The Equator runs across these highlands"
- Karen Blixen -
Baroness Karen Christenze von Blixen-Finecke (นามปากกา Isak Dinesen) เธอเป็นนักเขียนชาวเดนมาร์ก เกิดวันที่ 17 เมษายน ปี 1885 ที่ Rungstedlund ทางตอนเหนือของกรุงโคเปนเฮเกน เธอเสียพ่อ Wilhelm Dinesen ไปเมื่อเธออายุ 10 ปี พ่อของเธอฆ่าตัวตาย เนื่องจากถูกวินัจฉัยว่าเป็นโรคซิฟิลิส และเกิดอาการกลัวว่าจะกลายเป็นคนวิกลจริตจากเชื้อซิฟิลิสขึ้นสมอง
พ่อของเธอมีอิทธิพลทางความคิดต่อการเป็นนักเขียนของเธอตั้งแต่ยังเป็นเด็ก พ่อของเธอเป็นนักเขียนชาวเดนมาร์ก มีผลงานชื่อว่า Letter from the Hunt และนอกจากอิทธิพลทางด้านการเขียนแล้ว พ่อของเธอยังมีอิทธิพลทางด้านความคิดอีกด้วย พ่อของเธอเลี้ยงดูลูกสาวแบบสวนทางกับการเลี้ยงดูลูกสาวในสมัยนั้นคือแทนที่จะเลี้ยงให้เป็นสุภาพสตรี แต่กลับพาเข้าป่าศึกษาธรรมชาติ สอนให้รู้จักพืชพรรณต่างๆ สังเกตุพฤติกรรมสัตว์ ให้เอาตัวรอดแบบเด็กผู้ชาย
หลังจากพ่อของเธอตาย คาเรนก็อาศัยอยู่กับแม่และศึกษาต่อที่โรงเรียนในโคเปนเฮเกน เมื่อเรียนจบคาเรนฝึกงานเขียนที่อ็อกฟอร์ด โดยเป็ยผู้ช่วยของคาร์ลาย นักเขียนชาวอังกฤษ
ปี 1913 คาเรนหมั้นกับ Bror von Blixen-Finecke เขาเดินทางมาที่แอฟริกาเพื่อหาซื้อที่ดินทำธุรกิจ ทั้งคู่เข้าพิธีสมรสกันหลังจากคาเรนเดินทางมายังแอฟริกาในปี 1914 ด้วยนิสัยรักการผจญภัยเธอจึงปรับตัวเข้ากับชีวิตที่แอฟริกาได้อย่างรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกันเธอก็ยังคงวิถีชีวิตแบบยุโรป แต่งกายด้วยเสื้อผ้าไม่แพงหรูแต่ดูดี สวมหมวกงามที่ไม่ต้องติดตามเทรนด์ ยังคงรักเสียงเพลง ศิลปะ และหนังสือ ในยามว่างเธอจับงานคิด งานเขียนและงานวาด
เธอได้ริเริ่มดำเนินกิจการไร่กาแฟบนที่ดินที่ซื้อหาไว้ใกล้ Nairobi ประเทศ Kenya โดยมีชาวเผ่า Kikuyu เป็นคนงาน
คาเรนรู้สึกชื่นชมชาวพื้นเมืองตั้งแต่วันแรกที่เธอมาถึง พวกเขามารวมตัวกันต้อนรับเธอทั้งในฐานะ
เจ้าสาวหมาดๆ และคุณผู้หญิง (จากการแต่งงานกับบรอร์ทำให้เธอได้เป็น Baroness)
ความสัมพันธ์ทั้งสองฝ่ายเจริญงอกงามมากกว่าการเป็นนายจ้างกับลูกจ้างทั่วไป เธอรู้สึกอบอุ่น
เหมือนกับว่าแอฟริกานี้คือบ้านของเธอ ที่มีวัฒนธรรมของชนเผ่าอันแตกต่างกันทั้ง Somali, Masai, Kikuyu เป็นตัวแทนภาพความหลากหลายของแอฟริกา
นอกจากนี้ พวกคนงานผิวดำเองก็ประทับใจ
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ชีวิตสมรสของคาเรนกับนายบรอ
"When I think of Bror --which, I must say, is rare--
it seems impossible to imagine a worse bastard."
