เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
BLACK BOX is in the big box.pan.
BLACK BOX no.1: #เจ้าจี๋กลัวฝน
  • '' การไปกรุงเทพคนเดียวครั้งแรกมันจะยากสักแค่ไหนเชียว " 
    นี่คือสิ่งแรกที่คิดตอนที่วางแผนจะไปงานซ้อมรับปริญญาของเพื่อนที่กรุงเทพ 

    ท่ามกลางความมึนงงของเพื่อนว่า อีก 10 วันเอ็งจะสอบกลางภาคแล้วจะไปที่นั่นทำไม แผนการเดินทางและความกระตือรือร้นได้ถูกเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ ตั้งแต่การตามหาเหล่ามิวเซียมที่ใกล้บริเวณที่พัก วิธีการเดินทาง จนกระทั่ง 
    ไม่ไปแล้วแม่งเอ๊ย ขี้เกียจ ตังไม่มีแล้ว
    อารมณ์แบบนั้นก็มีเหมือนกันด้วยซ้ำ 
     แต่สรุปสุดท้ายสัปดาห์ก่อนเดินทางก็ตัดสินใจจองที่พักและตั๋วรถไปกรุงเทพอยู่ดี 

    วิธีที่ใช้เดินทางเลือกเอาแบบที่ง่ายที่สุดและถูกที่สุดเท่าที่จะทำได้ 
    รถตู้หน้าม. ได้รับเลือกเป็นตัวเลือกที่ดี แอบกลัวนิดหน่อยเพราะตอนจัดงบที่จะใช้ในการเดินทางนี้ เราไปหาข้อมูลในพันทิปมา เขาบอกว่า รถตู้สายนี้มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุสูงมาก แต่ไหนๆช่วงที่ไปก็เกิดระเบิดในเมืองหลวงอยู่แล้ว จะเสี่ยงก็เสี่ยงให้สุดแล้วกัน (วันก่อนออกเดินทาง ยังพูดกับเพื่อนอยู่ว่าถ้าเราเป็นอะไรไปจะวิดิโอคอลมานำเสนอจบโปรเจค) (คำเตือน:เป็นการตัดสินใจที่สิ้นคิดนะคะ อย่าตัดสินใจกันแบบนี้เลย)

    สารภาพว่าค่อนข้างหงุดหงิดกับการเดินทางขาไปมาก ช้ากว่ากำหนดการณ์เดิมประมาณชั่วโมงกว่าได้ ดีที่แจ้งไว้กับทางที่พักแล้วว่าเราจะขอเช็คอินช้าหน่อยนะ เพราะยังไงแผนแรกก็ต้องไปถึงที่พักช้ากว่าเวลาเช็คอินอยู่แล้ว คุณลุงคนขับรถใจดีมาก ไม่เคยคุยกันแต่รู้ว่าใจดี แอบเสียตรงที่ไม่คาดเข็มขัดแถมยังรับโทรศัพท์ตลอดทางนี้ล่ะ คนนั่งข้างๆใจมันหวิวนะคะคุณลุง

    ย่างแรกที่เหยียบพื้นของหมอชิต 2 ก็เหมือนเริ่มตันภารกิจใหม่ที่ชื่อว่า lost in mo chit 2 ทันที ไม่รู้ว่าการเดินตาม google map ยากหรือเราเป็นคนเด๋อแต่กำเนิดอยู่แล้วเอง เราใช้เวลากับการหาที่ขึ้นรถเมล์ประมาณ 10 นาทีได้ พอไปถึงป้ายรถเมล์ก็ต้องมาหาอีกว่าคันไหนที่จะไป BTS หมอชิต จำได้ว่าตืื่นเต้นมากเลยกับการขึ้นรถเมล์ ทักไลน์ไปกริ๊ดกร๊าดกับเพื่อนใหญ่ แอบตกใจนิดๆเพราะด้วยแดนพิดโลกหรือแดนลำปางมีแต่รถสองแถวที่ขึ้นบ่อย เวลาถึงที่หมายรถจะจอดเทียบริมทางตามปกติ รถเมล์กรุงเทพก็ริมนะ...ริมเลนขวา กลัวมากว่าถ้าถึงป้ายของเราเขาจะจอดแบบนี้หรือเปล่า แต่สุดท้ายรถก็เทียบสะพานลอยอย่างดี นับเป็นพระคุณมากจริงๆค่ะ เราชอบตอนขึ้นสะพานลอยไปบนสถานีมาก สถานีหมอชิตน่าจะเป็นสถานีหนึ่งที่คนเข้า-ออกเยอะ ทุกคนที่รอขึ้นไปบนชานชาลาต่อแถวกันเป็นระเบียบสุด เป็นอะไรของเราที่ชอบวัฒนธรรมแบบนี้ยกเว้นอยู่ช่วงตอนซื้อตั๋วที่มีคนมาแทรกแล้วมองเราแบบไม่รู้สึกอะไรเลย ส่วนเราก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆให้ไปแทน

