เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บางกระทุ่มปุ้มปุ้ยSilapa Junior
จากเมืองกรุงมุ่งสู่ก้นถุง

  • ปฐมบทแบบมินิ

    สวัสดีครับ ผมชื่อจูเนียร์ เป็นนิสิตทันตแพทย์อยู่ที่ จุฬาลงกรณืมหาวิทยาลัยสำหรับ travelogue นี้ผมจะมาแชร์ประสบการณ์หวานอมเปรี้ยว เสี่ยวจริงนะเทอว์ ของการท่องเที่ยวไทยเชิงอนุรักษ์ประหยัดทั้งตังค์และความสะดวกสบาย (ฮา) ที่จับพลัดจับผลูได้ไปสัมผัสมา ระหว่างการออกพื้นที่ของวิชาทันต-กรรมชุมชน ในอำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก เพื่อไม่ให้เสียเวลา เชิญเลยครับ : )


    เทคนิกการเลือกลองพื้น(ที่)

    ก่อนอื่นผมขอเล่าให้ฟังกันสั้นๆ ว่า ในการเรียนหมอฟันเนี่ยครับ เราจะเรียนกันทั้งหมด 6 ปีถ้วนซึ่ง 3 ปีแรกจะเน้นไปที่ความรู้พื้นฐานและภาคทฤษฎี ส่วน 3 ปีหลังจะเป็นการปฏิบัติรักษาในคนไข้จริง ทั้งครึ่งแรกและครึ่งหลังจะถูกปิดท้ายด้วยสิ่งที่พวกเราเรียกกันว่า ‘ออกชุมชน’ ว่ากันง่ายๆ ก็คือลองสนามรบจริงที่เราจะต้องเจอในอนาตคตอนช่วงใช้ทุนฯ หลังจากที่เรียนจบ การออกชุมชนครั้งหลังจบปี 3 ก็จะน่ารักใสๆ ให้พวกเราได้ไปเห็น ไปเข้าใจถึงน่าตาของชุมชน โรงพยาบาล และ สภาพของสุขภาพทั่วไปก่อน ก่อนจะไปลุยทำโครงการและเรียนรู้ระบบจริงจรังหลังตอนเราจบปี 6

    แน่นอนว่านิสิตร่วมร้อยคนคงจะไปกระจุกตัวในโรงพยาบาลชุมชนที่เดียวก็คงจะไม่ได้ จึงทำให้ต้องมีหลายที่ ที่ละสองผลัด และก็แน่นอนอีกที่ลักษณะต่างๆของแต่ละอำเภอในไทยเราย่อมต้องแตกต่างกันเป็นธรรมดา มันจึงเป็นชนวนสำคัญที่ก่อให้เกิดศึกชิงพื้นที่กันเกิดขึ้น!

    แต่จะให้ตบตีแย่งชิงกันเยี่ยงละครหลังข่าวก็กะไรอยู่ การเลือกพื้นที่ของพวกเราจริงเป็นไปตามนี้

    1. ศึกษาพื้นที่อย่างละเอียดจากใบข้อมูลที่เจ้าหน้าที่เขียนส่งมาให้ว่าแมพนี้มันโหดหินเท่าไร มีน้ำประปาไม๊ เซเว่นที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปกี่โล รีเควสเฉพาะหนุ่มๆ รึปล่า เป็นต้น

    2. แสดงเจตน์จำนง ลงชื่อเลือกพื้นที่ที่ต้องการ ซึ่งการลงจองจะเกิดขึ้นในที่สาธรณะทั้งหมดสามารถหยั่งเสียงและเปลี่ยนที่ได้ก่อนจะถึงวันที่กำหนด

    3. เมื่อถึงวันที่กำหนด เราก็จะเอาใบลงชื่อเลือกพื้นที่มาดูถ้าที่ไหนลงไปแค่กลุ่มเดียว ก็จะได้รับไปโดยอัตโนมัติ (เย่) แต่ถ้ามีมากกว่า 1 (พวกที่สบายๆ อ่ะแหละ) ก็จะต้องเกิดการจับไม้สั้นไม้ยาวชี้ชะตากันซึ่งแม่งลุ้นกันตัวโยน เพราะกลุ่มที่ปิ๋ว ก็จะต้องระเห็จไปเลือกพื้นที่ที่คนเค้าไม่เลือกกันซึ่งมักจะเป็นที่เลื่องลือว่า ซี๊ดจริงอะไรจริง