คาเรนกลับมาแอฟริกาอีกครั้ง
สองปีต่อมา ชายผู้เป็นยอดรักที่แท้จริง
ในปี 1920 เขาต้องเดินทางออกจากแอฟริกาไปนานกว่า 1 ปีด้วยปัญหาสภาวะทางเศรษฐกิจที่ทำให้
เขาต้องขายฟาร์มที่นี่ไป
ปี 1921 คาเรนได้แยกกันอยู่จากสามี และดำเนินกิจการไร่กาแฟต่อไป ในขณะที่ บรอร์หันไปดำเนิน
ธุรกิจท่องซาฟารีมีผู้มาใช้บริการเป็นคนดังอย่างเช่น เออร์เนสท์ เฮมิงเวย์
เดนิสกลับมาอีกครั้งในปี 1922 และได้ลงทุนในบริษัทพัฒนาที่ดิน เขาสานต่อความสัมพันธ์อันงอกงามกับคาเรน มาเป็นแขกคนพิเศษของบ้านป่า ผู้นำความพึงใจมาสู่เธอทุกครั้งที่มาเยือน ทั้งสองมีความสนใจในศิลปะ หนังสือ ดนตรี เหมือนกัน แต่เมื่อถึงคราวท่องซาฟารี ทั้งสองก็พลิกบทเป็นนักท่องไพร กลางวันยิงปืน กลางคืนฟังโมสาร์ท
เดนิสคือชายหนุ่มที่มีคุณสมบัติเหมือนเป็นตัวแทนของบิดาที่เธอสนิทสนมในวัยเด็ก ในปีนี้เองที่คาเรนได้ตั้งครรภ์ครั้งแรกแต่ตกไป
ความสัมพันธ์ของเธอและเดนิสเริ่มบนพื้นฐานที่ต่างยอมรับในความเป็นอิสระของทั้งสองฝ่าย แต่
เมื่อเวลาผ่านไป เธอก็กลับกลายเป็นฝ่ายผูกพันเฝ้ารอคอยการมาถึงของเขา
เธอจะใช้เวลานานเป็นสัปดาห์เป็นเดือนในการตระเตรียมสรรพสิ่งเพื่อต้อนการกลับมาของเขา และ
เมื่อเขาจากไปเธอก็จะตกอยู่ในอาการซึมเศร้าอยู่นานนับสัปดาห์นับเดือน ดังที่เธอเขียนไว้ในจดหมายฉบับหนึ่งว่า
"to love the ground he walks upon, to be happy beyond words when he is here,
and to suffer worse than death many times when he leaves."
เดนิสย้ายเข้ามาอยู่กับคาเรนในปี 1924 ก่อนหน้าที่เธอจะหย่าขาดอย่างเป็นทางการจากสามีในเดือนมกราคม 1925
เดนิสได้เข้าเรียนการบินในปี 1929 แล้วซื้อเครื่องบินมาใช้ในฤดูร้อนปีต่อมา ซึ่งในสมัยนั้นการเรียน การมีเครื่องบิน ไม่ได้เป็นเรื่องยาก เขาประสบอุบัติเหตุขณะบินในอังกฤษจนต้องส่งซ่อมก่อนจะนำลงเรือกลับมา แล้วพาคาเรนขึ้นบินชมทัศนียภาพงดงามของแอฟริกาทางอากาศ
ทว่าช่วงเวลาแห่งความสุขนี้มีวันสิ้นสุด ในปีสุดท้ายของการใช้ชีวิตที่ไร่กาแฟ เธอจำต้องขายไร่กาแฟไปในขณะที่ความสัมพันธ์กับเดนิสก็เป็นไปไม่ค่อยดี คาเรนต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานใจ เพราะความสัมพันธ์กับเดนิสได้เกิดความร้าวฉานขึ้น แม้คาเรนจะพยายามเรียกร้องให้เดนิสเข้ามาช่วยเหลือเธอในยามที่เธอประสบปัญหา แต่เขาก็ได้เพียงแค่ให้คำปรึกษาแนะนำช่วยเหลือเท่านั้น อาจไปมาหาสู่เธอได้บ้างในการช่วยดูแลไร่กาแฟ และช่วยเรื่องชำระดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่ธนาคาร
