเดอร์สครับ”
แม้ยังข้องใจอยู่มาก แต่ข้าพเจ้าก็ยินดีผละงานรับผิดชอบออกจากการปะทะความปรารถนาส่วนตัวของชายอายุมากกว่าตรงหน้า แกว่งส้นไปตามคำร้องเรียนของพลผู้น้อยใต้ถ้อยสงวนในบัญชาสั่งของจ่ากริฟฟินซึ่งถูกวานมาอีกชั้น ข้าพเจ้าย้อนปราดว่าเขาคงอายุน้อยโขเอาการเพราะยังไร้เส้นเขลาประสบการณ์ — หย่อมเตียนนั้น สิ้นเว้าเนินหงอกสั้นให้พินิจ แผกจากไรผมเหนือท้ายทอยของข้าพเจ้าที่มักหลุดโผล่เสียน่าขันขี้หน้า เรือนชุ่มรอยขลับบลอนด์สว่างอันสมส่วนนี้ คงมั่นเหมาะว่าเด็กผู้น้อยเช่นเขา- สามารถเด็ดเกี่ยวเงาหัวข้าพเจ้าได้หากต้องตา ไม่เพียงควรฝักเร้นหลุดวลีหรือสวมทับข้อกระทำ เขามีสิทธิ์เด็ดเดี่ยวด้วยตัวเองเพียงแต่น้อยคนนักจะกล้าหยิบมันออกมาประพฤติ ข้าพเจ้าทราบดี คงเหมือนเช่นที่ข้าพเจ้ามักประจบแสร้งต่อม่านนัยน์มร. อัชเชอร์และสารวัตรไบลธ์ ข้าพเจ้าหาได้ถือตัวพิเคราะห์ หากเขาอยากเด็ดทึ้งความวิปริตของปัจจัยอักเสบเกินพอดีให้พ้นจากหางตาข้าพเจ้า เพราะตามจริงแล้ว ข้าพเจ้าก็ชักหน่ายเม็ดเงินศักดินาเต็มทน
เราเตร่ชะงักยังมุมประตูที่เพิ่งก้าวเข้ามาค่อนสิบห้านาทีก่อนหน้า จากคำควบชื่อส่วนตัวหนึ่งเดียวของข้าพเจ้าจึงคะเนออกว่ามันคงเป็นงานราชการที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับแวดวงศัลยแพทย์อย่างแจ่มชัด มร. อัชเชอร์ถึงเลือกจะยุ่งอยู่กับแผ่นบันทึกร่องบาดสันนิษฐานรอบนอกมากกว่าควรทอดตามข้าพเจ้าโดยพลการ แม้นามของเขาจะถูกปั้นแต่งให้หลวมตัวอยู่ภายใต้ฝ่ายชี้คำปรึกษา และควรก้าวส้นปลายแหลมอย่างระมัดระวัง ไล่หลังพลสมัครที่อาสาชักกล่องกล้องขึ้นประคองรูม่านตาในระยะคะเนให้คงอยู่เพียงบริเวณยอบต่ำ อนึ่ง ผู้รับผิดชอบงานนั้นโดยพิเศษต้องนิ่งสนิทเหมือนสัตว์กินเนื้อที่ระแวงซุ่มฝีเท้าออกล่าเหยื่อ ยามชำเลืองมาตรห่างของเลนส์แคบด้วยการโอบกล่องทึบมืดแนบชิดกึ่งกลางลำตัวไปตามแนวขนาบของร่องรอยทุกชิ้นส่วนเพื่อถนอมซึ่งประวัติทางคดี
เดิมที เขาคงถนัดเพียงเหนี่ยวรั้งให้ข้าพเจ้าเฉลียวใจเมื่อเราเผชิญหน้ากันลำพัง เสียกว่าควรร่วมประคองงานใต้อาณัติที่คืบเชื่องจนน่ารำคาญ ข้าพเจ้านึกครุ่น
ในทางกลับกันข้าพเจ้าก็ส่อถึงพิรุธราง ๆ ว่าตนเห็นความขยาดเกินกว่าจะท้วงติงเหนือริมฝีปากเครือสั่นของชายผู้เข้าแจ้งประสงค์อื่นเบื้องหน้า ราวลมร้อนเป่ารดหลังคอเมื่อพื้นเพในอดีตล่วงรับเข้าเยือนพลบสลัว เสมือนสายตาเร้นลับกลางความทึบบอดของข้าพเจ้าจะทราบตำแหน่งสว่างเรืองของตัวตนของมร. อัชเชอร์เป็นอย่างดีว่าเขายังคืบกวาดสายตาสอดส่องข้าพเจ้าอยู่ไม่ไกล ยิ่งข้าพเจ้าอยากถอยห่างจากเขามากเท่าใด เรือนผมสุมหมวกปีกแคบล้วนพาลเกริ่นแทรก ชักจูงเงาลวง ตกระกำมาถึงเสียงพึมพำของพลตระเวนขณะกลั่นแถลง ราวกับความตระหนกรอบคอบของเขาคล้ายบ่วงแห่งห้วงหวิ่นเวิ้ง กระทั่งขาดสะบั้นฉับพลัน เมื่อข้าพเจ้าเริ่มยินบริบทแห้งหยาบใต้โคนลิ้นของพลผู้น้อยใคร่ย้ำทวนถาม
เพราะหากเลือกเหลียวมองกลับไป ความเป็นวิชาชีพของมร. อัชเชอร์ก็จะตอบคำถามที่ข้าพเจ้าไม่เคยใฝ่หาอยู่เสมอ... ผ่านม่านนัยน์สีแพรคู่สง่า แม้ไม่หนักแน่นพอจะใช้เป็นคำตอบแต่ข้าพเจ้ากลับเลือกให้มันอยู่เหนือข้อขบถเหล่านั้นเสียได้
“เจ้าของห้องเช่า— เธออยากคุยกับสารวัตรเป็นการส่วนตัวครับ”
และมันก็เป็นเช่นนั้น...
เมื่อบ่ายเลือนต้นหนาวพฤศจิกายนบรรจงปลิดลมอุ่นใต้ดวงอาทิตย์ ท่ามกลางเสียงฟ้าครืนครางแผ่ร่มเงาเฉดเดียวกันกับปลายเดือนพฤษภาคมให้เย็นยวบซึมฝังซี่โครง
แสงลอดบานหน้าต่างอันน้อยนิดแบ่งความเล่าที่ข้าพเจ้าพึงต้องผลัดรับสถานการณ์พิลึกอันพิสดารนี้ไปจากคำอ้างที่หญิงชราปั้นเหมาะคดี โดยหล่อนให้การว่าเธอ หรือ— มิสซิสมอร์แกน ผู้ตายที่ยังสาวสะพรั่งและคงซึ่งพรหมจรรย์นั้นแล มักนำความลับของฆาตกรมาสั่งสอนเธอทุกชั่วคืน — ระบุลงใบสำนวน คำถามซึ่งเลือกจะโน้มความแคลงใจออกจากกะโหลกตนเฉกข้าพเจ้าคงน่าเสแสร้งไม่ต่างจากอิริยาบถของศัลยแพทย์ใต้แววดวงข้าพเจ้า ที่กำลังเผยยิ้มหยามเหยียด คราร่วมสนทนาต่อข้อกังขาอื่นที่เธอเร้าต้อนอยากเจรจา เนื่องด้วยความฝันคืนวานที่ระบุโจทย์ผู้ตายได้ว่าเธอถูกฝังติดอยู่ใต้ความทนทรมานใดในตารางเมตรของเครื่องเรือนโสโครกเช่นนี้
และเท่าที่ข้าพเจ้าทราบ นั่นก็มิใช่เพียงภาพฝันต่างทรงจำของเธอผู้เดียว — แต่ยังหมายถึงผู้เช่ารายอื่น อื่น ๆ ทั้งก่อนหน้าและลับหลังที่ยังเฝ้ารอให้ข้าพเจ้าต้องเร่งซักทอดเพื่อรวมชิ้นงานพิสดารเข้าหนึ่งเดียวกัน เดียวกัน เป็นผู้ร้าย ผู้นั้น อีกด้วย
“คุณเห็นอะไรหรือเปล่า ผมหมายถึงช่องโหว่น่ะ” มร. อัชเชอร์กล่าวกันเอง สถานที่กรุ่นไอร้อนแสนคุ้นเคยของเขากลับกลายเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนข้อสรุปหลังเวลางานอย่างไม่อาจเลี่ยง แม้ความคาดหวังของเขาจะยังไม่ฝังแน่นวัฒนธรรมลงในความรู้สึกส่วนตัวของข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าก็ผละหนีมันได้เพียงเท่าจำเป็นร่ำไปเมื่อต้องเผชิญหน้ากับผ้าสำรองซับเหงื่อผืนเล็กคล้ายซีดจางลงทุก ๆ ครั้ง เพราะมันเริ่มหม่นชัดใต้ดวงโคมสกาวร่างคลุมเครือของเขา โลกก็อย่างนี้แหละ อย่างนี้แหละ น้ำเสียงผ่าซากของสารวัตรไบลธ์ทอทาบทรงจำข้าพเจ้าอีกหน เมื่อญาติของผู้เสียชีวิตไร้ประสงค์จะนำความกระจ่างมาแผ่ประจานหัวเมือง
พรุ่งนี้เช้าจะมีประชุมทีมพร้อมให้พลตระเวนนำหมายเรียกเข้ากระจายนัดสอบสวนพยานอีกสามราย ท้ายที่สุดแล้ว หากงานล่าช้าล่วงอายุความ ทางการคงต้องเร่งเจ้าหน้าที่ทีมสกอตแลนด์ยาร์ดเพื่อส่งนายตำรวจท้องที่เข้าประกบสักนาย
ข้าพเจ้าเลือกยกแก้วใบหนาปราดกลืนรสชา แทนจะตอบคำถามส่วนตัวจากเขา ที่เจ้าตัวมักสันทัดสร้างบทขยายมาเฉลยตามโอกาสอยู่เสมอ และมันก็เป็นดังที่ข้าพเจ้าพอจะทราบเจตนา เมื่อริมฝีปากคู่ตรงข้ามเผยอต่อท้าย เพราะความเงียบงันในตัวข้าพเจ้าคงทำให้เขาเผลอรังเกียจเต็มกลืน
“อายุของเหยื่อเป็นตัวบ่งชี้ชั้นดีว่าเรื่องราวใดกำลังถูกเล่า” แม้ถ้อยประโยคจะเรียบนิ่ง ทว่ากิริยาเอนแผ่นหลังหวนพิงขอบพนักไม้ของเขากลับดูหย่อนใจ ราวกับต้องการหยั่งเชิงให้ข้าพเจ้าเร่งฝีเท้าตามเพื่อที่ตนจะได้ผ่อนใจคราวต้องกลับไปชันสูตรภายใน ตราบเท่าที่เรายังเชื่อมจุดสันนิษฐานทั้งหมดอย่างไร้แววรอบคอบพอจะจบประเด็นน่าละอายนี้เร็ววัน — แจ่มชัด บนใบหน้าที่กำลังหยิ่งผยองว่าความปวดแล่นของวัตถุพยานมิเคยแตะเปื้อนกายให้เหนื่อยล้า
“ยอมแพ้...ผมรู้เพียงที่คุณระบุมันในรอยบาดนอกเท่านั้น จริงหรือไม่ล่ะคุณหมอ?”