    จากโครงสร้างที่เล่ามา ผมกับเพื่อนในกลุ่มจึงระดมสมองกันว่า เฮ้ย เราเอาเซฟหน่อยมะ อย่าไปเสี่ยงเลือกอันป๊อปๆ เลย ลองดูอันที่โนเนมคนชอบมองข้ามแต่ทำท่าว่าจะไม่แย่ แล้วได้ไปเลยแบบไม่ต้องพึ่งดวงจะดีกว่าไม๊เพื่อน เพื่อนเองก็เห็นควรด้วย ซึ่งก็มาจบที่ อำเภอเล็กๆ ในพิษฯโลกที่ชื่อว่า บางกระทุ่มตามที่เกริ่นไปนี่แหละครับ ขอให้การเดิมพันครั้งนี้ออกมาดีด้วยเถิด ซ้าธุ

    พี่ปู รถร่วมบขส. และเคเอฟซีที่พิจิตร

    ณ เวลา 8 โมงเช้า เหล่าหนุ่มๆทีมบางกระทุ่มต่างก็มารวมตัวกันที่ขนส่งฯหมอชิต นอกจากผมแล้วสมาชิกทีมมีดังนี้ครับ

    จั๊ม
    หนุ่มแว่นผมน้อยหน่อย ที่ให้ความสำคัญกับหนังอินดี้ และอุปกรณ์ไอทีมากเป็นพิเศษ มักถูกเรียกว่าลุง ไม่ใช่เพราะอายุที่ที่มากกว่า แต่เพราะสำนวนและตรรกะที่เชยๆ โหลดช้า มุกเมิ้กอะไรก็ไม่ค่อยจะเกต เป็นคนที่ผมสนิทสุดในทีมนะเพราะเราเสพย์สื่อคล้ายๆ กัน

    ชัช
    หนุ่มสายบุ๋นแห่งทีม มีออร่าน่าแกล้งแผ่ออกมาอย่างสม่ำเสมอ โดนแซวโดนแกล้งตั้งแต่เพื่อนยันชาวบ้านยันพี่ๆ บุคลากร เป็นสีสันให้ทีม

    วัช
    หนุ่มมุสลิมสูงโปร่ง พูดน้อยต่อยหนัก มักโชวสกิลและประสบการณ์ที่ควรชาบูออกมาอย่างผิดที่ผิดทางแบบ "เฮ้ย! วัช (เติมชื่อทักษะ) ได้ด้วยจริงดิ โคตรเจ๋งอ่ะ"

    กัน
     หนุ่มเนิร์ดข้อมูลแน่น พร้อมที่จะรู้หมือไร่สมาชิกในทีมได้ตลอด แถมยังจำเก่งจดเก่ง แล้วที่สำคัญคือถามเก่งมาก

    ถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึกกเสร็จก็ออกเดินทางกัน ตุเลงๆ กันตามประสารถทัวร์ รู้ตัวอีกที ลุงจั๊มก็สะกิดให้ผมตื่นพร้อมบอกให้ลงจากรถได้แล้ว ไอ้เราก็รีบคว้าของกุลีกุจอลงจากรถทันที สถานีที่พวกเราลงมานี่แบบได้แรงบันดาลใจมากจากหนังเรื่อง Spectre แน่นแน่ เป็นที่โล่งกว้างฝุ่นฟุ้งแดดเปรี้ยงขนาดกว้างใหญ่มาก แล้วก็ปุ๊ง...สถานีจ่ะ เกิดขึ้นดื้อๆ เลย