ในเดือนพฤษภาคม 1931 เดนิสบินไปกระท่อมริมทะเลที่มอมบาซา แล้วบินกลับมาเพื่อมองหาโขลงช้างทางอากาศโดยมีคนรับใช้ร่วมโดยสาร หลังจากที่เครื่องบินของเขาทะยานขึ้นได้ไม่นาน เครื่องยนต์เกิดขัดข้อง ทั้งเดนิสและคนรับใช้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกไฟลุกไหม้
ร่างของเขาถูกนำกลับมาแล้วทำพิธีฝังไว้ที่เนินเขา Ngong ที่ซึ่งเขาเคยเอ่ยไว้ว่าปรารถนาจะอยู่ที่นี่
คาเรนซึ่งอยู่ในฐานะแม่หม้าย ไร้ทรัพย์สิน ไม่มีใคร ไม่เหลืออะไร ไม่มีเหตุใดให้อยู่ที่นี่ต่อไป เธอจึงจากแอฟริกากลับยังไปยังเดนมาร์กบ้านเกิดของเธอพร้อมความสูญเสียและพ่ายแพ้ยับเยินในทุกสิ่ง
บางทีการจบชีวิตของเดนิสก็อาจจะเป็นผลดีต่อคาเรนเพราะเธอจะได้จบสิ้นความหวังจากชายคนรักเสียที เพราะหากเค้ายังมีชีวิตอยู่คนที่จะทุกข์ทรมานใจมากที่สุดก็คือคาเรน หากเดนิสเป็นฝ่ายทิ้งเธอไป เธออาจจะเป็นฝ่ายที่ต้อง "ตาย" เพราะเธอต้องสูญเสียทั้ง "คนรัก" และ "แอฟริกา"
5 ปีหลังจากนั้นเรื่องราวที่บอกเล่าถึงความรักความผูกพันและความรู้สึกทั้งหมดถูกถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษรในชื่อเรื่อง "Out Of Africa"
ทั้งคาเรนและเดนิส ต่างเป็นศิลปิน นักคิด นักสนทนา และนักล่าผู้มีฝีมือ ทั้งสองคือคู่ที่เหมาะสมราวกับว่าต่างก็เกิดมาเพื่อกันและกัน เป็นคู่แท้ที่แม้อยู่ห่างกันแสนไกลแต่ก็ได้ข้ามมหาสมุทรเพื่อมาพบกันที่แอฟริกา
ทว่าสุดท้ายแล้วในความสัมพันธ์ที่เข้ากันได้ดีนั้น กลับปรากฏจุดขัดแย้งหรือจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้
สายสัมพันธ์นั้นแย่ลง
ไม่น่าแปลกใจอย่างใดเลยที่คาเรนจะตกหลุมรักเข้าอย่างจังในชายคนนี้ เดนิสผู้มีรูปงามสะดุดสายตา เข้มแข็ง ฉลาด กล้าหาญ เป็นสุภาพบุรุษ เป็นวีรบุรุษสงคราม รักอุปรากรและวรรณคดี เป็นผู้ที่ช่วยพาเธอผ่านช่วงเวลาทดท้อ จากชีวิตการแต่งงานที่ปราศจากความรัก ธุรกิจทำไร่ที่ไม่ประสบความสำเร็จ และซิฟิลิส เขาคือภาพในฝันที่เป็นจริงของพระเอกนายพรานผู้ปราบสิงห์ร้ายในกาฬทวีป มีตัวตนให้เธอได้สัมผัส ได้ฟังเขาท่องบทกลอนและสำราญสนทนาระหว่างการหยุดพักแรมระหว่างท่องซาฟารี เขาคือชายผู้พร้อมด้วยคุณสมบัติเท่าเทียบกับบิดาผู้เป็นที่รักของเธอ
เมื่อเขาเดินทางมาแอฟริกา ดินแดนนี้คือเวทีชีวิตที่ชาวยุโรปขึ้นมารับบทวีรบุรุษในอุดมคติ หรือเวทีสร้างฝันให้เป็นจริง สำหรับเดนิสแล้ว เป้าหมายหลักแห่งชีวิตของเขาได้รับการเติมเต็มที่นี่ ด้วยพื้นที่โล่งกว้างใหญ่ไพศาล การบินทะยานเหนือน่านฟ้า และผู้หญิงแบบโบฮีเมียน
ช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาไปปฏิบัติหน้าที่รับใช้ชาติ รอดชีวิตจากกองทัพเยอรมันและไข้จับสั่น
