เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Documentary ReviewMeilin
Review: เอหิปัสสิโก (Come and See) หรือสารคดีวัดพระธรรมกาย
  • Disclaimer: วิจารณ์ในฐานะฝ่ายซ้ายที่ไม่สันทัดเรื่องพระพุทธศาสนา แต่มีความสนใจในเรื่องของบริบททางการเมือง สังคม วัฒนธรรม และแนวคิดที่ก่อให้เกิดความเชื่อ/ความศรัทธา/ความงมงายนั้นๆ

    นักวิชาการท่านหนึ่งในสารคดีกล่าวว่าคำสอนของวัดพระธรรมกายเป็นพุทธที่ผสมกับความเป็นไทยในเวอร์ชั่นที่ extreme จนคนรู้สึกอึดอัดและกลายเป็นต่อต้านไปในท้ายที่สุด ซึ่งโดยส่วนตัวรู้สึกเห็นด้วยในคำกล่าวนี้ ตัวอย่างคือแนวคิดของการทำบุญชาตินี้ไปเผื่อชาติหน้า หรือทำชาตินี้เพื่อให้ส่งผลในชาติหน้า เช่น ถ้าชาติหน้าอยากเกิดมารวยชาตินี้ต้องถวายเงิน หรือหากอยากงามในชาติหน้าชาตินี้ต้องหมั่นถวายดอกไม้ เป็นต้น เห็นได้ชัดว่าแนวคิดนี้เป็นที่นิยมในประเทศไทยเป็นอย่างมาก คนเขียนเชื่อว่าคนไทยแทบจะทุกคนในครอบครัวที่นับถือศาสนาพุทธล้วนเคยได้ประโยคนี้มาทั้งนั้น ซึ่งมันก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าแนวคิดนี้มันหยั่งรากลึกลงในสังคมของเราพอสมควร และอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำไมสาวกวัดนี้ถึงได้มีจำนวนมหาศาล

    ใดๆก็ตามแต่ ส่วนตัวมองว่าแนวคิดที่สาวกสื่อผ่านสารคดีมันช่างอนุรักษ์นิยมซะเหลือเกิน เช่น การบอกว่าเจ้าตัวมีสีผิวคล้ำเพราะมีศีลมาไม่ดี ถ้าหากคนมีศีลดีก็จะมีรูปลักษณ์งดงาม  หลังจากได้ยินประโยคนี้คำถามก็ผุดขึ้นมาในหัวทันทีว่าสาวกวัดพระธรรมกายทุกคนมีความคิดเช่นนี้หรือไม่? เพราะหากบอกว่าสีผิวคล้ำไม่งามและผิวสว่างคืองาม นั่นย่อมเป็นเรื่องของค่านิยมในสังคมของแต่ละยุคสมัยมากกว่าหรือเปล่า? เอาเป็นว่าสิ่งที่สาวกท่านนั้นพูดออกมาเป็นสิ่งที่ไท๊ยไทย คร่ำครึ โบร่ำโบราณ และดูไร้ความเกี่ยวโยงกับเรื่องบุญบาปไปไกลโข (หากหลักคำสอนศาสนาพุทธว่าตามที่สาวกท่านนั้นพูดจริงได้โปรดเบิกเนตรคนเขียนด้วยเพราะเข้าใจมาตลอดว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ชาวพุทธปรุงแต่งขึ้นมาในภายหลัง) 

    เหมือนที่คนเขียนได้กล่าวไปตรง disclaimer ข้างต้นว่าคนเขียนไม่สันทัดเรื่องหลักคำสอนของศาสนาแม้แต่น้อย เลยขอละข้อโต้แย้งที่เกี่ยวกับหลักคำสอนของพุทธศาสนาและข้ามไปพูดเรื่องการหายตัวไปของพระธัมมชโยเลยแล้วกัน คนเขียนมีข้อสงสัยว่าใครเป็นคนหาข้าวหาน้ำและดูแลพระรูปนี้ระหว่างที่อาพาส และเป็นไปได้จริงหรือที่จะไม่มีพระรูปใดรู้เห็นกับการหายตัวไปของพระธัมมชโยตามที่กล่าวอ้าง? นอกจากนี้การที่พระจัดฉากว่าตนนอนอาพาสแต่พอเปิดผ้าห่มมากลับเป็นหมอน ผ้านวมและสารพัดสิ่งที่ก่อขึ้นให้ดูคล้ายรูปร่างมนุษย์นอนหงายนั้นถือว่าผิดศีลหรือไม่? (บอกตามตรงว่าพอถึงฉากนั้นคนเขียนก็หลุดขำออกมาพรืดสองพรืดเหมือนกัน)

    และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือการใช้อำนาจของเผด็จการ ส่วนตัวไม่ได้หาข้อมูลในเรื่องการรับของโจรและฟอกเงินของธัมมชโยเพิ่มเติม แต่การที่เจ้าหน้าที่และทหารไปควบคุมพื้นที่และใช้รถถังกับประชาชนนั้นเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจเป็นอย่างยิ่ง ยังไม่นับที่ไล่สาวกและพระทุกรูปออกจากวัดเพื่อค้นหาเพิ่มเติมหลังจากที่ค้นหาวัดรวม 3 วันแล้วไม่พบสิ่งที่หวัง คนเขียนไม่แปลกใจและไม่มีข้อกังขาใดๆในความไม่ไว้วางใจของสาวกและพระที่มีให้กับขี้ข้าเผด็จการพวกนี้ ในทางกลับกัน หากสาวกและพระยอมที่จะออกจากวัดไปง่ายๆคนเขียนคงงงและกรี๊ดตอนดูอย่างแน่นอน (อย่าลืมนะคะว่าค้นไปแล้ว 3 วันแต่ไม่เจอสิ่งที่ 'อยาก' เจอ และพอไม่เจอเลยจะไล่คนออกจากวัดให้หมด เป็นคุณคุณจะไว้ใจพวกนั้นหรือ?)

    อย่างไรก็แล้วแต่ พอเขียนถึงตรงนี้คนอ่านคงเห็นภาพว่านี่ย่อมไม่พ้นเป็นเรื่องของการเมือง เพราะการที่คนจำพวกหนึ่งสามารถทำให้คนจำนวนมากมีศรัทธาต่อสิ่งๆหนึ่งได้มากมายขนาดนี้มันช่างน่ากลัวซะเหลือเกิน (คุ้นๆกันไหมคะ สถานการณ์ที่พวกเราชาวไทยคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เกิด) เพราะเขาพร้อมที่จะเออออห่อหมกไปกับทุกอย่าง หากบอกว่าไม้เป็นนกก็จะเชื่อว่านั่นคือนก หากบอกว่านกคือไม้พวกเขาก็จะเชื่อว่านกคือไม้ การเห็นกงจักรเป็นดอกบัวถือเป็นเรื่องปกติของผู้คนในประเทศเราจริงๆ

    อีกเรื่องหนึ่งที่คนเขียนเห็นแล้วถึงกับอ้าปากหวอก็คือการที่พระสงฆ์รูปหนึ่งตีบุคคลที่ถือกล้อง ฉากที่พระรูปนั้นเดินมาอย่างกับนักเลงหัวไม้พร้อมทำหน้าหงุดหงิดก่อนตีคนที่ถือกล้องไปผัวะสองผัวะทำให้คนเขียนช็อคมากจริงๆ หลังจากนั้นถึงจะนึกขึ้นได้ว่านี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในประเทศของเรานี่ พระก็คงเป็นคนๆนึงที่พยายามจะเข้าทางธรรม (ต้องใส่ Not all ไหมนะ) มีสำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้างเป็นเรื่องปกติ การที่โดนเจ้าหน้าที่ปิดล้อมวัดจนออกไปไหนไม่ได้อาจทำให้เกิดภาวะเครียดและกดดันจนยั๊วะแตกตามประสามนุษย์ทั่วไป แต่ไม่พอใจจนทำร้ายร่างกายคนอื่นคงเป็นอีกเรื่องที่ทำให้คนเขียนสงสัยต่อไปว่าปัจจุบันสาวกวัดพระธรรมกายยังนับถือพระสงฆ์รูปนี้อยู่หรือไม่?

    สรุปแล้วสิ่งที่คนเขียนได้จากการดูสารคดีเรื่องนี้ย่อมต้องเป็นมุมมองในเรื่องของพระพุทธศาสนาในเชิงลัทธิ ความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน (Solidarity) ของคนในกลุ้มก้อนนั้นๆที่ไม่มีการตั้งคำถามและไร้ข้อสงสัยในตัวเจ้าลัทธิ รวมถึงความเลวร้ายของเผด็จการ (ที่ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร) ทั้งนี้ ส่วนตัวมองว่าความเลวร้ายของเผด็จการนี่แหละที่ยิ่งส่งเสริมให้สาวกยิ่งมีศรัทธามากกว่าเดิม เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่ามนุษย์ชอบเรื่องราวที่มีฝ่ายธรรมะและอธรรม สุดท้ายเรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องราวของพระผู้ทรงศีล อุดมไปด้วยคุณงามความดีที่โดนฝ่ายอธรรมกลั่นแกล้งตามพล็อตเรื่องเล่าที่คนนิยมชมชอบกันมาช้านาน

    เหม่ยหลิน
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in