“ผมสังเกตได้ว่ารูปแขวนในห้องเช่าของเธอดูจะบูชาความตายอยู่” เขารีบโพล่ง
“ภาพความตายและหญิงสาวของมารีแอนน์ สโตกส์เหนือโคมไฟน่ะหรือครับ”
ข้าพเจ้าท้วงทันควัน เพราะจำภาพวาดนั้นได้จากคราวกวาดตาอ่าน แม้จะเป็นการสวมรอยทับงานต้นฉบับจริงเพื่อใช้ประดับเรือนพักเฉพาะตามคำอ้างจากคุณนายโจนส์
มร. อัชเชอร์ส่ายหน้า หยิบผ้าเช็ดแว่นที่ซ่อนลึกถัดจากช่องโค้ตตัวในขึ้นประกบเลนส์ใสอีกคราว
ข้าพเจ้าตระหนักซ้ำถึงคำถามตงิดสิ่งคลุมเครือที่ตนขว้างมันหกเรี่ยพ้นริมฝีปากเมื่อเจ็ดชั่วโมงก่อน แต่ ณ เวลานี้ยังไม่สมควรพอให้แทรกเค้นความเดิมนัก โดยเฉพาะหน้าที่อันกระชั้นในเวลาอนุโลมนอกบทของเราเช่นนี้
“ภาพนั้น เป็นของผู้เช่ารายแรกทิ้งไว้ เขาเหมาะจะเป็นพยานสำคัญหนึ่งเดียวเพราะหลักฐานรัดกุม แต่คุณนายโจนส์กลับบอกว่ามิสซิสมอร์แกนครองสถานะโสดแต่แรก และเธอที่ปรากฏในฝันก็ดูจะแค้นคุณนายโจนส์อยู่มาก เรื่องที่หล่อนไม่ยอมทุบผนังนั้นโดยด่วน”
ข้าพเจ้าเล่าต่อ ยอมรามือออกจากหูเกี่ยว ขณะสบเลนส์สะท้อนเงาวาว “แล้วถ้าปะติดฝันของเธอที่เห็นว่าเส้นผมหล่นราพื้นซ้ำ ๆ ในบริเวณเดิมอย่างไม่ทราบเหตุก็ยิ่งพิลึกความ แต่หลังที่เธอเอาฝันนี้ไปเปรยเล่นกับผู้เช่า ทุกคนก็ลงความเห็นว่าฝันพ้องกันอย่างไร้หนสืบทราบว่ามีเส้นผมตกเรี่ยให้มองอยู่ในบริเวณเดิม ๆ เดียวกัน จนพวกเธอครวญระแวงว่ามันพิลึกเกินไป เพราะเมื่อตื่นขึ้น ทุกอย่างก็จะปรกติดี”
“เรื่องมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นนี่ครับสารวัตร” เขากล่าวต่อ
แม้บ่ายนี้มร. อัชเชอร์จะไม่ได้จมจ่อในวงสาธยายของทีมเพราะงานฉากหน้าเรียกตัวกะทันหัน เนื่องเหตุฉุกเฉินจากสถานีดูแลผู้ฟื้นฟู แต่แพทย์เฉพาะทางเช่นเขาก็มีสิทธิ์ทราบแหล่งมูลที่ข้าพเจ้าบันทึกมาจากสารวัตรไบลธ์
“หลังพวกเขาตื่น มันกลับเป็นการตื่นลวง และเมื่อรู้ว่าตนถูกลวงฝันพวกเขาจึงทราบว่ากำแพงนั้นกร่อนพังอย่างไม่ทราบสาเหตุ เพื่อพบว่ามันแตกกระดอนผงปูนออกจากอะไรบางอย่าง-- ที่ลี้ลับด้านใน พวกเขาถึงได้เห็นว่ามีใบหน้าที่ยังคงความเป็นมนุษย์เพราะมีดวงโตสีดำมืดนั้นกำลังจ้องตอบอยู่ กลับเป็นเวลานี้เสียเอง ที่พวกเขาสะดุ้งตื่นจริง และหลักฐานนี้ก็ค่อนข้างช่วยให้เราหลอมทราบดีว่าผู้เช่ารายอื่นเองก็มีฝันร่วมกัน จากปากคุณนายโจนส์ ก็จริง...ที่มันอาจดูเพ้อฝัน แต่เพราะความเพ้อฝันของมนุษย์หรอก เราถึงมีหวัง ผมคิดอย่างนี้ บางที...ผมอาจจะบ้าไปแล้วละมัง” มร. อัชเชอร์ถอนใจ แม้ดูเป็นความประหม่าอันพร่องมารยาทที่เขาไม่เคยแสดงออกบนโต๊ะอาหาร ทว่าข้าพเจ้ากลับเข้าใจมันจริงแท้
ราวกับฝ่ามือนั้นกำลังตบลงบนบ่าข้าพเจ้าบางเบา เสียกว่าจะเป็นการจรดนิ้วคล้องกรอบแว่นออกห่างสันจมูกและวางมันลงบนโต๊ะอย่างนิ่มนวลดังเห็น
“หากฮอว์กินไม่เข้าแจ้งความเรื่องเบี้ยวเงินจ้าง ผมคิดว่าเธอคงไม่มีวันปริปากบอกเราเรื่องคดี ดูเหมือนการโกงครั้งนี้จะนำความอาภัพใหญ่หลวงมาให้หญิงอย่างเธอซะจริง”
“นี่คุณ...เคยมีช่วงนึกหน่ายห้องตัวเองบ้างไหม”
ข้าพเจ้าลองไตร่ตรอง อาจเพราะชุดคำถามที่ไม่ทันพะวงว่าเขาจะเอ่ยหรือเพราะความสะระตะใต้ห้วงคิดที่ข้าพเจ้ายากจะอธิบายแก่เขาได้ เนื่องแววมาดเค้นล้วงถึงไหนต่อไหนในถ้อยเกริ่น คอยชี้นำให้ข้าพเจ้าวางใจจะกล่าว หากแต่ทุกอย่างท่ามกลางปีกเทวทูตผ่านสายตาคุ้นชินของข้าพเจ้ามีเพียงเครื่องเรือนยังชีพไม่กี่ชิ้น และส่วนมากก็เป็นเพียงก้อนฝุ่นไร้เศษมีชีวิต ข้าพเจ้าจึงหยุดห้วงคิด ครั้นถลำลึกอย่างคนโอดเวทนา
“...ก็มีครับ แต่ผมไม่มีเวลาพอจะแต่งมันเสียขั้นนั้น- หือ?”
ข้าพเจ้าชะงักกรามค้าง “อาชีพที่มีเวลาส่วนตัว...แบบนั้นหรือ...”