    ปกติเวลาเราไปกรุงเทพเราจะเดินทางด้วยรถส่วนตัวกับที่บ้านซะส่วนใหญ่ BTS ครั้งสุดท้ายที่นั่งน่าจะตอนประมาณ ม.2-3 หรือประมาณ 5 ปีที่แล้ว ต้องขอบคุณประสบการณ์ตอนนั้นที่ทำให้ไม่เด๋อตอนขึ้นรถไฟฟ้าและขอบคุณ map อย่างยิ่งที่ทำให้เราเลือกซื้อตั๋วไปที่พักได้อย่างถูกต้อง เพราะตอนเราหาที่พัก เราปักจุดใน agoda ว่าสยาม ซึ่งในความเข้าใจของเราคือ BTS สยาม แต่จริงๆแล้วที่พักของเราต้องลง BTS ชิดลม เข้าใจคำว่าคนเยอะก็วันนี้นี่ล่ะ ช่วงใกล้สถานีเปลี่ยนสายคนขึ้นกันเยอะมาก เราที่แบกกระเป๋าใส่เสื้อผ้าขึ้นไปแทบอยากจะทำให้มันพึ่บเล็กลง จะได้ไม่ไปรบกวนคนอื่น (เพื่อนบอกว่าวันอื่นเยอะกว่านี่อีก จะเป็นลม) 

    Bed@Town เป็นตัวเลือกของเราในการพักผ่อน ด้วยความที่โฮลเทลนี้ใกล้BTSชิดลมแค่ 900 เมตร ติด CTW เหมาะกับการไปงานอีเวนท์วันต่อไป ใกล้กันมีท่าเรือ ราคาอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ รีวิวจากนักท่องเที่ยวอยู่ในคะแนนที่ดี และมีอาหารเช้าให้ เตียงที่เราได้เป็นเตียงล่าง ตรงข้ามกันมีเตียงที่มีแขกคนอื่นเข้าพักอยู่ เสียดายที่เราไม่กล้าพอที่จะเปิดบทสนทนาไม่อย่างนั้นเราอาจจะได้มีลองพูดคุยกับเขาดู สิ่งแรกที่ทำหลังจากเข้าห้องได้คือหอบเครื่องอาบน้ำเข้าห้องน้ำไปเลย เพราะว่าเหงือเยอะมากแล้วไปหอศิลป์ในสภาพแบบนี้คงจะเหนียวตัวแย่ แปลกใจอยู่อย่างที่ไม่มีสายชำระ คงเป็นเพราะโรงแรมรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นส่วนใหญ่และหองน้ำตรงนั้นเป็นห้องน้ำรวมหรือเปล่า นับเป็นโมเมนท์ที่น่าอึดอัดสำหรับเรานิดหน่อย ขอบคุณนวัฒกรรมที่เรียกว่า ทิชชูเปียกสำหรับเข้าห้องน้ำ เป็นอย่างสูงในเหตุการณ์นี้ 

    วิธีที่เราเลือกใช้ไปหอศิลป์คือ เรือ วันก่อนเดินทางเราเห็นพี่ที่รู้จักกันขึ้นเรือในสตอรี่ไอจีเลยอยากลองขึ้นบ้าง เห็นว่าจากที่พักไปหอศิลป์มีทางเรือ มากรุงเทพทั้งทีมีหรือที่เราจะไม่ลอง เกือบขึ้นผิดสายไปบางกะปิแล้ว ดีที่เดินกลับไปดูแผนที่แล้ววิ่งไปขึ้นอีกฝั่งทัน เคยนั่งเรือครั้งสุดท้ายน่าจะช่วงม.6 ไม่ก็ ปี 1 ที่เกาะเกร็ด ตอนนั้นลงจากเรือแล้วโคลงเคลงมาก เมาคลื่น แต่ครั้งนี้เรานั่งไปแค่ป้ายเดียว ไปลงสะพานหัวช้าง เลยไม่รู้สึกแย่อย่างที่คิด ทางที่จะออกจากท่าเรือน่ากลัวแบบสุดๆไปเลย จนถ้าให้เดินมาแถวนี้คนเดียวคงไม่กล้า 

    ตอนที่วางแผนเวลาว่างก่อนไปเจอเพื่อน หอศิลป์กรุงเทพเป็นที่แรกที่เราเปิดดูว่าช่วงนี้มีนิทรรศการอะไรบ้าง เราที่ปกติิแล้วชอบไปเดินอาร์ตแกลของที่ม.อยู่แล้ว พอมาเจองานที่สเกลใหญ่กว่านี้เคยดู เราตื่นเต้นมาก (แต่แอบเสียดายที่งานศิลปะบำบัดไม่ได้จัดช่วงที่เราไป อยากเจอคุณแหวนสักครั้ง;-;(คุณแหวน=นักเขียนจอยเรื่อง longtake ซึ่งเราชอบเรื่องนี้มาก ตามทวิตเขามาตลอดเลย ยิ่งประทับใจไปใหญ่ตอนที่คุณแหวนทำ #แหวนคูเวอร์ ทำเอาความอยากอยู่แคนาดาเพิ่มอีก) ตอนแรกที่ก้าวเข้าไปเราค่อนข้างงงเพราะชั้นแรกๆเป็นร้านค้าทั้งนั้นเลย กลัวว่าตัวเองเข้าผิดที่ผิดทางหรือเปล่า ภาพที่คิดคือทุกชั้นเป็นนิทรรศการ จริงๆมันแอบผิดจากที่จิตนาการไว้มากด้วยซ้ำ 