    ทันทีที่รถเคลื่อนตัวออกจากท่า เผยให้เห็นป้ายที่ว่าเขียนว่า จังหวัดพิจิตร เห้ย! เราต้องไปพิษณุโลกสิ พิษณุโลกกกกก ทำยังไงดี ผมเริ่มโวยวาย ลุงจั๊มจึงบอกว่า มึง คาล์มดาวน์ กูติดต่อกับพี่ที่ดูแลแล้ว เค้าบอกให้ลงที่พิจิตร สถานีนี้มันใกล้กับอำเภอบางกระทุ่มที่อยู่ใกล้กว่า ถึงจะอยู่คนละจังหวัดก็เถอะ แล้วเดี๋ยวพี่เค้าจะขับรถมารับที่นี่เอง ไม่ต้องตื่นตูม อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง นั่งรอกันสักพัก ก็เห็นรถเก๋งคันหนึ่งพุ่งตัวเข้ามาทางสถานีลิบๆ ซึ่งสันนิฐานว่าต้องใช่แน่ เพราะทั้งสถานีก็มีแต่ทีมบางกระทุ่มเรานี่แหละ และก็เป็นไปตามคาด พี่สาวรูปร่างผอมสูงใส่แว่น ผมรวบไว้อย่างง่ายๆ ก้าวลงจากรถและยิ้มทักทายเรา เค้าคนนั้นชื่อพี่ปู...ยิ่งลักษณ์ เย้ย! ไปรยา! เย้ย นิตยา เย้ย! ถูกแล้ว

    พี่ปูพาเราไปกิน 'อาหารมื้อดีๆ' คือร้านเคเอฟซีที่โลตัสใกล้ๆ พร้อมกับพูดคุยทำลายกำแพงน้ำแข็งกันไปพลางๆ ซึ่งไม่น่าจะยาก สังเกตจากสภาพอากาศตอนนี้น่ะนะ พี่ปูเป็นหมอฟันรุ่นพี่พวกเราประมาณเกือบ 10 ปีได้ จบจากม.เชียงใหม่และไปใช้ทุนอยู่ที่ภูกระดึง จนประมาณ 2 ปีที่แล้ว มีข่าวว่าอาจารย์หมอที่เก่งเรื่องชุมชน (มีคอนเนกชั่นกับจุฬาฯ) จะย้ายมาอยู่ที่บางกระทุ่ม ซึ่งเป็นบ้านเกิดพี่ปูพอดี เลยได้ฤกษ์ ย้ายกลับมาอยู่บ้านและมารับเป็นเมนเทอร์จำเป็นให้พวกเรานี่แหละ (จริงๆ ควรจะเป็นอาจารย์คนนั้นที่เค้ายังไม่ย้ายมา) พี่ปูเชียร์ให้ซื้อสิ่งจำเป็นเท่าที่จะนึกออกไปให้พร้อมเลย เพราะว่า บางกระทุ่มไม่มีเซเว่นนะคะเด็กๆ เฮือก เป็นประโยคที่สั่นสะท้านไปถึงเยื่อบุสมอง ผมตกใจมากแล้วถามสวนกลับไปว่า แล้ว ลอว์ซัน ล่ะครับ มีรึเปล่า (มึงอย่ามาตลกแดก) ผิดๆ ถามว่า ทำไมล่ะครับ พี่ปูเลยอธิบายว่า ภูมิศาสตร์/เส้นทางเดินรถของอำเภอนี้มีลักษณะเป็น 'อำเภอก้นถุง' หมายความว่าไม่มีทางหลวงตัดผ่านทะลุไปอีกอำเภอนึง ถ้าเข้าทางไหนก็ต้องออกทางนั้น ดังนั้น รถราที่จะผ่านเข้ามาในบางกระทุ่ม คือต้องทีจุดหมายปลายทางคือบางกระทุ่มจริงๆ (ซึ่งมันจะมีไม๊ล่ะแก) เป็นสาเหุตให้อำเภอความเจริญเข้าถึงได้ยากมาก ฟังแล้วก็ได้แต่ทำใจล่วงหน้า ว่าชีวิตอาทิตย์กว่าของพวกเราที่นี่ คงไม่ได้โรยด้วยเกล็ดสเลอปี้เป็นแน่แท้