“ผู้ตายเลี้ยงชีพด้วยงานพี่เลี้ยง จริงอยู่ที่เธอคงมีเวลาวางเครื่องเรือนให้ถูกทิศถูกทาง แต่ผมเห็นแล้วว่าหน้างานชวนกระหายอยากเสียย่ำมืดอย่างเธอ คงกดให้หนังตาเลือกจะพักผ่อนมากกว่าจะตบแต่งมัน นอกจากนั้น คุณเห็นภาพวาดสีน้ำมันที่ลงท้ายชื่อเดียวกันว่าความตายและหญิงสาวอีกภาพหรือไม่ ของปีแยร์ ปูวีส์ เดอซาวานส์นั่นน่ะ”
“ในลิ้นชักน่ะหรือครับ”
เสียงขานนามขาประจำจากมิสซิสทรูเอ็ตต์กังวานขึ้นหลังบาร์ พาลให้เขาหลุดสบถสาบานอย่างคนแยกสมาธิไม่พ้นเงาหัว โอเคโอเค ผมได้ยินแจ่มแจ้ง
พักหลังนี้ หลังเกริ่นถ้อยสั่งมื้ออาหาร มร. อัชเชอร์มักปิดท้ายตามบริบทเช่นว่า ผมจัดการเอง เขาคงไม่ทันติงสันนิษฐานอีกว่าเรื่องหยุมหยิมประเภทนี้ จะจำกัดความคุ้นชินระหว่างมิสซิสทรูเอ็ตต์รวมเข้าเป็นบ่วงทำลายประโยชน์ของงานบริการไปอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อเธอเห็นว่าฉากหน้างานของเราไม่วุ่นเกินกว่าจะลุกมารับเครื่องดื่ม และพอเหลือทนกว่าสิ่งสารพันหลัง ซึ่งเชิดจูงเท้าท้วมสั้นหายลับครัวเมื่อต้องง่วนอยู่กับเตาแก๊สจนมือเป็นระวิง
มร. อัชเชอร์ยกฝ่ามือปรามมิให้ข้าพเจ้าต้องเดินไปรับดาร์จีลิงถ้วยโปรดแทนตน ก่อนจะผละออกไปพร้อมธนบัตรซ่อนใต้กระเป๋าเชิ้ตเหนือแผ่นอกที่ข้าพเจ้าอนุมานเองว่าเขาคงใช้ความอาวุโสมาขัดศรัทธาเหมือนเก่า
แม้ข้าพเจ้าจะมิเคยไถ่ย้อนเพราะทราบมาว่าเขาปฏิบัติเช่นนี้เป็นธรรมเนียมเมื่อถูกเลื่อนสถานะเข้ามาหนแรก สหายในทีมของข้าพเจ้าต่างก็ลงความเห็นว่าเขาคงอยากซื้ออายุใจผู้อื่นละมังเพราะตนมีหน้าที่เถรตรงกว่าหมู่เรา เพียงแต่ข้าพเจ้าไม่เห็นงามว่ามันควรเป็นดังนั้น เนื่องเพราะมร. อัชเชอร์มักกระทำโดยบริสุทธิ์ลับหลังเกินกว่าจะเฉลยข้อเท็จจริงของทุกสิ่งออกไปตรง ๆ บางที เขาอาจจะเป็นแค่คนใช้ความหวังในทางที่ชอบหรือไม่ก็ถนัดเรื่องยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวมากกว่า ข้าพเจ้าเล็งทราบเช่นนั้น ไม่ว่าใครจะคิดเห็นอย่างไร ในความรู้สึกข้าพเจ้า เราต่างก็คล้ายคลึงและแปลกแยกกันอยู่เนือง ๆ จนข้าพเจ้าหวั่นเกรงเขา
ฝ่ายแนะคำปรึกษาวางถ้วยขมวดควันเยื้องฝั่งข้าพเจ้า และมันก็ชักนำให้เลนส์ตื้นเรียวรีใต้กรอบสีเงินของเขาระบายฝ้าจาง ๆ แม้จะถูกวางไว้อย่างสงบเงียบเคียงฐานงุ้มอุ่นขโมงที่ดูราวพยายามกลัดร่างขมุกขมัว รังควานทรงกระจกขุ่น มันเหล่านั้นแสร้งอวดให้ข้าพเจ้ายั้งใจตนไม่พ้น เมื่อคิดไปว่าข้อสงสัยทั้งมวลคงก่อเริ่มเพราะเขาเป็นคนยากจะต่อกรกับความลำบาก— คงใช่— ใช่หรือไม่ ข้าพเจ้ามิอาจข้องวาจาเอ่ยได้เพราะเงาผ้าชิ้นนั้นปกคลุมท้ายทอยข้าพเจ้าอยู่ละมัง ผืนของมันเล็กสั้น กะทัดรัด และอ่อนย้วย แต่กลับกรังปอนเสียมัวหมองเกินกว่าจะเป็นขนถักอันประณีตใยสังเคราะห์นิ่มนวลพร้อมผัสสะลงบนกรอบหน้าเปื้อนไคลร้อน — มันอาจ— ถูกซักล้างมานับครั้งไม่ถ้วน หรือไม่เคยกันแน่ ข้าพเจ้าคิดว่าทั้งชีวิตมร. อัชเชอร์อาจชินชากับความเปลี่ยวดายพอ ๆ กับที่ความแข็งขื่นของมันคอยทิ่มแทงเปลือกตาและผิวชื้นข้างขมับอยู่ทุกชั่ววัน เช่นเดียวกับข้าพเจ้าที่มักคดคู้แข้งขาและลำแขนอยู่ข้างใต้แผ่นหลังบางกะหร่องของตนค่อนรัตติกาล แทนที่จะอวดสะพัดมัดกล้ามอย่างผ่าเผยเหมือนเช่นคำนำยศและลำคอที่มักเยินยื่นยามไกวส้นผายกะโหลกเยื้องบาธวิถี ซึ่งสวมทับหน้าที่ที่ข้าพเจ้าปรารถนามันจวนครึ่งชีวิต
“ภาพในลิ้นชักของเธอไม่ใช่ภาพฉบับสมบูรณ์แต่มันเป็นภาพร่างตัวอย่างก่อนที่เขาจะได้วาดมันจริงลงบนผืนผ้าต่างหาก หลังจากที่ผมลองถ้วนดู มันทำให้ผมย้อนความอวดรู้ไปถึงสมัยเคยเรียนงานวาดจากชิ้นประกอบของ The poor fisherman และ Hope มร. เบิร์ธหรืออาจารย์ผู้สอนตำราทฤษฎีเคยเล่าว่าทั้งเซอราท์และโกแก็งต่างก็ลอกเลียนงานนี้เพราะอยากเข้าใจความคิดอ่านของปูวีส์ กระทั่งผมได้มีโอกาสเช่นนั้นบ้าง เพราะช่วงกระชั้นก่อนจดหมายเรียกเข้าประจำสถานีปลายอายุปลดระวาง รอยแดงใต้ท้องแขนผมก็ดันกำเริบพิษผื่นสวัดจนต้องออกงานก่อนเกณฑ์ แถมไขข้อจากงานสาละวนของผมก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ ผมถึงได้อยากหางานที่ฝึกใช้ร่างกายแค่ท่อนบนไปก่อน ถึงได้รู้มาว่าภาพวาดน้ำมันส่วนใหญ่ของเขา คือการยอมจำนนต่อธรรมชาติและเปิดเผยอารมณ์หม่นเศร้าที่ผู้คนปิดซ่อนมันไม่มิด ไม่ว่าจะเป็นการประกอบอาชีพ ความรัก ความหวัง รวมถึงความตาย เรื่องราวในงานทุกชิ้นของปูวีส์ต่างก็เป็นวัตถุทางใจของเขาต่อความเชื่อที่เขาพบเจอในเส้นทางนี้ เพียงแต่ ภาพทั้งหมดของเขาในลิ้นชักมิสซิสมอร์แกน...ดูทีจะเป็นของเธอ— แต่มันลวงตา ผมว่ามันสะอาดเกินกว่าจะถูกซื้อมาจากร้านมือสองในละแวกเรือนผ่อนชำระ มันมีเจ้าของตัวจริง และเขาก็เป็นคนที่ทำให้เธอต้องตกอยู่ในสภาพ...นั้น”
“คุณหมายความว่าแท้ที่จริงแล้ว ภาพชาวประมงอาจหมายถึงผู้ร้าย และภาพความหวังที่เป็นรูปหญิงสาวในชุดเดรสขาวคือมิสซิสมอร์แกน ส่วนความตายและหญิงสาวที่เราพบกลับเป็นแค่จดหมายส่งท้ายถึงเธอเท่านั้นเองหรือ” ข้าพเจ้าชี้แจงตามภาพถ่ายของพยานวัตถุส่วนตัวที่มิสซิสมอร์แกนเก็บลายแช่แข็งตราบกาลซ่อนมิดใต้ลิ้นชัก
ความแนบเนียนของมันขณะนี้ คงพรากสันนิษฐานทันด่วนว่าฝีแปรงเลียนเครื่องพิมพ์เพียงไม่กี่ชิ้นในวลีสะท้อนอุบายของคุณหมออัชเชอร์ ยังสามารถแปลงสภาพเป็นจดหมายของผู้กระทำเสียกว่าจะค้านร่วมกันว่าเป็นงานอดิเรกส่วนตัวของเจ้าของห้องเช่าได้อย่างไร ข้าพเจ้ายากจะปักใจ แต่ก็ไร้เหตุค้าน เพราะแววทะลวงอ่านแสนช่ำชองผ่านกายเขยื้อนเชื่องเซาเช่นนั้น เขาถึงประเมินเรื่องสามัญคลึงสัญญะช่องว่างให้ข้าพเจ้าลองใช้ดวงตาสอดส่องปลายอุโมงค์ได้สะดวกกว่าใครอื่น
“ผมรู้ว่ามันงี่เง่า เราเชื่ออะไรมากไม่ได้ นอกจากฝันคนเป็น” ชาของเขาคงชืดหากข้าพเจ้ายังหาเรื่องพลั้งขัดไม่พบ หากแต่เขากลับกดทับแผ่นผ้าผืนเดิมลงมาอีกหน — เสียดแนบสัมผัสแข็งด้านบนท้ายทอยทื่อเย็นของข้าพเจ้าที่มิอาจดิ้นรนอย่างเชื่องช้า
“ตามความเข้าใจของคนอื่นมันคงสื่อถึงเลศนัยของความรักหรอก แต่สำหรับผม...ความรักของคนมันน่ากลัว มันกะทันหันและบังเอิญเหมาะเหมือนความฝัน เหมือน จนผมต้องออกแรงวิ่งไปให้ถึงอิสระ แต่ในโลกความจริง เราไม่มีวันตื่นขึ้นมาหรอกครับ ไม่ว่าจะฝันกลางวันหรือฝันกลางคืน...มันจะต้องมีใครสักคนที่หลับก่อนเสมอ เมล็ดพันธุ์ที่งดงามที่สุดในสวนมักถูกเคี่ยวตรำจนแหลกเล็กและเบ่งบานมาให้พอดีกับอุ้งมือสองข้าง เพื่อที่ใครต่อใครก็สามารถใช้แรงมุ่งมั่นเพียงพอกับการเก็บมันเข้าเป็นสิ่งดึงดูดใจและโน้มรับถึงความสำราญลำพัง สีหลากเฉดพันธุ์-- ล้วนถูกรังสรรค์มาเพื่อต้องตา ถึงขั้นชักจูงให้เชยชม และพระเจ้าจะเลือกเด็ดดมความสดใสนั้นไปเสวย บนโลกใบนี้ถึงได้เหลือแต่ความเน่าเปื่อย—ให้ผมรักษา ลีบแบน ร้าวฉาน ปริแตก งอกเงย แล้วก็จมดิน โลกคือเรา และเราก็ควรทำความเข้าใจโลกมากกว่าต้องเข้าใจตัวเอง ผมเข้าใจอย่างนั้น”
หลังสิ้นสุดคำตอบ ข้าพเจ้าจึงเลือกกลืนความหมายใต้สัญลักษณ์ทรงนูนต่ำของเงาแว่นแทนรสอุ่นสีคล้ำตรงหน้า คือรอยฝ้า...