    ถึงอย่างนั้นหอศิลป์ก็ไม่ทำให้เราผิดหวังเพราะเมื่อก้าวเข้าไปสู่พื้นที่จัดแสดง เหมือนได้ก้าวไปอีกโลกหนึ่ง ช่วงที่เราไปกำลังมีการจัดนิทรรศการที่ชื่อว่า Figure of Unknown Beauty : นิทรรศการแห่งความงามนิรนาม ผลงานส่วนใหญ่เป็นการสร้างสรรค์จากศิลปินนอกกระแส เป็นคนที่ทำงานศิลปะทั่วไปอย่างเรา เราเพลินกับการอ่านมองดูภาพศิลปะและอ่านแนวคิดของเหล่าศิลปินมาก ที่ดูแล้วประทับใจมากที่สุดน่าจะเป็นผลงานของศิลปินชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่ง เมื่อก่อนเขาก็วาดลงบนผืนผ้าใบแต่มีีสาเหตุบางอย่างที่ทำให้เขาต้องมาระบายสีบนกล่องกระดาษด้วยสีเทียน มันทำให้เรากลับมามองตัวเองและยิ้มหวาน สารภาพว่าเราคิดว่าตัวเองโตมาเริ่มเป็นคนเยอะ ถ้าไม่มีอุปกรณ์อันนี้บางทีเราไม่ยอมวาดรูปเลยด้วยซ้ำ ทำให้ช่วงปี 2-3 เราเสียเงินไปกับเครื่องเขียนเยอะพอสมควร  และมีอีกจุดหนึ่งที่เราสนใจคือคลิปวิดิโอจากสามศิลปินชาวไทยที่จัดแสดงในที่นี้ 

    มีประโยคหนึ่งจากคลิปวิดิโอที่ฉายอยู่ปลายทางออกมีประโยคสองประโยคที่ค่อนข้างชอบและกระแทกใจเราพอสมควร คือ
    -art is good for my soul.
    -people will see the art that from soul.
    มีหลายครั้งที่เราวาดรูปแล้วรู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ตัวตนของเราเหมือนอย่างที่เคยเป็น บางครั้งเรารู้สึกสูญเสียความสุขไปกับการวาดรูปทั้งๆเมื่อก่อนสิ่งนี้คือทุกสิ่งของเรา หลายครั้งที่เราเลือกจะวาดรูปแล้วผลสุดท้ายคือเราฉีกผลงานของตัวเองด้วยมือตัวเอง ตลอดช่วงปีที่ไม่ได้แตะงานวาดเราค่อยๆกลับไปเป็นตัวเองอีกครั้งและกลายเป็นคนที่ว่างเปล่าทุกครั้งที่คิดว่าตัวเองมีแรงบันดาลใจแล้วทำไม่ได้ดั่งหวัง ประโยคและศิลปินในวิดิโอทำให้เรากลับมาถามตัวเองว่าตัวตนของเราที่เคยมีมันอยู่ตรงไหนกันแน่ ศิลปะที่เคยดีกับตัวเรา ที่ตอนนี้ไม่ดีกับเราแล้วเป็นเพราะใครกันแน่ บอกตามตรงว่าเคยโทษตัวเองหนักมากเพราะเรื่องนี้เลย หวังว่าสักวันการวาดภาพจะกลายมาเป็นความสุขของเราเหมือนเดิม 

    ต่อมาที่ชั้นต่อไป ก้าวเข้าสู้เขตแดนของงานภาพพิมพ์และงานวาดเส้นทั้งหลาย งานแสดงภาพพิมพ์และวาดเส้นนานาชาติ เป็นงานที่อยากไปมากตั้งแต่เห็นในทวิตเตอร์ช่วงเดือนพฤษภา ยังทวิตว่าอยากไปอยู่เลยช่วงนั้น และงานนี้คือเหตุผลหลักที่เราวางแผนจะไปหอศิลป์  แอบนึกเสียดายตัวเองที่ไม่เคยได้มาที่นี้ตั้งแต่การจัดแสดงงานนี้ครั้งแรกๆไม่งั้นคงเกิดแรงบันดาลใจในการทำงานหลายๆอย่างแน่ เผลอๆอาจจะได้ลองอะไรใหม่ๆด้วย การเดินดูผลงานในชั้นนี้ทำให้เราอยากลองถามและทำความเข้าใจกับแรงบันดาลใจในการสร้างผลงานมาก เสียดายอยู่อย่างเดียวคือเราไปไม่ทัน workshop เกือบจะได้ลองเล่นอะไรใหม่ๆแล้วเชียว

    เราเจอเป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้ช่วงเกือบหกโมงครึ่ง แอบตลกเหมือนกันกับการโทรศัพท์ตามหาคนที่อยู่ห่างจากเราไม่เกิน 100 เมตร อนิจจาคนสายตาสั้นจริงๆ 