ที่สมรภูมิแอฟริกาตะวันออก หลังสงครามโลกสงบ สทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป ทรัพย์สมบัติของครอบครัวถดถอยลดน้อยลง เดนิสหันมาจับอาชีพพาบุคคลสำคัญ ร่ำรวยท่องซาฟารี ซึ่งรวมถึงบรรดานักธุรกิจอุตสาหกรรมชาวอเมริกัน
ช่วงเวลาทศวรรษที่ 20 นั้น เป็นยุคทองสั้นๆ ของอาณานิคมเคนย่า และเป็นช่วงเวลาแห่งความสัมพันธ์ของเดนิสและคาเรน ทั้งสองอ่านหนังสือ ดื่มด่ำบทเพลงของโมสาร์ทด้วยกัน ที่บ้านของเธอในยามเย็นหลังอาหาร เดนิสจะเอ่ยประโยคแรกเริ่มขึ้นมาแล้วให้เธอเล่าต่อเป็นเรื่องเป็นราว เป็นความบันเทิงอย่างหนึ่งของคนสองคนที่เป็นนักคิด นักอ่าน ในดินแดนห่างไกล ในยุคสมัยที่ไร้วิทยุ โทรทัศน์
บางครั้งเขาและเธอไปซาฟารี บางทีก็ไปปิคนิคใต้ฟากฟ้าแอฟริกา ในช่วงหลังบางเวลาเดนิสขับเครื่องบิน พาเธอท่องแอฟริกาทางอากาศ ภูมิทัศนียภาพรอบกายอันทรงพลังโอบทั้งสองไว้ด้วยกัน
ในช่วงแรกนั้นคาเรนจะคอยบอกกับตัวเองว่าความสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างไม่มีกฎเกณฑ์เงื่อนไขนี้เหมาะสมดีแล้วสำหรับเธอ ในที่สุด เดนิสผู้ไม่คิดจะหยุดพักพิงก็เลือกที่จะรักในแผ่นดินซึ่งเป็นตัวแทนของเสรีภาพมากกว่าเธอ
เขาเจ็บปวดกับการเปลี่ยนแปลงที่นำมาซึ่งความสูญเสียของแดนเถื่อน เมื่อมองมาจากเครื่องบินภาพฝูงสัตว์อพยพเบื้องล่างช่างน่าเป็นห่วง เดนิสทำการรณรงค์เพื่อมวลหมู่ชีวิตเหล่านั้นได้ผลสำเร็จ ทำให้มีการจัดตั้งเขตพิทักษ์รักษาพันธุ์สัตว์ป่าแถบแอฟริกาตะวันออก และมีการออกกฎห้ามล่าสัตว์จากยานพาหนะด้วย
แม้เขาจะเป็นคนที่ดำเนินชีวิตอย่างมีจุดหมาย แต่เขาไม่ยอมหยุดอยู่กับที่ สุดท้ายเขาก็ทิ้งคาเรนไปหาหญิงอื่นที่สาวกว่าและเป็นนักบินเหมือนกัน นามว่า Beryl Markham ในตอนที่คาเรนกำลังจะสูญเสียไร่กาแฟไป และไม่นานนักหลังจากนั้นเขาก็จากทุกๆคนไปด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตกด้วยวัย 44 ปี
แม้ว่าเดนิสจะเป็นผู้ทอดทิ้งทำให้คาเรนต้องเจ็บปวดผิดหวัง แต่สิ่งสุดท้ายที่เขาได้มอบให้เธอ หลังจากความตายคือ ความสำเร็จรุ่งโรจน์จากผลงาน Out of Africa ที่สร้างชื่อ จนได้รับการพิจารณาสำหรับรางวัลโนเบล
ทุกคนที่ได้พบเดนิสเป็นต้องชอบเขา หลายคนรักเขา แต่น้อยคนนักที่จะรู้จักเขาดี สุดท้ายแล้วไม่มีใคร สามารถเข้าใจเขาอย่างถ่องแท้ แม้แต่คนรักหรือคนศึกษาชีวประวัติของเขา
คาเรนเลือกร้อยกรองกรีกเป็นคำจารึกบนหลุมฝังศพ
"Though in death fire be mixed with my dust, yet care I not,
for with me now all is well."