    หน้าตาแบบบ้านบ้าน หยุดอยู่ตรงนั้น

    จากตัวเมืองพิจิตรขับมาถึงโรงพยาบาลบางกระทุ่ม บ้านชั่วคราวในอีก 10 วันข้างหน้าด้วยเวลาไม่ถึงชั่วโมง พี่ปูเป็นที่คุยง่ายคุยสนุก เพราะพี่เค้าเป็นคนที่มีขอบเขตความสนใจกว้างมาก ลองนึกถึงทันแพทย์หญิงที่กรี๊ดซีรี่ส์และดาราเกาหลี แต่อ่านแดน บราวน์ สลับกันกับ นิ้วกลมและมุราคามิ ว่างๆ ก็เลี้ยงแมวในบ้านที่ออกแบบเองให้สถาปนิกสร้าง พร้อมกับดูหนังออสการ์ไปพลางๆ คือไม่ชอบก็ไม่รู้จะว่าไง

    กลับมาที่โรงพยาบาลต่อ โรงพยาบาลที่นี่มีศักดิ์เป็น รพช. หรือโรงพยาบาลชุมชน คือเล็กที่สุดในสารระบบ สูงชั้นเดียว ถ้ามีอะไรฉุกเฉินหรือเคสยากๆ ก็จะต้องส่งต่อไปที่โรงพยาบาลจังหวัด หอพักแพทย์ อยู่ถัดออกไปประมาณ 200 เมตร หลังที่เราอยู่สูง 2 ชั้น ประตูและหน้าต่างส่วนใหญ่ถูกมัดเงื่อนตายด้วยเชือกฟาง สภาพโดยรวมซอมซ่อแบบพอซ่อมได้ พี่ปูพาทีมทัวร์บ้านกันอย่างคร่าวๆ โดยแนะนำให้ชั้นหนึ่งใช้ทำกิจกรรม อาบน้ำ (เป็นน้ำบาลดาลกลิ่นน้องหนิม) กินข้าว และทำงาน เพราะมีพัดลม และอากาศจะเย็นเร็วกว่าข้างบน มีไมโครเวฟและตู้เย็นเป็นเครื่องประกอบอาหาร ขึ้นบันไดไปชั้นสองมีห้องนอนซ้ายขวา เอ๊ะ หรือเรียกว่าห้องซาวน่าดี เพราะไอร้อนที่แผ่ออกมารุนแรงมาก พี่ปูชี้ให้เห็นว่ามาฟูก ลักษณะเดียวกับที่ใช้เล่นกีฬายืดหยุ่นในโรงเรียน เอามาใช้ปูนอนซะ เดี๋ยวพรุ่งนี้นัดเจอกันที่แผนกทันต-กรรม 8.30 พี่ไปก่อนนะ ถ้าฉุกเฉินให้โทรหาได้ตามสะดวก แล้วพี่ปูก็ขับรถออกไป ทิ้งให้เด็กน้อยอนาถาห้าหน่วยนั่งมองหน้ากัน พร้อมท่องคติประจำใจว่า ต้องรอด! ก่อนแยกย้ายกันไปเซตอัพบ้าน

    ตัวผมรับหน้าที่จัดห้องนอน มองว่ามีกันอยู่ 5 คนเอง จะให้นอนแยกกันก็แปลก นอนห้องเดียวที่มันดูโอกว่าไปเลยละกัน ว่าแล้วก็เดินเช้าไปรับไอร้อนระหว่างห้องเทียบกัน และเลือกปูเบาะในห้องที่ร้อนน้อยกว่า (มั้ง) แต่ประเด็นมันอยู่ตรงนี้คุณผู้ช้มมม คือหลังจากเรากลับกรุงเทพฯไปแล้วเนี่ย ทีมเราก็ไปเม้ามอยกับสาวๆ บางกระทุ่มที่มาผลัดต่อจากเรา ว่าเออ นอนห้องไหนกัน ซึ่งก็ได้คำตอบกลับมาว่า แก พวกชั้นขึ้นไปดู ห้องนึงมันมีพวกมาลัยห้อยอยู่ทุกเสาเลยอ่ะ น่ากลัวมาก พวกชั้นเลยไปนอนอีกห้องกัน เชี่ย คิดแล้วคิดอีกก็ไม่สามารถเค้นออกมาจากมโนสำนึกได้เลยว่าสังเกตเห็นพวงมาลับไม๊ แล้วพวกกูนอนห้องไหนกันไปวะเนี่ย แต่ยังไงก็โชคดีเหลือเกิน ที่พวกเราสามารถแมเนจให้จากมาอย่างไร้ประสบการณ์ลี้ลับได้ หึหึหึ