    ต่าย(นามสมมติ)เป็นคนที่เรารู้จักกันผ่านคอมมูนิตี้ตั้งแต่ประมาณม.5 นับเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นที่ปรึกษา เป็นที่ระบายและเล่าเรื่องต่างๆได้อย่างสบายใจจนถึงทุกวันนี้ (แม้ตอนนี้เราจะอยู่ต่างด้อมกันสุดกู่ แต่เราสามารถหวีดไอดอลเกาหลีใส่พี่ได้และพี่สามารถหวีดตัวเอกในอนิเมะใส่เราได้เหมือนกัน) ตอนแรกเราวางแผนจะไปกินเจ้ศรี ที่จุฬาซอย 2 แต่เพิ่งมาเห็นว่าต้องเดินประมาณ 1.2 km จาก mbk เลยขอลาก่อนดีกว่า เป้าหมายต่อไปคือชั้น 7 ของmbk แหล่งรวมร้านอาหาร เราเดินเลือกกันสักพัก สุดท้ายก็จบด้วยการตามใจคนน้องด้วยชาบู การชวนคนใส่ทรงเอวันรุ่งขึ้นเป็นบาปก็จริงแต่ลูกชิ้นสอดใส่เนยของสุกี้ชินับว่าดีต่อใจมากๆ เพิ่งรู้ว่าในร้านมีชาไข่มุกให้กินนับว่ามีความสุขดี ยังไม่นับน้ำซุปดำที่อยากจะซื้อกลับมาทำสุกี้กินที่หออีก เป็นที่น่าแปลกใจเพราะตอนแรกเราคิดว่าบรรยากาศการเจอกันครั้งแรกมันจะอึดอัดหรือเปล่า แต่จริงๆไม่เลย คุยกันในไลน์อย่างไงคุยปกติก็อย่างนั้นไม่มีเปลี่ยน คงเพราะเรารู้จักกันจนถ้าแตกหักกันต้องทำสนธิสัญญาว่าด้วยเรื่องอย่าเอาเรื่องให้อดีตมาทำร้ายอีกฝ่ายเลยมั้ง

    ทั้งที่เป็นการเดินคุยที่ธรรมดาและมีเวลาที่จำกัดเพราะอีกฝ่ายก็เหนื่อยมาจากการทำงานทั้งวันแล้ว ไหนพรุ่งนี้ต้องพากันตื่นเช้าอีก แต่ถึงอย่างนั้นตลอดเวลาที่ได้คุยด้วยกันในมาบุญครองด้วยกันนับว่าคุ้มค่าสำหรับการเดินทางในครั้งนี้ในระดับหนึ่ง


    เช้าวันต่อมาเต็มไปด้วยความหงุดหงิด นับตั้งแต่ที่เรากลับที่พักตาสว่างก็จนถึงตอนเช้า ใครจะไปคิดว่าที่พักใกล้ถนนใหญ่มันจะเต็มไปด้วยเสียงของรถราช่วงเลยเที่ยงคืนไปแล้ว ยังไม่นับที่ฝั่งตรงข้ามเป็นสถานที่บันเทิงใจช่วงค่ำคืนที่มีเสียงทะเลาะแว่วมาอีก คนที่อยู่ในรังนอนที่มีเสียงรบกวนแค่เสียงจอดรถที่โรงอย่างเรานอนไม่ได้จริงๆ พนักงานโรงแรมคงจะตกใจเหมือนกันที่เห็นเราแต่งหน้าในห้องน้ำช่วงตื่นสีกว่า มื้อแรกของวันเป็นอเมริกาโน่ของ all cafe ใช้เวลาในการดูดดื่มไปตลอดทางไปสถานีรถลอยฟ้าท่ามกลางบรรยายเช้ามืดของกรุงเทพ ผู้คนเริ่มออกมาขึ้นรถกันแล้ว อนาคตช่วงเราไปฝึกงานเราก็คงเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นเหมือนกัน 