ฝ้าขาว...
ที่บังเงาหัว
เงาตา
เงากาย
เงาแขน
เงานิ้ว
เงาตก– กระทบ
ข้าพเจ้าอาจเขวร่วง
ล่วงล้ำถึงตัวเขาเพราะเหตุนี้
เขาคงยากจะเข้าใจร่วมว่าผิวใต้โค้ตสามารถเย็นเยียบแม้หลบซุกกับความร้อนรุ่มของชิ้นผ้าได้อย่างไร ภายใต้ฝ่ามือซีดเผือดของข้าพเจ้าที่เพิ่งจรดแนบบนหลังมือของเขา อุณหภูมิบิดเพี้ยนของเขาคงเริ่มอุ่นอวลขึ้นมากะทันหันเมื่อข้าพเจ้าชักปลายนิ้วทั้งห้าออกจากความขื่นรั้นเสี้ยวห้วงวินาที อาการแปลกใจใต้กรอบหน้าคราวถูกเกี่ยวกุมก็ชวนพิพักพิพ่วน เหมือนรอยเปียกที่สุมทรวง เหมือนรสขมใต้โคนลิ้น เหมือนความปวดร้าวเหนือท้องน้อยยามยกเกร็ง ข้าพเจ้าอยากตรึงกายเหยียดแข้งขดชาทั้งสองข้างออกจากข้อพับเพื่อลืมตื่นกลางดึกบ้าง แม้จะเป็นเรื่องจริงดังคำกล่าวของเขา เสียต้องคายเสียงกระซิบของมารดาที่คอยคาดหวังว่าข้าพเจ้าจะหายขาดจากความเจ็บปวดเฉกเดียวกับใครอีก — สักวัน
“จดหมายหรือคะ” มิสแพตตี โจนส์ส่ายหน้า หลังยินข้อสันนิษฐานที่ข้าพเจ้าประพฤติทราบต่อคำรับรองของมร. อัชเชอร์คืนวาน เนื่องข้าพเจ้าเห็นตรงกับเขาว่างานวาดทั้งสามเหมาะสมต่อโจทย์ มากกว่าจะตามเงาพยานเอกอีกสามราย ฉากหน้าเช่นนั้นจึงถูกยกแก่ทีมสืบสวนชุดประจำเวรที่ข้าพเจ้าลงความเห็นว่าสมควรเช่นกัน
ดวงกลมโตสีวอลนัทคร่ำวอดกับสถานพราวแสงผ่านบานพับใต้ผืนม่านที่ตนเป็นเจ้าของ เธอกล่าวว่าที่นี่คือเขตปลอดบุรุษ บุหรี่ และบาปของผู้มืดบอด ดีจริง ทำไมถึงเป็นดังนั้นเล่า ไม่สนเงินร่ำรวยแล้วหรือครับ ข้าพเจ้าหวนคืนอย่างผู้ควานหาความกรุณาจะปรารถนาต่อเงื้อมมือคู่นั้น และก็ได้ทราบคำตอบในความกำราบจอมเคี่ยวซึ่งดูทีแล้วผิดมหันต์ ครั้นกล่องเสียงพร่าเลือนคอยกระแทกแรงทึนทึกสาวความต่อข้าพเจ้า ราวพิษร้ายของคนหนุ่มเป็นบ่อเกิดมาจากสองเท้าที่สวมกายใต้ชุดสุภาพบุรุษเช่นกันทั้งปวง
“ที่นี่ไม่อุปการะนกไร้ปีกจ้ะ” เธอว่า “และสามีที่เสียไปก่อนฉัน ก็เพราะฉันเป็นคนเด็ดปีกเขาเอง พอใจหรือยัง”
“ผมว่าเรากำลังผิดประเด็นกันอยู่นะครับมิสโจนส์” ข้าพเจ้าระบายยิ้มใจเย็น “คุณหม— ไม่สิ คู่คิดของผมบอกว่ามิสซิสมอร์แกนมีเวลาหลังเลิกงานเพียง ๔ ช่วงยาม [4] ก่อนรุ่งสาง ผมเกรงว่า...งานอดิเรกของเธอ คงพาลเสียเวลากวาดตาจ่าย มากกว่าจะมีคนยินมอบมันให้เธอนะครับ หากเป็นอย่างหลังดังเจตนาของเรา ผมว่าคงเข้าท่ากว่าทีเดียว ไม่ทราบว่าเธอไม่มีใครลอบตามเลยหรือไงครับ พักหลังมานี้”
“มิสเตอร์อัชเชอร์เป็นคนบอกคุณแบบนั้นเหรอคะ” เธอถามถึงเขา ขณะวางหูเกี่ยวกระเบื้องเคลือบพร่องนมอุ่นแนบแผ่นไม้ ข้าพเจ้านึกข้องใจเรื่องที่เธอเลือกเอ่ยชื่อคุณหมอแทนที่จะเป็นหลักฐานสำคัญของวัตถุแผ่นเปลือยล่อนทั้งสามฉบับตรงหน้า
“ครับ” เมื่อข้าพเจ้ายืนยันหนักแน่น อิริยาบถทุกข์ทมนั้นจึงดูคลับคล้ายความหยิ่งผยองดังสรรพนามที่สาม ซึ่งแขยงยาวใต้ห้วงจำมิมีผิด
เปลือกตาคู่ตรงข้ามกะพริบช้าลงอย่างคนปลงรอยวิตก
ริมฝีปากของข้าพเจ้าเริ่มแห้งผาก ไม่ทราบว่าเป็นเพราะน้ำลายเหนียวไร้เครื่องขบเคี้ยวให้ตกถึงท้องหรือหลอดอาหารประท้วงอ้างน้ำย่อยกันแน่
หนหนึ่ง ก่อนแดดแยงแผ่นกระเบื้องเป็นรอยผืนผ้าซึ่งบิดเงาขยายโครงจากเหล็กดัด ใต้แสงเยื้องทิศตะวันออก ลายคดเคี้ยวชวนพร่ามัวเลื้อยทอชิดวงกบบานกว้างระบายอากาศ หลังร่างสูงเพรียงมัดกล้ามใต้ผ้าคลุมไหล่อย่างจ่าสมิธระบายอักษรบันทึกคดีเรียกความเห็นจากเขาจนหมดจรด ก่อนถกปลายเท้าผุดลุกเนิบช้า มร. อัชเชอร์ในชุดลำลองเชิ้ตขาวทับด้วยกั๊กพรมถักแขนสั้น เคยหันเตือนข้าพเจ้าที่นั่งรออยู่ทางด้านหลัง
แรกที ดูคล้ายจะเป็นความเห็นต่าง แต่ข้าพเจ้าอ่านเดาออกว่าเขาคงอยากตำหนิกลาย ๆ ให้ข้าพเจ้าเลิกอดมื้ออาหารถ่วงเวลาหลังตื่นนอนเสีย ประสาทสัมผัสของเขาแบ่งเส้นวงสนทนาแว่วเพียงชั่วเดียวของข้าพเจ้ากับสารวัตรไบลธ์พ้นจากคำให้การส่วนตัวอย่างมิหล่นพร่อง จนข้าพเจ้าฉงนไม่น้อย เรื่องสมาธิอันน่าเหลือเชื่อทำนองนั้น
คนอายุมากกว่าเช่นเขาขอเลือกเตือนในฐานะแพทย์ ผ่านหัวข้อเดิมเมื่อเสี้ยวนาทีเรื่องเลี่ยงทานมื้อแรกและจัดแจงอารมณ์หิวด้วยของเหลว เพราะนอกจากสารอาหารจะกระตุ้นการทำงานของต่อมสำนึกแล้ว มันยังพรากโรคลำไส้กับหลอดเลือดในระยะยาวร่วมกัน เขาเน้นหนัก— อาจกำลัง— พยายามละมัง เมื่อหลุดท่าทีถึงประเด็นที่ว่ามันทำให้ประสิทธิภาพของจินตนาการหดสั้นลง แม้เล็กน้อย แต่ก็พร่องเอาการ หากอยากกระตุ้น ไขมันดีของถั่วเป็นสิ่งจำเป็น ข้าพเจ้าเพิกสบใบหน้าครึมขังราวสลักหม่นครามของเทวรูปไซคีเหมองกองเอกสาร คล้ายละอายแต่กลับหาความอาภัพนั้นไม่พบ
เขายุติบทบาทเพียงนั้น
เสียงกึงกังใต้ปลายส้นกระทบลายด่างสีเขรอะของกระเบื้องซึ่งมิเคยขัดเงา เขาเลือกเดินเฉียดโต๊ะสำรองนั่งข้าพเจ้า พลางค้อนต่ำมองสีหน้าผู้พ่ายภัยในความกระหายจะเปลืองแรงท่องวาทะศิลป์แต่เช้า ความว่า ข้าพเจ้าควรต้องงดใช้ฝิ่นระงับอาการกระวนกระวายทีละน้อย มิใช่หย่อนมันทิ้งทั้งแผงดังนั้น นายแพทย์นอกบทผู้ปรึกษาโคลงดวงเรียวต่ำประเดี๋ยว มองนิ้วที่กระตุกระริกข้างลำตัวข้าพเจ้าอยู่เนือง ๆ
ไม่รอช้า ข้าพเจ้าเลือกซุกมันแทรกกลับชายโค้ตทันควันก่อนใครจับสังเกต
ข้าพเจ้าพึงต้องประท้วงต่ออาการอันปราศจากสิ่งประหม่าว่าเขารู้ได้อย่างไร เพียงชั่วอึดใจ ข้าพเจ้าจึงสะท้อนมองว่ามันคงเป็นข้อจำกัดของสัญชาตญาณในวิชาชีพ เหมือนที่ข้าพเจ้าได้กลิ่นน้ำมันสนจากเนื้อผ้าของเขา หากแต่ความกล้าได้กล้าเสียครั้งชินก่อภัยศรัทธาจากตัวข้าพเจ้าในวันวาน ต่างก็บิดเบือนไป เพราะเขาเป็นแค่คนอายุมากที่ถนัดใช้มันในด้านการรักษาไขกระดูกผิดเบี้ยวเท่านั้น ข้าพเจ้าหาได้ต้องกระเดือกน้ำลายอึกใหญ่ลงคอซ้ำเล่า เพราะมร. อัชเชอร์ในบริบทแคบ ๆ ผ่านกิจวัตรส่วนตัวล้วนอารีพอจะช่วยให้ข้าพเจ้าได้หายมืดบอดเร็ววัน ทว่าบางที แสงสว่างฉาบฉวยจนแสบจ้าเดียวกัน ก็สามารถเป็นสิ่งปรารถนาดีเสียพาลเกี่ยวคนให้มืดบอดได้เหมือนกัน
เขาขบขันเยี่ยงสุภาพชน หลังรับฟังชุดรำลึกของข้าพเจ้าเพื่อถนอมมันเผื่อเป็นลางขบถโดยเนิ่น