    คนไหนคนไทย จะรู้ได้ไง

    เช้าวันแรกของการมาพักแรมที่โรงพยาบาลผมกะว่าตื่นแต่เช้าเพราะว่าอยากจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ไม่รู้ว่าเพราะออกซิเจนในอากาศที่นี่เข้มข้นกว่าไม๊ เสือกตื่นได้แบบเป๊ะๆ ไม่มีงัวเงียงอแง ออกวิ่งตรงตามเวลาที่คำนวณไว้ วิ่งไปได้ไกลพอสมควร ก็…ก็เหนื่อย (ก็แน่สิ) เลยพักถ่ายรูปดูวิวสักพักก่อนที่จะเดินกลับ

    ผมคว้าหูฟังขึ้นมาสวม ขณะกำลังจะเลือกเพลงในโทรศัพท์มาฟังตามอัตโนมัติก็ได้ยินเสียงทักขึ้น

    “หนุ่มๆ เดินไปไหนน่ะ”
    เสียงมาจากลุงป้าที่กำลังเตรียมของขายขนมถ้วยและอาหาร ในซุ้มเล็กๆข้างถนน
    “กำลังเดินกลับโรงพยาบาลฮะ”
    ผมหยุดพูดคุยแลกเปลี่ยนกับลุงป้าอยู่สองสามประโยคยิ้มให้ก่อนที่จะเดินออกมา ในใจก็รู้สึกเสียดาย มาออกชุมชนควรจะคุยให้มากกว่านี้ แต่เมื่อกี้เป็นคนแรกก็เลยตั้งตัวไม่ทัน ดีหล่ะคนต่อไปเราจะพยายามต่อความยาวสาวความยืดให้ได้มากที่สุ...

    เอื๊ยดดดดดดด!
    “ไปตลาดเหรอขึ้นมาสิ”
    คิดยังไม่ทันจบประโยคคุณลุงในรถกระบะเก่าๆ ก็ขับมาเทียบพร้อมกับข้อเสนอที่ถ้าได้ยินใน กรุงเทพฯ ก็คงจะคิดว่าหูฝาด
    “อ๋อ เปล่าครับ ไปโรง'บาล”
    “มันไกลนะหนุ่ม เดี๋ยวลุงไปส่ง” พูดว่ามันไกลเหมือนลุงป้าเลย เราว่าไม่เห็นไกลนะ
    “ครับ” พร้อมกับรีบโดดขึ้นรถ อ่าว ไหนบอกไม่ไกล

    ด้วยความไกลของระยะทางทำให้เรามีเวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองไม่ถึงนาที ผมลงจากรถลุง ขอบคุณลุง ขอถ่ายรูปลุงแล้วเราก็จากกัน ยังแทบไม่ได้ทำความรู้จักอะไรกันเลย แต่ที่สามารถสัมผัสได้เต็มๆ เลยก็คือความมีน้ำใจและเป็นกันเองของชุมชนที่นี่ว่าแล้วก็นึกเสียดายอีก เมื่อกี้น่าจะขอลุงไปตลาดด้วยซะเลย ใจดีแบบนี้ กรุงเทพฯ ยังมีเหลือไม๊นะ

         