    มีเรื่องจะมาเล่าสู่กันฟัง ช่วงที่เรากำลังตามหาป้ายรถเมล์นั่งไปมหาลัยของเพื่อนมารถตุ๊กๆคันหนึ่งมาจอดเทียบ 
    คุณลุงตุ๊ก:/พูดอะไรสักอย่างที่เราฟังไม่ถนัด
    เรา:คะ?
    คุณลุงตุ๊ก:where are you going? Chatuchak market?
    ด้วยความที่เห็นลุงพูดภาษาอังกฤษ ใกล้ๆมีคนรอรถอยู่ด้วย เอาว่ะตอบอังกฤษไปเจ้า เอาพอได้แล้วกัน
    เรา:No I wanna go to Sampeng.
    คุณลุงตุ๊ก:Sampemg Market? /แล้วลุงก็พูดอะไรสักอย่างพร้อมชี้ไม้ชี้มือ/200 Baht 
    จุดนั้นเราคือ หือ? ไปสำเพ็ง 200 เลยหรอ ไม่น่าใช่แล้วมั้ง 
    เรา:really? It can't be.so expensive.
    คุณลุงตุ๊ก:80 Baht?
    เรา:My Thai friend told me that the cost to Sampeng is not more than 50 baht.
    คุณลุงตุ๊ก:60 60 
    เรา:Okay.Thank you but I will get a bus.
    คุณลุงตุ๊ก:60 60 
    เริ่มเห็นว่าลุงตื้อ เลยตัดสินใจพูดเป็นภาษาไทยไปดีกว่าว่า เราไม่เอาเราจะขึ้นเมล์ไป แต่ลุงก็ยังพูดภาษาอังกฤษให้เราขึ้นอีก สุดท้ายก็ได้แต่พูดThank you แล้วยิ้มให้จนคุณลุงตุ๊กขับออกไป 
    แต่ที่น่าตลกก็คือตอนแรกเราคิดว่าเราขึ้นรถฝั่งต้องข้ามไปขึ้นรถฝั๋งตรงข้ามของถนน กลายเป็นจริงๆแล้วเรารอรถผิดป้าย จนสุดท้ายก็ต้องนั่งรถแท็กซี่ไปอยู่ดีและได้เสีย 50 บาทสมใจ  

    เมื่อเหยียบพืื้นฝั่งตรงข้ามมหาวิทยาลัยของเพื่อนก็รับรู้ไได้ถึงบรรยากาศงานซ้อมรับปริญญาไม่ว่าจะร้านขายดอกไม้ ของแสดงความยินดี ผู้คนที่มากมายหรือเหล่าบัณฑิตที่เห็นชุดกันอย่างเรียบร้อย ไม่ว่ากี่ครั้งตั้งแต่วันนั้นเราก็รู้สึกดีใจและภูมิใจกับเพื่อนเราเสมอ เพราะเพื่อนเราพยายามอย่างหนักมากจริงๆกับการเรียนให้ได้เกียรตินิยมอันดับที่ 1และรักษาเกรดให้อยู่ในเกณฑ์ดีมากเสมอ ชื่อของเพื่อนที่ติดบนบอร์ดพร้อมกับคนขี้อวดที่พาเราไปดูยังเป็นจุดหนึ่งชอบของการเดินทางครั้งนี้ เราใช้เวลาอยู่จุดนั้นไม่นาน เพราะใจจริงเราอยากถ่ายรูปมากกว่าแต่กล้องฝึกหัดแบบเราไม่อาจจะสร้างแรงจูงใจให้บัณฑิตที่ใกล้จะเข้าซ้อมให้มาถ่ายรูปไม่ได้  เลยไม่มีอะไรเพิ่มเติมไปจากการพูดคุยเรื่องทั่วไปหรือการเดินทางของเพื่อนไปมหาลัยเราในปีหน้าช่วงที่เรารับปริญญา ฉากสุดท้ายก่อนจากกันจึงเป็นการสวมกอดกันตามที่ได้เคยบอกไว้ 



    ไม่ว่ากี่ครั้งการเดินทางในกรุงเทพก็ยากสำหรับคนขาจรอย่างเราเสมอ กว่าจะเดินไปและขึ้นรถที่ศาลเจ้าแม่ทับทิมได้เกือบหลงไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มื้อสายของวันเป็นอาหารของทางที่พัก เป็นแซนด์วิส แฮม มะละกอและน้ำส้ม อร่อยเลยทีเดียวล่ะเสียดายที่เรารู้สึกไม่ดีจากการนอนไม่หลับเลยไม่รู้สึกมีความสุขกับมื้ออาหารเท่าไหร่ 

    ก่อนออกจากที่พัก เราอาบน้ำ จัดเก็บกระเป๋าให้กระทัดรัดที่สุดเพื่อจะไปจุดหมายต่อไป 
    แต่ก่อนจะไปขออนุญาตตัดเข้าช่วงที่น่าสนใจ (บทสนทนาข้างล่างจำไม่ได้หมดนะแต่คร่าวๆประมาณนี้)
    ตอนเราไปเช็คเอาท์ออกจากที่พัก เราที่เดินไปปกติและพูดว่า
    'เช็คเอาท์ค่ะ'
    พี่พนักงานรับกุญแจของเราไป บอกให้พี่แม่บ้านเป็นภาษาไทยขึ้นไปดูว่าเราลืมของอะไรหรือเปล่าแล้วหันมาตอบกับเราว่า
    'wait a  minute.madam'
    ...จุดนั้นในหัวประมวลผลว่าควรยังไงต่อดี ควรตอบเขาไปเป็นภาษาไหนดี ตอนนั้นเลยทำได้เพียงพยักหน้าแล้วตอบ Okay เผื่อกันพี่เขาจะคิดว่าเอาเป็นชาวต่างชาติจริง สักพักพี่พนักงานก็เรียกเราด้วยคำว่า madam อีกครั้ง 
    'here you are /ยื่นเงินค่ามัดจำกุญแจให้/  Have a good time.Thank you' 
    ...ควรจะตอบดีไหมว่า พี่ขาเมื่่อคืนเรานอนไม่หลับเพราะเสียงอาบอบนวดทะเลาะกันเมื่อคืน
    'Thank you.Have a good day.'และนี่คือสื่งที่เราตอบกลับไป
    (จะว่าไป ตอนไปพักที่นี่นึกถึงจอยเรื่องหนึ่ง ชื่อ Estate ตอนของที่พักแอบหวังว่าจะเจอพนักงานเหมือนพี่เหมานะคะ หลงตายเลย)