เนื่องจากหนังสือ Out of Africa จากปลายปากกาของ Isak Dinesen (Karen Blixen) เป็นบันทึกเรื่องราวธรรมชาติ และผู้คนของแอฟริกาด้วยภาษางดงามดุจร้อยกรอง แต่ไม่ค่อยมีเนื้อเรื่องหรือเหตุการณ์ที่จะหยิบจับมาเล่าเป็นภาพยนตร์
ผู้กำกับและอำนวยการสร้าง Sydney Pollack และ คนเขียนบท Kurt Luedtke จึงต้องศึกษาข้อมูลและอาศัยเรื่องราวของคาเรนจากหนังสือชีวประวัติอีกสองเล่ม เพื่อนำมาใช้เขียนเป็นบทหนังเล่าเหตุการณ์เรื่องราวของเธอในแอฟริกาที่มีสีสัน เข้มข้นชวนติดตาม และเล่าถึงความรักที่มีทั้งสุขและเศร้าของเธอกับเดนิส โดยมีชีวิตของผู้คนทั้งผิวขาวและผิวสีในแอฟริกายุคอาณานิคมอังกฤษเป็นส่วนประกอบ
ในหนังสือเดนิสถูกกล่าวถึงในฐานะเพื่อนคนสำคัญ แต่ในหนังเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์อันลึกซึ้งยาวนานระหว่างคาเรนกับเดนิส โดยที่บทหนังได้เน้นจุดขัดแย้งแห่งความรักของทั้งสองอย่างชัดเจน
คาเรนแม้จะดูเป็นหญิงแกร่ง เข้มแข็ง พึ่งตนเองได้แต่ภายในเธอต้องการมีคนรักพักพิงมั่นคง ในขณะที่เดนิสไม่ยอมถูกผูกมัด ไม่ยอมให้ใครครอบครอง
บทหนังยังได้เน้นเรื่องความขัดแย้งระหว่าง การเป็นเจ้าของครอบครองแล้วต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงผู้คนพื้นเมืองให้ดีขึ้นของคาเรน ในขณะที่เดนิสคือผู้ที่เข้าใจและยอมรับในสภาพเดิมของพวกเขา
เดนิสบอกเธอว่า
"We're not owners here. We're just passing through."
จากนั้นจึงย้ำถึงการไม่อาจครอบครองและความสูญเสียทุกอย่างของคาเรน ตั้งแต่เหตุการณ์ฝนตกหนักน้ำท่วมไหลบ่าพัดเขื่อนกั้นน้ำที่เธอพยายามสร้างขึ้นพังทลาย ไฟไหม้อาคารโรงเรือนในไร่กาแฟ ห้องที่ว่างเปล่าหลังจากที่เธอขนบรรดาข้าวของเครื่องใช้ออกไปวางขายที่ลานหน้าบ้าน และเพื่อเพิ่มความเข้มข้นในอารมณ์ บทหนังเปลี่ยนให้บรอร์ อดีตสามีเป็นผู้นำข่าวการเสียชีวิตของเดนิส มาแจ้งแก่เธอซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนพื้นคนเดียว ในบ้านซึ่งว่างเปล่าไร้เฟอร์นิเจอร์ มีเพียงกองหนังสือและกล่องเก็บของรายล้อม ที่พิธีฝังศพเดนิส คาเรนได้กล่าวไว้อาลัยว่า
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in