    โรง'บาลของเราน่าอยู่      


    สำหรับงานหลักๆ ที่เรา 5 คนต้องทำในงานออกพื้นที่ครั้งนี้ ก็คือการออกไปคุย คุยคุยคุย กับคนไข้ที่มารักษาที่โรงพยาบาลนี้ เพื่อที่จะนำบทสนนทนาไปสังเคาะห์เป็น ค่านิยม ทัศนคติ ปัญหา และความรู้สึกของคนในชุมชน เอาง่ายๆ ก็คือเรามาเพื่อทำความเข้าใจเค้านั่นแหละ เพราะฉะนั้น กิจวัตรของทีมคือการไปหมกตัวอยู่คลินิกเบาหวาน (พี่ปูจะยุ่งทำฟันมาก) เพราะสัมภาษณ์ได้สะดวก จะมีบางครั้งที่เปลี่ยนสัมภาษณ์คุณแม่และช่วยเคลือบฟลูออไรด์ให้น้องน้อยในคลินิกเด็กอ่อน พอสายๆ ก็จะเริ่มว่าง คนไข้เริ่มบางตา แยกย้ายกันกลับไปทำงานทำการ ตอนบ่ายจะเป็นเคสพิเศษ หรือคนไข้นัด ซึ่งทำให้ไม่มีคนสัมภาษณ์ ช่วงเที่ยงถึงบ่ายจึงเป็นช่วง เดินมากินอาหารตามสั่งฝั่งตรงข้าม นั่งเล่นให้อาหารย่อยที่ศาลาตรงสระบัวหน้าโรง'บาล และไปนั่งสรุปประเด็นก่อนบันทึกลงใน 'ฟีลด์โน๊ต' ที่แถวห้องสมุนไพร แล้วรอรายงานพี่ปูตอนบ่ายแก่ๆ ก่อนจะถึงจุดไคลเมกซ์ของวัน คือพี่ปูพาไปกินข้าวเย็น

    ห้องสมุนไพรที่นี่ถือเป็นจุดขายของโรงพยาบาลบางกระทุ่ม เพราะตัวโรงพยาบาลเองมีเครื่องที่สามารถผลิตแคปซูบสมุนไพร (รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ) ได้มาตรฐานมาก เรียกว่าสู้อภัยบูเบศรได้ แต่สาเหตุที่พวกเราชอบไปก็เพราะ มันใหม่ มีแอร์ แถมยังไม่ชามสมุนไพรให้กินอีก

    ชีวิตประจำวันของเรา 5 คนที่โรง'บาล ก็เป็นประมาณนี้แหละครับ สโลว์ไลฟ์กว่าเต่านิดนึง


    Guten Nachmittag, Anna

            ผ่านการใช้ชีวิตในบางกระทุ่มไปหลายวัน ยอมรับเลยว่าเบื่อ แต่ก็เข้าใจว่าการทำซ้ำๆ จะช่วยให้เราเริ่มเห็นแพตเทิร์นและเนื้อหาที่ลึกซึ้งขึ้น ช่วงเวลาที่แฮปปี้ที่สุดของวันก็คือการนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระกับพี่ปู ระหว่างนั่งรถไปกินข้าว ทอปปิกวันนี้เกี่ยวกันการเรียนต่อครับ นำทีมการคุยโดยกันกับลุงจั๊ม กันบอกว่าสนใจอยากเรียนต่อด้านทันตกรรมเพื่อความงามของที่คณะ ซึ่งต้องสวย และรวยมาก ทั้งหลักสูตรนี่ก็ปาเข้าไปหลายล้าน ส่วนลุงจั๊มบอกว่ายังไม่แน่ใจว่าจะอยากเรียนสาขาไหน แต่ว่าอยากเรียนต่อเยอรมัน เพราะไปสืบมาว่าดี แถมค่าเทอมสำหรับเด็กต่างชาติก็ราคาเป็นกันเอง ว่าแล้วก็โชว์แอปฯ ฝึกภาษา Duolingo ที่เฮียแกกำลังเห่อเล่นอยู่
    ทันใดนั้นพี่ปูก็ตบเข่าฉาดดังป้าป เปล่าหรอก จริงๆ คือแค่พูดขึ้นว่า พอดีเพื่อนสมัยเด็กพี่ที่เรียนไปเรียนต่อ-ทำงานที่เยอรมันเค้ากลับมาเยี่ยมบ้านพอดี อยากเจอมั้ย เห็นน้องดูเบื่อๆ อยู่ด้วย เดี๋ยวบ่ายพรุ่งนี้พี่นัดให้ เจอกันที่ร้านกาแฟเปิดใหม่ ผมนี่ได้ยินแล้วพนักหน้าหงึกๆ เลย ได้เปลี่ยนบรรยากาศกับเค้าบ้างซักที