    งาน C4th ของ conversation เป็นอะไรที่เราไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้าเลย ตารางนี้เกิดจากเราถามเข้าไปในigส่วนตัวและมีเพื่อนที่เคยประสานงานกันตอนไปสหเวชสัมพันธ์ชวนไป ด้วยความที่เราชอบพอร์ชมากเลยตัดสินใจทิ้งแผนที่จะกลับพิดโลกตอนบ่ายเป็นเดินไปCTWแทน การเดินไปเซนทรัลเวิร์ดของเราครั้งนี้ทำให้เราได้ทำตามสิ่งที่อยากอยู่อย่าง คือ การไปกินไอศกรีมของ guss damn good เราเคยเห็นชื่อมาจากจอยเรื่องหนึ่งที่เราชอบมาก (ผู้แต่งทำเพจแนะนำหนังสือในเฟสบุ๊คด้วยนะ we read this book แนะนำ) ตอนแรกว่าจะกิน Bon fire ตอนแรกจำได้ว่าเป็นรสคาราเมลไหม้ แต่ไม่คิดว่าจะไหม้ขนาดนี้จนเราคิดว่าผสมกาแฟลงไปหรอ ขมมากเลยล่ะ คุณพนักงานที่ guss damn good สาขา ctw น่ารักมากๆเลยนะ คอยแนะนำให้คนกินครั้งแรกแบบเรามากๆเลย สุดท้ายก็จบด้วย Toms และSummer Smile  

    Toms เป็นไอศกรีมรสวนิลลาแบบที่เรารัก แต่มีองค์ประกอบของเกลือมาตัดทำให้ได้รสหวานหอมแต่ไม่เลี่ยนเกินไป 
    Summer Smile เป็น Salted vanilla ที่มีคุ๊กกี้อยู่ในเนื้อไอศกรีม เราชอบรสนี้มาก รสชาติของคุ๊กกี้ในไอศกรีมเค็มอ่อนๆทำให้เรารู้สึกสดชื่นขึ้นมาจากอาการหงุดหงิดตั้งแต่เช้า ไหนจะเนื้อไอศกรีมสีฟ้าที่แทรกด้วยสีน้ำตาลของคุ๊กกี้อีก
    นับเป็นอย่างหนึ่งที่สร้างความสุขให้เราเลยก็ได้ เสียดายที่ซื้อแบบกระปุกกลับมาที่พิดโลกไม่ได้ ตอนไปฝึกงานจะพยายามประหยัดค่าข้าวอย่างอื่นเพื่อนั่งมากินให้ได้จนครบเลย 



    สารภาพจากใจว่านอกจากพี่พอร์ชแล้วเราไม่รู้จักใครเลยใน conversation และนี่เป็นงานของ conversation ครั้งแรกที่ไป หลายๆครั้งเราได้มีโอกาสเรื่องวัฒนธรรมแฟนด้อมในไทย ทำให้เราว้าวในวัฒนธรรมบางอย่างและอย่างนี้ทำให้เราเห็นเป็นแบบนั้นจริงๆ ช่วงก่อนเปิดให้เข้าไปชมงานมีกิจกรรมของทางสปอนเซอร์ กิจกรรมสนับสนุนกิจกรรมกอดบ้าง(งานนี้มีกิจกรรมกอดด้วยนะ เราเกือบไปซื้อแล้วแต่ตอนแรกเห็นว่างานมีถึง 2 ทุ่มเรากลัวกลับมาพิดโลกไม่ทันเลยไม่ได้ซื้อ แต่ถ้าซื้อได้หัวใจวายเพราะกอดพอร์ชแน่เลย;-;) เป็นเวลาเกือบ2-3ชั่วโมงได้ที่นั่ง เดิน คุยเล่นบริเวณงาน สิ่งที่เราแอบหงุดหงิดใหญ่ๆมีอยู่ 2 เรื่อง คือ เวลาเปิดประตูที่ช้ากว่ากำหนดประมาณชั่วโมง และการตรวจกระเป๋าก่อนเข้างาน จริงๆมันเป็นสิ่งที่ควรทำล่ะ แต่เราที่แบกกระเป๋าเสื้อผ้าไปงานด้วยมันค่อนข้างรู้สึกไม่ดีที่จะเปิดให้ใครดูและบริเวณนั้นไม่สามารถฝากกระเป๋าได้เลย ทำให้ตอนกลับมาเรามาอาการปวดกล้ามบริเวณหลังและไหล่มาก  แอบเหวี่ยงพี่พนักงานตรวจกระเป๋าตอนที่เปิดกระเป๋าให้ดูด้วยคำว่า 'ก็กระเป๋าเสื้อผ้าอะค่ะพี่' รู้สึกเสียใจนิดๆ 