กระนั้น คุณหมอยังอนุโลมแววรบเร้าข้อกระทำอื่นของเนื้องานเสริม ข้าพเจ้าจึงปรนวิธีปฏิบัติอย่างหยาบกระด้างต่อเขาอยู่บางเทียว หากตนเผลอล่วงกลายถึงเรื่องในอดีต ซึ่งก็มักจะถูกตลบหลังอีกทีด้วยแววอ่อนล้า เหมือนดังที่ข้าพเจ้าไม่เฉลียวใจพอจะให้ผ้าซับหยาดฝนแก่เขา กลางดึกที่พายุกระหน่ำซัดหนนั้น
ผมเสียใจมิสเตอร์ฟลานเดอร์ส— ไม่เชิง เรื่องที่คุณหมิ่นผมด้วยหางตาแบบนั้น ผมไม่รู้ว่าการที่คนคนนึงสำนึกต่อความตายจะมีหน้าตายังไง ในความเข้าใจ ผมถนัดรู้ชัด ก็ต่อเมื่อลมหายใจเฉกเดิมสงบนิ่ง หลังพรากนัยน์สีต่าง ๆ ไปแล้วจากร่าง นักต่อนัก ผมชำนาญเฉพาะโลกคนตาย แต่ผมก็ได้รู้ด้วยตัวเองอีกว่า...ดวงสั่นไหวใต้เรือนทึบสีโอหังคู่นั้นของคุณ ไม่กลัวเรื่องพรรค์นั้นเลย มือแบบนี้ฆ่าใครไม่ได้สารวัตร เขายกมือขึ้น รังดุมซึ่งเคยถูกกลัดอยู่เสมอใต้ข้อมือ ไหลเคลื่อนตามแรงถ่วงของรอยแกะ เผยให้เห็นอิสระที่แท้จริง ก่อนเนื้อผ้ากลางท่อนแขนจะกองรวมกันที่ข้อพับ ข้าพเจ้าจึงทราบข้อเท็จจริงอีกหนึ่งอย่างว่า อิริยาบถทะมัดทะแมงของกล้ามเนื้อทั้งหมดมิได้แน่นหนักเกินกว่าเนื้อผ้าหลอกตาเหล่านั้นเลย
บุรุษมารยาทงามในเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามงอนิ้วให้ข้าพเจ้าสังเกตข้อกระดูกโปนผิดรูปของนิ้วนางจนหนำใจ กระจ่างผ่านแสงโคมอันมีหน้าที่สุมประโยชน์เพียงสอดคล้องกระเพาะหิวโหย ท่ามกลางโต๊ะเลี้ยงฉลองแก่สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีให้ลองเพ่งจานเนื้อเรียกน้ำย่อยอย่างถี่ถ้วน ก่อนคุณหมออัชเชอร์จะเอ่ยเสริมอีกคราว การฆ่า...ต้องมีแรงจูงใจมากพอ เราควรด่วนเค้นมาตรการข้อนี้ เสียกว่าความสงสัยที่คุณมีต่อผมนะ สิ้นถ้อยปรารภ ข้าพเจ้าลอบมองเพียงนิดก็รู้ซึ้งได้ว่าเขาจงใจย้อนรอยเท้าใต้ห้วงจินตนาการของข้าพเจ้า มุ่งตรงไปที่บ้านพักคดีอุกฉกรรจ์โรงค้าไม้ด้วยทำนองราบเรียบแสนเย็นชา และยิ่งผนวกเข้ากับสิ่งบั่นทอนบางจุดในร่างกายของเขาแล้วนั้น ความเป็นมนุษย์ผ่านสายตาของศัลยแพทย์ชาญฉลาดผู้นี้คงย้ำชัยอย่างยินดี ที่ได้ลากข้าพเจ้าเข้าไปตกระกำด้วยน้ำเสียงสุขุมอีกครั้ง แม้เดิมที ทัศนียภาพมัวซัวตรงหน้าจะถูกควันอุ่นของเครื่องเทศใต้ถ้วยกระเบื้อง ขมวดริ้วกรองผ่านใบชาร่วมรับประทานมื้อค่ำหลังปิดคดีทุกประการอย่างบริบูรณ์พร้อม
เรื่องดนตรีที่คุณทราบจากการอุตสาหะสืบข้อมูลผม ก็ตามเดิมกับตัวผมที่เคยต้องห่างงานพหุแพทย์เนื่องรักษาตัวเท่านั้น ผมจะไม่มีวันหายดีเลยถ้าไม่ได้มิสเตอร์เบิร์ธช่วยไว้ เสียงเชลโลของเขาทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อสารวัตร ปราดเดียวนั้น ผมถึงรู้ทันทีว่าไอ้ตัวปัญหาของคุณ มันคงกำลังสนุกอยู่กับการปิดบังวันพิพากษาใต้เชือกเส้นนั้น
เขาหวนชื่นชมข้าพเจ้าที่ระแวงออกแต่แรกว่ามันคือการเบี่ยงประเด็นให้การสืบสวนเสียขบวน แต่ก็ผิดหวังที่ข้าพเจ้าต้องมาจบเนื้องานโดยพึ่งน้ำเสียงชืดชาของเขาอีกเทียว
การเลื่อยเป็นงานที่ช้าและต้องใช้ความชำนาญ มันต่างกับเหตุฆาตกรรมที่ต้องลงมืออย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เหยื่อรู้ตัว สารวัตร...คุณรู้ดีว่ามันมีแค่บาดแผลภายนอก แต่ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ และรอยฉกรรจ์ที่คอก็ชัดเจนว่ามันถูกกระทำหลังสิ้นลม การที่ใครสักคนต้องหวังพึ่งว่าแรงอาฆาตของตัวเองจะปราชัยสมบูรณ์แล้ว มันยังต้องพึ่งแรงจูงใจคอยยอกย้อนกลับคืน ไม่ใช่เพราะกฎข้อดังกล่าวทีเดียว แต่คงเพราะคนผู้นั้นไม่ทันคาดว่าตนจะลงมือสำเร็จ เลยต้องกลับมากระทำซ้ำเพื่อจะได้ไม่นิ่งนอนใจว่าผู้ตายยังรวยริน ฉะนั้น ความชำนาญในที่นี้ ก็ต้องเป็นความชำนาญของคนใกล้ตัวร่วมด้วย มันจึงเป็นปากแผลที่กระชากซ้ำเพราะไว้ใจ หากแต่ตามระเบียนผู้ตายไม่มีบุตรและคู่สมรส มันอาจโยงไปถึงคนงานและคู่แข่งได้ง่ายดาย แต่ประการเดียวที่เป็นไปได้จริง ก็คงมีแค่เรื่องชู้สาว ความไว้ใจจะเป็นใครไปได้นอกจากหญิงเคยร่วมหลับนอน ไม่ก็...บุตรนอกสมรส คราวแรกหรอกสารวัตร ผมคิดว่ามันเป็นการกระทำของผีห่าซาตาน ความเคียดแค้นที่ผมมองเห็น มันเกินคำว่าป่าเถื่อนเหลือเกิน แต่ผมยังเห็นว่ารอยบาดนั้นกระทั้นถึงโครง เพราะแรงล้มกระแทก สองเทียวของสะบัก คงไม่ถึงสิ้นลมก็จริง แต่เพราะรอยทะลวงถึงเนื้อเยื่อทั้งสี่ครั้งจึงทำให้เสียเลือดมาก แรงจะขัดขืนหลังจากนี้จึงปวกเปียกตามสภาพ เชือกเส้นนั้นถึงได้ดึงรั้งแค่รอยเดียวโดด ๆ ก็ปลิดร่างซะจนไม่ต้องแดดิ้น และการจะกระทำย้ำ ๆ เพื่อทวงสิทธิ์ว่าพรากลมหายใจดีแล้ว ก็ชี้ชัดอีกว่าผู้กระทำต้องเป็นคนร่างเล็กกว่าผู้ตาย ไม่ก็...เป็นหญิง เพราะหลักฐานกลางแผ่นหลังแต่แรกยังหมายถึงลงมือจากความเชื่อใจและไม่ไว้ใจในตัวเองอย่างเห็นได้ชัด งานต่อจากนี้ก็แค่ต้องสาวเรื่องในอดีตของเขาจากจนใกล้ตัว และมันง่ายขึ้นหลายเท่า เพราะเรารู้แล้วว่าผู้กระทำผิดชำนาญเครื่องสาย คุณทำดีมากแล้วที่ไม่วางใจพวกคนงานนั่นแต่แรก คุณทำให้ผมนึกถึงตัวเอง— เขาลดเสียงเกลือกกลั้วตัวอย่างถ่อมตน ตัวเองที่ยังเยาว์ เขาปิดท้ายดังนั้น ก่อนถอนกายลุกจากที่นั่งเพื่อขอตัวกลับก่อน เพราะพรุ่งนี้เช้ามีงานใหญ่จากสถานีกลางซึ่งส่งคนไข้จากฝั่งตะวันตกกลับมารออยู่หลายสิบชีวิต
สองเดือนให้หลัง หมายเฝ้าระวังพยานแวดล้อมระหว่างการจับกุมก็เริ่มเค้าชัดเจน และยังระบุชนิดของอาวุธที่ใช้เป็นชนวนสังหารได้ถึงสองอย่าง นั่นก็คือมีดทำครัวและค้อน
ชิ้นแรกเป็นค้อนที่ตกอยู่ในช่องหั่นฝืนของโรงเก็บไม้สำหรับส่งออก มันถูกแขวนตบตารวมกับขวานเล็กขนาดสันทัด ซึ่งเรียงหน้ากันอยู่อย่างปนปรกไร้ระเบียบข้างพลั่วเหล็กสำหรับถางหญ้า แม้คมลับของอาวุธจะถูกชำระรอยสีชาดทั้งหลายมาแล้วอย่างดี ทว่า รอยบิ่นของสันหว่างขนาดเล็กก็เป็นเงาสะท้อนสำคัญว่ามันผ่านการใช้งานจริงไม่นานมานี้ อีกทั้งยังค่อนข้างตรงตามทฤษฎีที่ว่าอาวุธชิ้นนี้อาจอยู่ในขั้นตอนตอกแขวนร่างผู้เสียหายให้แนบนิ่งคาขื่ออย่างเลือดเย็น
ส่วนมีดทำครัวเอง ก็ถูกขุดพบหลังค้นตรวจจนทั่วเรือนพักแล้วว่าไร้วัตถุพยานชิ้นเจ้าปัญหา หากแต่รอยแผลสองจุดบนร่างผู้ตายเป็นตัวบ่งชัดว่ามันมีอยู่จริง ข้าพเจ้าต้องคอยตอบสนองในข้อคะเนนี้ให้ลึกซึ้งกว่าเคย ครั้นลองทำตามคำแนะนำของคุณหมออัชเชอร์ เขาบอกให้ข้าพเจ้ากำหนดม่านจากจินตนาการ ดู...