    บ่ายวันต่อมา เรา 5 คนนัดเจอกันพี่แอนเพื่อนพี่ปูที่ร้านกาแฟน่าตาดี ที่ตั้งอยู่กลางสิ่งที่น่าตาคล้ายๆไซด์งานโกดังก่อสร้าง พอได้เห็นหน้าก็จำได้ทันที เฮ้ย พี่คือคนที่ผมให้ถ่ายรูปให้ตอนเราไปกินข้าวที่ร้านอาหารนั่นนี่ (ตอนนั้นคิดว่าพี่เค้าเป็นเด็กเสิร์ฟ ที่จริงเค้าเป็นลูกเจ้าของต่างหาก กากจัง) ไม่แปลกใจเลยที่พี่ปูกับพี่แอนจะเป็นเพื่อนกัน เฟรนลี่และคุยง่ายเหมือนกันไม่มีผิด พี่แอนเล่าถึงชีวิตที่พลิกผันของตัวเองให้กับพวกเราฟัง ว่าตอน ม. 6 พี่แอนสมัครไปโครงแลกเปลี่ยนที่เยอรมัน (จำเมืองไม่ได้แล้ว) และไปทำอีท่าไหนไม่รู้ โฮสต์ที่นั่นรักมาก จบไปแล้วก็มาเยี่ยมที่เมืองไทยบ้างล่ะ ส่งตั๋วมาให้ไปเยี่ยมมั่งล่ะ เลยเถิดไปจนถึงชวนให้ต่อมหาลัยที่โน่น พี่แอนก็บ้าจี้สมัครไปจริงๆ แล้วก็ได้เฉย! เลยต่อมหาลัยที่โน่น จนปัจจุบัน ทำงานเทือกๆ logistic อยู่ที่โน่นเลย โหย ถ้าชีวิตจะคาดเดาไม่ได้ขนาดนี้

    ผมลองถามดูเล่นๆ ว่าชอบที่ไหนมากกว่ากัน พี่แอนตอบทันทีเลยว่า เลือกไม่ได้หรอก ถึงมันจะแตกต่างกันมาก แต่ก็มีข้อดีข้อเสียของมันอยู่ อย่างคนไทยนี่ ยิ่งต่างจังหวัดด้วยนะ คือใช้ชีวิตชิวมาก ไม่ต้องคิดอะไร หวานเย็น อลุ่มอล่วยให้กัน ทำให้ไม่ค่อยมีระเบียบ แต่ที่โน่นจะตรงกันข้ามเลย ยูต้องรับผิดชอบตัวเอง สมมติแกะที่ซีลขวดน้ำก็ต้องยัดใส่ถุงขยะที่เตรียมมา วางทิ่้งไว้บนโต๊ะอาหารถือว่าเสียมรายาท ต้องตรงเวลามากๆ ต้องพิสูจน์ตัวเองด้วย ไม่งั้นก็จะโดนดูถูกดูแคลน แต่ที่โน่นคือ แฟร์ รักษาคำพูด กฎเป็นกฎ เชื่อถือได้ อะไรประมาณนี้

    พี่แอนเล่าว่าก็มีคิดถึงไทยด้วย แต่สมัยนี้เราโทรหากัน เฟสไทม์หากันได้ จะคิดถึงจริิงๆ ก็คงเป็นอาหารไทยมากกว่า (ฮา) ทุกครั้งที่กลับไปนี่จะแบกน้ำพริกเครื่องปรุงไปเยอะมาก แต่ก็หมดก่อนตลอด นี่ถ้าน้องมาเที่ยวเยอรมันบอกพี่นะ พี่จะพาเที่ยว แต่แลกกับการแบกน้ำพริกมาให้ พี่แอนขำเอิ๊กๆ โชว์ฟันเขี้ยวซ้อนแบบป๋าเบิร์ด ให้พวกเราดู

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in