    ขอบคุณที่เพื่อนรั้งตัวไว้เพราะระหว่างที่รอประตูเปิดเราเกือบจะถอดใจแล้วขอตัวกลับแล้ว ดีที่เพื่อนบอกให้คิดถึงหน้าพอร์ชไว้ เป็นวิธีสงบจิตใจทียอดเยี่ยมมากจริงๆเพราะเราอยู่จนถึงตอนประตูเปิด และไม่เสียใจเลยที่อยู่รอเพราะโชว์จากเหล่า conversation ดีมากสุด เราชอบที่เขาแบ่งเป็นทีมให้ตรงกับคาแรคเตอร์ของแต่ละคน ขออภัยที่จะไม่ได้จริงๆและขออนุญาตโฟกัสแต่ของทีมของพอร์ชและอีกทีม ความรู้สึกตอนนั้นคือเราเปลี่ยนสปีดชัตเตอร์ให้น้อยกว่าเดิมและปรับรูรับแสงให้เพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้เก็บภาพของพอร์ชได้ครบ จำได้ว่าเรากดชัตเตอร์รัวมาก(แต่ได้ภาพที่ค่อนข้างทำร้ายเยอะมากจริงๆ) พอร์ชเต้นบนเวทีได้น่ารักมาก เราที่นั่งดูให้อารมณ์เหมือนไปงานโรงเรียนแล้วลูกได้ขึ้น พูดคำว่าพอร์ชน่ารักมากไม่หยุดเลย แต่ก็เพราะพอร์ชน่ารักมากจริงๆอะแหละไม่งั้นไม่พูดหรอก

    **กระต่ายกระโดดดึ๊ง
    ***เนี่ย ต้าวคนน่ารัก ;-; ***

    ยอมรับว่าเด็กสังกัดนี้ตกคนเก่งมากๆ ส่วนตัวเราติดตามมิวซ์ บอสและกรในigอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะดึงสายตาเราเก่ง โดยเฉพาะมิวซ์กับกร เป็นสองคนที่ิยิ้มได้น่ารักมากจริงๆ เราชอบยิ้มหนวดแมวของมิวซ์และยิ้มตัวแสบของกรมาก แต่อีกคนที่คิดไม่ถึงว่าจะดึงความสนใจของเราไปได้เลยคือ มาร์ค เพราะตั้งแต่หมดสเตจ adorable ไป ทีมคนฮอตก็ขึ้นมาต่อ ตอนแรกเราสงสัยว่ามาร์คฮอตยังไงเราไม่เก็ทในส่วนนั้นแต่พอเห็นสเน่ห์ของเขาบนเวที โอเคเราเข้าใจแล้วว่าทำไมคนถึงชอบเขามากขนาดนี้ มาร์คเป็นคนหนึ่งที่คาริสม่าสูงมาก ตอนที่ขึ้นสเตจ That's what i like ทีมคนฮอตทำให้สเตจไฟลุกฟึ่บ ยังไม่นับตอนทที่ขึ้นเล่นกีต้าร์บนเวทีอีก พระเอกนิยามรักสักเรื่องน่าจะมีเขาเป็นอิมเมจบ้างล่ะ ตายที่สุดก็คงเป็นตอนที่มาร์คกัดปิ๊กกีต้าร์ ใครไม่ตายไม่รู้แต่กายละเอียดเรายังคงสถิตอยู่ข้างเวทีไปแล้ว

    ***สู่ขิตในวันที่ดือจริง

    เป็นเวลา 5 โมงเย็นที่เราได้โบกมือลาพอร์ชที่อยู่บนเวที ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราชอบมากนะที่จะได้อ่านทวิตของพอร์ช มันดูไม่มีอะไรแต่อย่างน้อยก็ทำให้เราลืมเราไม่สบายใจได้ครู่หนึ่ง การได้เจอคนคนนั้นตัวจริงเป็นครั้งแรก ทำให้เราตื่นเต้นมากเลย เป็นเวลาเกือบชั่วโมงกว่าเราจะหอบสัมภาระไปถึงสถานีหมอชิตได้ แต่การเดินทางของเรายังไม่จบ ภารกิจสุดท้ายของเราอยู่ทีนั้น เวลาเกือบหกโมงกว่าที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ทั้งๆที่จะต้องไปหมอชิต 2  เรามุ่งหน้าไปที่ทางออกเพื่อถ่าายสิ่