ดูซี มองให้ชัดสารวัตร...ใต้ตั่ง เหนือเตียง ข้างโคม ปลอกนวม ซอกเรือนเนื้อแข็ง หากไม่ถูกเร้นคาของประกอบ มันก็ต้องปักหลักอยู่ในแอ่งไหนสักจุด เขาบอกให้ข้าพเจ้าหลับตา
แอ่ง
ไหน
สัก...จุด
ก้าวตามหยดเหลวหลังถูกชำระล้างจนหมดคราบ ว่าโลหะหนักสามารถแพ้ธาตุแหล่งใดได้อีก และข้าพเจ้าก็กระจ่างออกว่ามันคงถูกฝังอยู่ในโคลนตมใต้บ้านพักทางด้านหลัง เนื่องอากาศชุ่มชื้นของหยาดฝน สารอินทรียวัตถุจึงปนเปื้อนพยานวัตถุชิ้นหลัก แม้จะอยู่ไม่ไกลจากริมรั้วเท่าไหร่นัก ห่างทางเท้าออกไปประมาณสามร้อยเมตร
ตรงกันข้าม มันกลับสืบค้นง่ายขึ้นเพราะเมื่อเทียบปากแผลกับคมแหลมค่อนลึกกึ่งเสี้ยวสองจุด หมอกหนาบังทัศนีก็ค่อย ๆ อ่อนแรงต่อภาพปริศนาที่เริ่มครบถ้วนทีละน้อย และผู้ต้องสงสัยสองรายในข้อหาฆาตกรรมก็มีคุณลักษณะตรงตามข้อสันนิษฐานทุกอย่างของนายแพทย์อัชเชอร์ กล่าวคือ หนึ่ง เธอเป็นสาวใช้ที่เพิ่งเริ่มออกงานเรือน หลังถูกเรียกใช้บริการเพียงสองสัปดาห์และฮอปกินส์ก็หวังจะให้เธอมาเป็นภรรยา แต่เพราะมิสแฮริงตันแต่งงานแล้ว ข้อสรุปนี้จึงทำให้ผู้ถูกกระทำไม่พอใจจนเกิดการหึงหวง ประการถัดมา ผู้สมรู้ร่วมคิดก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล หากแต่เป็นสามีของหล่อนนั่นเองที่กระทำไป เพราะทราบมาว่าภรรยาของตนถูกข่มขู่เรื่องเงินเรียกมัดจำ มันคงเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะใช้แรงฝ่ายหญิงเพียงผู้เดียว เหตุอุกฉกรรจ์นั้นจึงเป็นการลอบสังหารอย่างมีเงื่อนงำ ที่ฮอปกินส์ขึ้นไปอยู่กลางโรงค้าไม้ได้โจ่งแจ้งเสียเช่นนั้น คงยากแย่หากผู้หลบหนีคำสารภาพลงแรงไปตามสภาพการณ์ที่ระบุแน่ว่าเป็นคนสัดส่วนเล็กกว่าผู้ตาย แต่เพราะเศษซากทุกชิ้นลงเอยว่ามันคือฝีมือของผู้เป็นสามีซึ่งประกอบอาชีพครูสอนดนตรี ทีมสืบสวนจึงตามหาคนที่เปลี่ยนสายโครเมียมอย่างดีในเมืองช่วงต้นเดือนก่อนได้ไม่ยากเย็น มิสเตอร์แฮริงตันไม่เพียงถนัดสอนเครื่องสีครั้นใช้ไส้ในสัตว์เหมือนวิธีบรรเลงอย่างผู้เล่นเครื่องสายทั่วไปจะตามหา หากแต่เป็นลวดพันเหล็กหุ้มด้วยโครเมียมพิเศษแทนอลูมิเนียม และมันก็เจาะจงในส่วนขาดหายผ่านรูปบันทึกอยู่มากโข โดยเฉพาะชายผู้ซึ่งตกเป็นเป้าสายตาของหน่วยตระเวนที่กบดานในแอนส์เพลสบนถนนบราวเดอรี สตรีท ห่างจุดสอนเพียง ๕๐๐ เมตร และยิ่งแตกย่อยเอกสารจำเพาะช่วงเวลาในอดีตขณะนั้น เรื่องกลิ่นโรซินที่ไม่ตกปนเปื้อน เพราะมันมิได้อยู่ในเนื้อผ้าของเขาแต่แรก เพียงแค่ถูกทำลายด้วยคมซี่อันโปรยละอองฉิวอยู่ในลิ่มแส้แห่งความทุกข์ [5] ของเลื่อยตัดไม้ ณ โรงค้า
ประเด็นสั้น ๆ นี้ยิ่งพวยเพิ่มความมั่นใจแก่ข้าพเจ้า เรื่องเขามิได้นำอุปกรณ์สอนติดตัวมาเยือนร้านคัดสรรเครื่องดนตรีร่วมด้วย จากการสอบปากคำผู้เป็นเจ้าของร้าน
เธอและเขาสารภาพหมดรูป ทั้งหัว-นอนลู่ปลาย-ท้าย อย่างที่หนังสือแนบท้ายในประกาศไม่เคยแย้งถึง เพื่อขวางกั้นอคติสืบสวนแก่วงการสื่อพิมพ์
ความไว้เนื้อเชื่อใจของมิสเตอร์แฮริงตันคงปรารถนาอย่างยิ่งว่าพวกเราทุกคนจะยังคงแฝงความเป็นผู้เป็นคนเหลืออยู่บ้าง มันสมควรตายใต้ฝ่ากระทืบคู่นี้ด้วยซ้ำ! รางวัล-ของผมก็แค่ฝังร่างมันให้สูงเหมือนชาเปล เขากล่าวรวดเดียว มอบนัยน์กระด้างเป็นรางวัลแด่รอยยิ้มทื่อตรงของมร. อัชเชอร์ที่ค่อนข้างหยาบแห้งครั้นกระตุกเรื่อกลางวงแสดง
ข้าพเจ้ามองเห็นคำว่าร่างร่างนั้นควรแหลมและเล็กยิ่ง เหมือนชาเปล รวมอยู่ในท่วงถ้อย แม้เขาจะมิได้เอ่ยมันออกมา คติชนทั้งหมดจากปากของเขาล้วนไร้จุดวรรคทอนผ่อนลมหายใจ กระนั้น มันช่างปราศจากวันดำเนินถึงเป้าหมายใต้ภูมิฐานสุมหมวกปีกแคบทาบกึ่งชุดเพียบระเบียบ — เราทุกคนในที่นี้แนบเบียดปลายเท้า คลอแก้มลดต่ำ เคลื่อนทิ้งสายตาจากปากกาด้ามถนัดของพนักงานสอบสวน ขณะถดแข้งย้อนนอกกรอบสะท้อนเคียงกิริยาควรเกี่ยวคติธรรม ข้าพเจ้าเล็งแสร้งว่าคณะลูกขุนอาจช่วยโน้มน้าวให้พวกเขาได้
คงได้อย่างแน่นอน
อย่างไรเสีย ท่ามกลางสิ่งชะล่าใจกระทั่งรูปคดีเลยเถิดถึงเพียงนี้ จวนค่อน ๖ เดือนครึ่ง ก็เป็นเหตุเฉลียวพอให้ข้าพเจ้าครวญครุ่นถึงความเห็น คราวต้องเผชิญตนต่อเนื้อแท้ของมร. อัชเชอร์ยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ ข้าพเจ้าไม่แน่ชัดว่าเขาจงใจปล่อยปละละเลยหรือเลือดเย็นเกินตัวกันแน่ ขณะเกลือกสับสัมปชัญญะฟั่นเฟืองของพยานแวดล้อมหลาย ๆ ฝ่ายเข้าหากัน แม้จำต้องเป็นเช่นนั้น ฉับพลันยังสำรวมท่าทีอย่างสงวนใต้อุ้งเล็บสัตว์จรผู้ก่อคดีอนาถาซึ่งมิสามารถยั้งทวนอารมณ์เดือดดาล ทั้งยังอนุญาติให้หมายอันห้วนสั้นและแข็งกร้าวในเวลาเดียวกันปรากฏต่อสิ่งอาจหาญเกินกว่าสันดานมนุษย์จะถูกไหวติงเป็นภาพปรุงแต่งเช่นนี้
เขาจะคิดว่าสิ่งสิ่งนี้
กำลังทดแทนความตายของหญิงผู้เป็นที่รัก
อย่างนั้น...บ้างไหม
เพียงไร ข้าพเจ้าอยากถามเขา — ทุก ๆ ชั่วคืน
เมื่อวัยเยาว์ของบาดแผลพิสดารคราวอักเสบยังทนโท่อยู่ในสายตา ทั้งที่เยือนถึงภัตตาคารตามหมุดนัดนอกเขตสัญจร เริ่มเสียแต่ภายนอกอาคาร ๑๐๙ ฝูงพลไพร่ คนเดินเท้า เสียงอึกทึกช่างจ้อ กลิ่นเกสรอวดโฉมกลัดผ้าข้างวัตถุสีทองแนบขอบกระโปรง บรรดาสาวงามรายล้อมโคมอุ่น ส้นตึกไขว่บังปลายโค้ตคละสุมดวงก้มระวัง ราวกับผู้คนมากหน้าต้องการจะเผื่อแผ่ให้มองเท่าใดก็เห็นสมควร ติดตรึงกลางแผ่นหลังของเชิ้ตสีสุภาพหลังพาดเสื้อคลุมฝากเหนือพนักไม้ พ่วงหมวกน้ำหนักเบาของข้าพเจ้าที่วางมันลงกับผ้าปูโต๊ะสีจืด เปลวไสวดวงน้อย ผลแพร์ที่มีรสหวานอมเปรี้ยวสบประสาน มันคงเริ่มจากวิมารบนดิน — ถึงสรวงสวรรค์ของเขา ข้าพเจ้าอยากตัดทอนความบากบั่นเกินตัวหนนี้ หลังปรารถนาต่อความคืบหน้าส่วนตัวว่าความภาคภูมิของเขาจะยังเป็นบทบาทดังคำกล่าวจริงหรือไม่
“คุณไม่เคยออกไปไหนเลยหรือไง” เขาถาม
“ผมจะต้องไปที่ไหนอีก นอกจากหาอะไรขบเคี้ยว บดกลืน แล้วก็เข้านอนทั้ง ๆ ที่มันยังไม่ย่อยดี”
คุณหมอสำรวจเนื้อตัวข้าพเจ้าราวอยากตะเบ็งเข่นขู่ แต่ก็หยัดยืนเรื่องสำนึกเกินควร
“ของพวกนั้นมันคงห้อมล้อมคุณจนขยับไม่ได้เสียละมัง เหมือนรังดุมใต้ข้อมือผม”
เขาวางมือข้างถนัดลงบนโต๊ะ มันมีตำหนิ แต่ข้าพเจ้ามองไม่ชัดนัก “ผมชอบนิสัยส่วนนี้ของคุณนะสารวัตร-- ส่วนที่อดทน” ปลายเล็บเคาะผ้าคลุมหนึ่งที “เหมือนชินกับการรองมือรองเท้าคนอื่นตลอดเวลา คุณไม่เคยถามผมด้วยซ้ำว่ามันพิการจนน่าแขยงได้ยังไง” เขาเจาะจง ข้าพเจ้าจึงสมควรถอนใจหน่ายอ่อน – จงใจและกอปรเป็นความพิพักพิพ่วนอยู่เสมอ
ความลังเลในแววอนุเคราะห์ยามข้าพเจ้ากริ่งเกรง ถูกกระทำซ้ำผ่านถ้อยแย้งขัดของมร. อัชเชอร์เอง คงเป็นดังทำนองที่จ่าสมิธสาธยายความเห็นให้ข้าพเจ้ารับฟังอย่างใจเย็นด้วยว่า ฝีมือแก้คดีหนแรก ซึ่งมิได้หลุดล่ออย่างใดแก่ทีมสืบสวน กระทั่งใจจืดเสียยอมปล่อยให้สักขีพยานปราสนาการแต่เนิ่น ก็คงหวังให้การยอมรับนั้นสามารถใช้ระบุตัวผู้ต้องหาที่ไม่ต้องการปฏิเสธหมายจับ และเชื่อว่าผู้ถือครองสิทธิ์จะลดโทษให้คดีป่าเถื่อนที่สะเดาะกลอนลั่นบันดาลโทสะของมนุษย์คนคนหนึ่งออกมาเสียหมดรูป หมดหน้าตักของแพทย์นิติเวชนอกสนามคงมิใช่ความศรัทธาในสิ่งอยุติธรรม แต่เพราะเขาเชื่อว่าความถูก-ผิดบนเส้นทางระหว่างเรากำลังอยู่ในมาตรวัดแบบใดต่างหาก ชายอายุมากกว่าข้าพเจ้า — มร. เพียร์ช เวลล์ อัชเชอร์ ตรงหน้านี้ จึงอยากผละมือโสมมออกนอกกายเพียงเหมาะแค่สั่งและสอนข้าพเจ้าเฉกเดียวกัน ในแบบที่ไม่ต้องเปลืองแรงนัก เขาหาได้เคยยั้งมือให้ข้าพเจ้าชั่งใจเจรจา
ข้าพเจ้ามองปราดเทียวพะวงเทียวคุกกรุ่นอย่างคนขี้ขลาด รู้ชัดว่าเขาจดจำข้าพเจ้าในแบบที่ข้าพเจ้าจะอาภัพรักและมัวเมาสิ่งลุ่มหลงครั้งเยาว์วัย— วัยอันวายป่วงยามออกอาละวาดเสียต้องจบที่สถานพยาบาลได้แต่แรก
เหมือนกับตำหนิของเขาที่ทำให้ข้าพเจ้ามืดบอด...
ความบอดมัวนี้เปรียบดั่งความโปร่งใส หากตรึกตรองผ่านประสาทสัมผัสให้ลองลิ้มรสชาติในแบบที่แสงสว่างมิเคยไถ่ถอนมันแก่ความทรมาน ข้าพเจ้าจึงทราบถึงส่วนที่แคบที่สุดบนปากแผล ซึ่งมันยังสามารถเป็นได้ทั้งอุบายแผลงฤทธิ์ให้ยำเกรง ไปจนถึงทุกข์ทน กำซาบกดกลั้นเจียนตาย — ตายเสียอย่างขรมเขลา ความตายนั้นแลที่จะสมานให้สิ่งมีชีวิตกะปลกกะเปลี้ยและสั่นไหวไปทั่วสรรพางค์กาย แล่นริ้วคาดถึงทรวงอก ก่อนกระจุกมวลเหลวไหลเวียนอยู่ในกล้ามเนื้อมัดเล็กใต้แววดวง คลอนสั่นพอ ๆ กับริมฝีปากเมื่อจำต้องยอมรับว่าตนคือใคร
“ทำไมครับ กลัวว่าผมจะเล่นพิเรนทร์อีกหรือไง” มร. อัชเชอร์ผ่อนคลายความตึงเครียดด้วยหางตาเรียวรีขณะวาดริ้วหยักกว้าง เสียริมฝีปากคราวละครฉากใหม่แทรกผ่านม่านเฉยเมย เปลื้องสีหน้ากะทันหันยามชิดรอบฟันเรียงระเบียบพาลกระตุกอารมณ์ฉุนเฉียว
เขาหยิบจดหมายที่ได้รับมาเมื่อวานออกจากช่องโค้ตเก็บถุงมือ ยื่นให้ข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าคลี่อ่าน เนื้อหามีดังนี้
เกลสส์เนอร์ที่รัก
ทุกอย่างกำลังเป็นไปได้ดี ฉันส่งจดหมายฉบับนี้ ก็เพื่อจะบอกเธอว่าไม่ต้องรอว่าฉันจะกลับไปเมื่อไหร่ เวสท์จะรับฉันไปอยู่ด้วยกันสัปดาห์หน้า เขาบอกว่าถ้าฉันไม่ไปเขาจะแจ้งข้อหาสมรสซ้อน เธอก็รู้ว่าฉันมาไกลเท่าไหร่แล้ว ฉันคงไม่มีทางกลับไป ขอให้เธอดูแลตัวเองให้ดี ฉันจะยังเป็นอดีตคู่หมั้นที่ไม่เอาไหนของเธอเหมือนเดิม ห่วงใยเสมอ
มอร์แกน
“ไม่ใช่ฝีมือผมหรอก คู่หูคุณน่ะเขาเก่งเรื่องเอาชนะเสียจริง พอทราบโทรเลขที่ติดต่อห้องพักคุณนายโจนส์ เขาก็สืบจนรู้ตำแหน่งว่าจดหมายฉบับนี้มีอยู่ที่ไหน”
“อันนี้เป็นแค่ลายมือคัดลอกน่ะหรือ” ข้าพเจ้าด่วนสรุป เนื่องชินกับอักษรลาดเอียงบนแผ่นชาร์ทที่เขาเคยส่งมันให้ข้าพเจ้าใคร่ครวญ พอจะเลือกพิมพ์คำชี้แจงยิบย่อยของใบชันสูตรบาดแผล และเมื่อเขาพยักหน้าเป็นคำตอบข้าพเจ้าจึงรีบแจงประเด็นอื่น “จริงอยู่ มันไม่ใช่ความรับผิดชอบผมแต่แรก— คดีนี้ ผมแค่เอี่ยวตัวไปเอง”
“เป็นลูกมือบ้างก็ไม่แย่นี่ครับ” มร. อัชเชอร์เอ่ย “คุณเข้าใจอะไร ๆ ได้ดีกว่าผมนะ” เขาเว้นทอน โน้มตัวลาต้นขาก่ายสับให้หยัดนิ่งเสมอกันทั้งสองฝั่ง ขณะเคาะตลับยาเส้นกับขอบโต๊ะที่พื้นล่างมีถังขยะก้นเว้ารองรับด้วยกระดาษชำระ
“คุณผ่านโลกมาทั้งสองทาง ทั้งความโหดร้ายที่บีบบังคับให้กลายเป็นผู้ร้าย หรือไม่ก็ความทุกข์แสนสาหัสที่โอบรัดให้อ้อมมาทางเลือกนี้อย่างเจาะจง”