    ป้ายโปรเจควันเกิดของพี่มินฮยอนและน้องแจมิน เราตามพี่มินฮยอนเพราะเราชอบwannaoneมาก
    ผลพลอยไปตามผลงานเพลงของพี่เขาและย้อนกลับไปเพลงเก่าของNU'EST ด้วย (แนะนำเพลง Daybreak-Minhyun&JR เป็นเพลงที่เราชอบมากจากบรรดาทั้งหมด เสียงหวานของพี่ม้อนกับเสียงทุ่มของเจอัลเข้ากันได้ดีที่สุด) ใช่ว่าหลังจบwannaoneเราจะไม่ตามต่อนะ ปัจจุบันเป็นผัลอัลและอบน.(ฝากเพลงเพราะๆทั้ง 2 อัลบั้ม : In the rain , I'll be there และ 1 เพลงพิเศษของคุณยุนจีซองด้วยนะคะ พี่จีจ๋าตั้งใจทำอัลบั้มมากจริงๆ และฝากน้อง Breathe คุณโปรดิวเซอร์ตัวเล็กเก่งมากๆเลย) เพิ่มเติมคือเราตามอีกวง คือ NCT และนี่คือสาเหตุว่าทำไมเราถึงถ่ายป้ายน้องแจม (จี๋เมนน้องแจมจ้า;-; เราชอบโปรเจควันเกิดของน้องแจมนะ ที่ทำห้องสมุดน่ารักมากๆเลย เงินเราก็หนึ่งในเงินโดเนทด้วย)(แนะนำเพลง ช่วงนี้น้องดรีมออกอัลบั้มใหม่ เพลงโปรโมตชื่อ Boom ชอบคอนเซปที่เอาไปคล้องกับคำว่า Bloom อะ เพราะปีนี้เมมเบอร์เกินครึ่งเตรียมจบการศึกษาตามน้องมาร์คไปแล้ว เพลงที่เราชอบมากคือ dear dream กับ  my first and last

    เราไปถึงหมอชิต 2 ในสภาพอิดโรยมาก นอกจากไม่ได้นอนทั้งคืนแล้วการไม่ได้กินมื้อเที่ยง การแบกกระเป๋าเป้ทั้งวันหรือการเดินไปจุดหมายต่างๆทำให้เราแทบจะกลายเป็นผัก เราอารมณ์เสีย อ่อนแรงเป็นที่สุด ถึงขนาดว่าเรายอมสละแถวซ์้อบะหมี่ไปซื้อชานมที่แถวสั้นกว่าเพราะหิวมากและเหมือนจะเป็นลมลงไปให้ได้ จุดนั้นเจ้าไหนขายตั๋วกลับพิดโลกรอบเร็วที่สุดให้ได้คือซื้อหมด ราคาไม่สนใจ หวยตกที่ สมบัติทัวร์ เราประทับใจนะ เราไม่แน่ใจว่ารถที่เรานั่งเป็นชั้นไหน ที่นั่งดีมาก รถสะอาดและสบาย (ติดที่พนักงานนี้ล่ะที่เหมือนจะอารมณ์เสียใส่เราตอนที่บอกให้ช่วยมาแจ้งหน่อยตอนใกล้ถึงหน้าม.แล้ว) เราตัดสินใจเมินไม่ว่าจะขนมปังที่ซื้อติดตัวมาก่อนขึ้นรถหรือขนมที่เพิ่งแจกบนรถ ใส่หูฟังและปิดตาเข้าโลกแห่งความฝัน 

    เราว่าการเดินทางของเราเป็นก้าวเล็กๆของคนที่ค่อยๆออกจากพื้นที่ปลอดภัยทีละนิด เพิ่งได้ค้นพบว่าการเดินทางถึงมันจะเหนื่อยกับการนั่งรถหลายชั่วโมงแต่ความทรงจำดีที่ติดมาด้วยก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่าพอจะแลกมันมา อย่างน้อยมันก็เป็นก้าวแรกที่นำไปสู่ก้าวต่อไป แต่ถ้าให้พูดจากเบื้องลึกของจิตใจแล้วจะมีที่ไหนปลอดภัยและทำให้มีความสุขได้ไปมากกว่าพื้นที่ปลอดภัยของเราเอง 

    ป.ล.เพราะว่าวันแรกที่เราเข้าสู่กรุงเทพ ฝนเริ่มลงเม็ดมาต้อนรับเราตั้งแต่ที่รังสิต เช้ามืดวันต่อมาฝนก็ตกตั้งแต่ประมาณตีสามเกือบบตีสี่ ตอนออกจากMRTจตุจักร ฝนก็ตกอีกรอบ จนหัวเปียกไปขึ้นรถเมล์ และสุดท้ายตอนเราถึงมหาลัย ฝนก็ตกลงมาอีกเหมือนเป็นต้อนรับกลับบ้าน ประกอบเราเป็นคนที่อยากลองออกเดินทางแต่เรากลัวการเดินทางมาก การเดินทางครั้งหนึ่งมันเสียเวลาและเงิน และยิ่งอยู่ต่างที่มันไม่สบายใจ เลยนึกถึงคำว่า เจ้าสาวกลัวฝน เลยกลายเป็นที่มาของชื่อการเดินทางนี้ 
    ป.ล.2 ขอบคุณที่บ้านและต่ายที่คอยถามไถ่ความเป็นไปและคอยให้คำปรึกษาเรื่องการเดินทาง ขอบคุณplaylist ใน spotify ที่เป็นเพื่อนกันตลอดการเดินทาง ถ้าไม่มีเธอเราคงเหงาน่าดูและขอบคุณกล้องที่รอบนี้ไม่งอแงขึ้น error 99 หลังจากใช้งานกลางแจ้งไป 


     




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in