ข้าพเจ้าเห็นว่าเขาปลิดเศษเถ้าออกหนึ่งหยิบมือ พอเหลือเขม่าก้นกรองเคืองตาเล็กน้อย ด้อยเพียงจะให้ค่าตลับสีเงินปลั่งเงาสะอ้านเฉกเนื้อผ้าราบเรียบสวมคลุมเนื้อตัว
“เชื่อผมเถอะ...ว่าเธอถูกวางยา” ข้าพเจ้าแย้งขึ้น ชูจดหมายฉบับใหม่ซึ่งถูกคัดลอกตามประเพณีด้วยลายมือของมร. อัชเชอร์-- ผู้ถนัดปลุกปั่นข้าพเจ้าด้วยท่าทีเย็นชาไร้เลือดเนื้อเหมือนสถานจำลองฆาตกรรมของลีแวนส์ ครั้งข้าพเจ้าเคยร่วมฝึกหัดที่อาคารสงเคราะห์ภายในห้องลับของตำรวจสายสืบเพื่อวิเคราะห์ร่องรอยหลักฐานทุกชิ้นอย่างมิขาดพร่อง ไม่เพียงแต่รอยกระเซ็น ร่องลึกตื้นหนาบางของยี่ห้อรองเท้า ตัวเลขของร้านซักรีดบนปกคอเสื้อ ลักษณะจัดวางของ ที่สามารถระบุลักษณะนิสัยส่วนตัวของผู้เสียหายได้ว่าเป็นคนเจ้าระเบียบเช่นไร กลิ่นเอง ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ผันแยกจากการอบรมบ่มเพาะใต้เนื้อสามานย์สติมาว่าไม่ควรเพิกวาง คราวนี้ ข้าพเจ้าแน่ชัดว่ามันคือกลิ่นกระเทียมที่ติดอยู่บนคราบมุมปากของมิสซิสมอร์แกน — ซึ่งเกิดเฉพาะกรณีสารหนูทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศหรือปฏิกิริยาทางเคมีของร่างกาย ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ข้าพเจ้าโพล่งจับอารมณ์หยามหมิ่นเคล้าสีหน้าออกทีเดียว ประหนึ่งวิชาชีพกำลังกลั่นกรองคลอพฤติกรรมระแวดระวัง เพื่ออยากทราบมาตรการนอกวิสัย แต่คนมากประสบการณ์กว่าเช่นเขาคงคะเนทันว่ามันมิได้ฉุกละหุกเพียงข้าพเจ้าลำพัง
เมื่อศักดิ์ศรีค้ำคอตามสถานการณ์ดังนั้นเขาจึงเลือกฟังอย่างสงบเงียบ แม้ขอบวิตกยังลอยคออยู่ในแววสีอ่อนเบื้องหน้า เขาคนนี้คงวางใจว่าข้าพเจ้าในอดีต กำลังก้มดมริมฝีปากของร่างไร้วิญญาณอย่างเอาเป็นเอาตายในสถานพยาบาลเพราะขาดทางเลือก ก่อนถึงวันครบกำหนดส่งร่างของเธอคืนแก่คนในครอบครัวสำหรับประกอบพิธีกรรมต่อ
แม้ตามจริง ครึ่งหนึ่งจะเกิดหลังกระชั้นชิด เพียงกรณีเคลื่อนย้ายร่างผู้เสียหายออกจากห้องเย็น คราวแรงลมหวนผ่านทิศใต้ล่างพยานวัตถุขณะข้าพเจ้าพินิจคราบแตกเศษปูนเหนือไรผม เสี้ยวระทวยสุมกองปุถุชนเหนือลำแขนแกร่งที่ยังอวลเบาบาง นั่นต่างหาก ที่กรุยทางเสริมให้ข้าพเจ้าตระหนักเท่าทันการณ์
“ผงแม่หม้าย [6] น่ะ...เป็นที่นิยมในหมู่ฆาตกรรม ผมทราบมาว่าประวัติรักษาโรคบิดและไข้ไทรอยด์เป็นเหมือนกิจวัตรที่เธอต้องเข้ารับการรักษา จากการสอบสวนผมสังเกตว่าการที่ครอบครัวของเธอปักใจจะเชื่อว่าทางการจะสามารถระบุตัวผู้ร้ายได้โดยไม่ชันสูตรภายในมันดูคล้ายกับพยายามปกปิดอะไรบางชิ้นอยู่-- ชิ้นสำคัญเทียวล่ะ และผมก็พอรู้ว่าจดหมายของคุณ อันนี้ ไม่ใช่ฉบับแก้ต่าง” ข้าพเจ้าพลิกมองจ่าหน้าซอง เชื่อว่าฉบับจริงคงติดแสตมป์ลายน้ำธรรมดาของท้องถิ่นมากกว่าจะเป็นดวงตราที่ระลึกที่เพิ่งวางจำหน่ายทั่วไป ซึ่งถูกจัดพิมพ์ทับคำว่า post office ตามโอกาสครบรอบของสำนักงานไปรษณีย์โดยเฉพาะ แต่กลับถ่วงดุลในทิศตรงกันข้ามผ่านข้ออนุโลมส่วนตัวของข้าพเจ้า เนื่องเพราะรายรับของเธอคงไม่เพียงพอถึงขั้นนั้น แม้การจะต้องเพิ่มอีกไม่กี่เพนนีก็คงรวบรัดเนื้อหาทั้งหมดก่อนระยะเวลาสืบสวนไม่นาน ทั้งที่บริบทรัก ๆ ใคร่ ๆ นั้นดูจะเป็นเรื่องด่วนอยู่ก็ตามที
ข้าพเจ้าทราบดีว่าฉบับในมือหนนี้ อุบัติจากทรงจำชั้นเลิศของมร. อัชเชอร์ที่สามารถจำเพาะมาได้แค่แบบจำลองที่ยังไม่มีตราสัญลักษณ์อื่นให้สังเกต ก็เพราะหลักฐานสำคัญยากจะถูกยกมาปัดแย้งสุ่มสี่สุ่มห้าได้ สิ่งที่ข้าพเจ้าควรกลับไปตรวจดูด้วยตาเนื้อของตนจึงแฝงแอบอยู่ในแฟ้มห้องเก็บพยานวัตถุแต่แรก ดังนั้น คำถามที่ข้าพเจ้าควรใส่ใจจึงยุติลง ก่อนเลือกแทนด้วยสมมุติฐานที่ยอมรับโดยปราศจากมายาคติว่าเขาวางใจจะรับฟัง
“มันอาจเป็นพยานวัตถุให้เราได้ว่าเธอได้รับสิ่งสิ่งนี้เป็นคำขู่จริง สามภาพนั้น”
ข้าพเจ้าเลือกกล่าวต่อ “มันทำให้ผมเข้าใจว่าเกลสส์เนอร์ที่รักคงไม่มีวันสารภาพตามหมายเรียก และก็เพราะเวสท์คือคู่ครองที่เธอไม่ได้เลือกเอง จริงไหมคุณหมอ”
เขายิ้มบาง ข้าพเจ้ายื่นจดหมายฉบับเดิมคืนสู่ผู้เรียบเรียงพลางพูดเสริม
“หนึ่งในนี้จะต้องมีประวัติโรคผิวหนังไม่ก็โรคปอด การรักษาระบบทางเดินหายใจทำนองนั้น พนันเลยว่าคงเป็นอย่างหลัง ถึงแม้สารตกค้างจะอยู่ในปริมาณที่น้อยเสียจับพิรุธได้ยาก แต่อาการของผู้ได้รับพิษนี้ยังสม่ำเสมอ จึงถือเป็นหลักฐานได้”
เขายื่นมือข้างถนัดให้ข้าพเจ้าฉวยคลอน
ตำหนิผ่าเผยบนข้อนิ้วถูกสวมบังใต้เงื้อมือด้านกรังของข้าพเจ้า แม้จะยังไม่มั่นใจพอต้องวิเคราะห์ว่ามันเป็นโรคที่ผ่าตัดบางตำแหน่งได้ยาก หรือเป็นเพียงแผลเป็นของโรคต้องสาปให้ทนปวดร้าวถาวรในสภาพนี้ เขาคงไม่ถอดใจง่าย ๆ เมื่อเห็นว่าฝ่ามือราบเรียบของข้าพเจ้าหายเป็นปลิดทิ้งตามชั้นเชิงของผู้เคยประมาท แม้จะยังผิดมหันต์ในสายตาอยู่ก็ตามที
“ยินดีที่ได้ร่วมงานครับมิสเตอร์นอร์เบิร์ต คุณโตขึ้นเยอะ...ผมเพิ่งจะนึกออก”
ข้าพเจ้าสั่นศีรษะโน้มรับ “โกหกบ่อย ๆ จะติดนิสัยนะครับ”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in