เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Jipata StoryQueenie
กระจกเงาแห่งเอริเซด
  • "แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์ จะเข้าฉายในโรงภาพยนต์เดือนมกราคมนี้"

    ประโยคดังกล่าวราวกับชุบชีวิตของฉันให้กลับมามีชีวาอีกครั้ง

    โดยไม่รอช้า ฉันจึงรีบตีตั๋วเตรียมจองที่นั่งแทบจะในทันที 
    และไม่น่าเชื่อว่ากฎแรงดึงดูดที่ฉันอ่านจากหนังสือเดอะซีเคร็ตจะได้ผล
    เพราะฉันเคยครุ่นคิดไว้ว่า อยากดูซีรี่ย์แฮร์รี่ พอตเตอร์ ในโรงภาพยนต์ตั้งแต่ภาคหนึ่ง

    สิ่งที่ปรากฎบนจอภาพยนตร์นั้น คือวีดีโอที่ฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าผ่านดวงตาคู่นี้
    เรื่องราวของโลกเวทย์มนตร์ นักแสดงที่สมจริงราวกับเป็นตัวละครที่หลุดออกมาจากหนังสือ
    แต่คราวนี้แตกต่างออกไป เพราะสิ่งที่ดึงดูดฉันมากที่สุดในเรื่อง หาใช่ความฟุ้งฝัน

    แต่คือ "กระจกเงาแห่งเอริเซด"

    แฮร์รี่ยืนจ้องมองกระจก สิ่งที่สะท้อนกลับมาคือครอบครัวของเขา
    ที่เสียชีวิตในคืนเดียวกันกับที่แฮร์รี่ได้รอยแผลเป็นประทับที่บนหน้าผาก
    เขาถึงกับปลุกรอนกลางดึกเพื่อให้มาดูครอบครัวของเขา
    แต่สิ่งที่รอนมองเห็น คือภาพที่รอนถือถ้วยรางวัลบ้านดีเด่น เป็นพรีเฟ็ค และเป็นกัปตันทีมควิชดิช

    ตั้งแต่วันนั้น ทุกค่ำคืนแฮร์รี่ก็แวะเวียนมาส่องกระจกบานนี้อย่างสม่ำเสมอ
    จ้องมองพ่อแม่ของเขาที่สบตากลับมาจากเงาในกระจก
    จนกระทั่งพ่อมดชราผู้หนึ่งได้ปรากฎขึ้น และรับรู้เหตุการณ์ทุกอย่าง
    เขาคือ "ศาสตราจารย์อัลบัส ดัมเบิลดอร์" อาจารย์ใหญ่ประจำโรงเรียนฮอกวอตต์

    "กลับมาอีกครั้งแล้วหรือแฮร์รี่ กับการส่องกระจกเงาแห่งเอริเซด"
    "เธอรู้ไหมว่าผู้ที่มีความสุขที่สุดในโลก คือผู้ที่ส่องกระจกบานนี้แล้วพบเห็นเงาของตัวเอง"

    "ถ้าอย่างนั้น -- กระจกบานนี้ก็สะท้อนสิ่งที่เราต้องการเท่านั้นใช่ไหมครับ"

    "ใช่แล้ว กระจกบานนี้สะท้อนถึงสิ่งที่อยู่ลึกที่สุดในจิตใจของเรา สิ่งที่เรากระหายถึงมัน"
    "จงจำไว้ว่า กระจกบานนี้ไม่ได้มอบความรู้หรือความจริงกับเรา"
    "มีผู้คนมากมายที่ส่องกระจกบานนี้แล้วหลงใหลจนกระทั่งกลายเป็นบ้าไป"
    "และนั่นคือเหตุผลที่ว่า -- วันพรุ่งนี้ กระจกบานนี้จะถูกเคลื่อนย้ายออกไปยังที่ใหม่"
    "ฉันไม่ต้องการให้เธอมองหากระจกบานนี้อีกครั้ง แฮร์รี่"
    "เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะติดอยู่ในโลกของความฝันจนหลงลืมออกไปใช้ชีวิต"

    เมื่อฉากสุดท้ายได้ถูกฉายขึ้น 
    นั่นคือฉากที่แฮร์รี่นั่งรถไฟกลับไปยังบ้านเดอร์สลีย์
    และฉันก็ลุกจากเก้าอี้เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับบ้าน

    สิ่งที่ฉันได้รับคือความอิ่มเอมใจ
    ราวกับได้ย้อนกลับไปวัยเด็กอีกครั้ง
    ช่วงเวลาที่หลงใหลคลั่งใคล้แฮร์รี่ พอตเตอร์เอามากๆ 

    นอกเหนือจากนั้นคือหมากรุกพ่อมด
    ที่เมื่อก่อน ฉันก็ไม่ได้รู้สึกอินกับมันมากขนาดนี้

    ที่สำคัญที่สุด คือประโยคที่ศาสตราจารย์อัลบัส ดัมเบิลดอร์ได้พูดกับแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่ว่า
    "ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะติดอยู่ในโลกของความฝันจนหลงลืมออกไปใช้ชีวิต"

    ฉันเอะใจว่า ทำไมฉันถึงสะดุดกับตรงนี้
    หรือว่าเกิดการเตือนใจในบางสิ่งบางอย่าง
    ว่าฉันกำลังหลงใหลไปกับการส่องกระจกเงาแห่งเอริเซดอยู่

    กระจกเงาที่สะท้อนเฉพาะสิ่งที่ปรารถนาในหัวใจ
    ข้อความ "Erised Stra ehru oyt ube cafru oyt on wohsi" ที่ติดอยู่กับขอบกระจก
    สามารถกลับออกมาเป็นประโยคได้ว่า "I show not your face but your hearts desire"

    "จงจำไว้ว่า กระจกบานนี้ไม่ได้มอบความรู้หรือความจริงกับเรา"
    "มีผู้คนมากมายที่ส่องกระจกบานนี้แล้วหลงใหลจนกระทั่งกลายเป็นบ้าไป"

    สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้ฉันกลับมาสำรวจชีวิตว่า ฉันกำลัง "เสพติด" 
    กับการจ้องมองเงาสะท้อน "ใด" ที่ปรากฎในกระจกเงาแห่งเอริเซด
    ที่ทำให้ฉันเสียเวลาและความรู้สึกไปกับการลุ่มหลงในภาพมายา
    ที่เป็นเพียงแค่ความปรารถนา ไม่ใช่ความรู้หรือทว่าความจริงใดๆ

    ต้องขอบคุณโปรเฟสเซอร์ดัมเบิลดอร์จริงๆ ที่ช่วยเตือนสติให้รู้สึกตัว
    ก่อนที่ฉันจะลุ่มหลงไปกับการจ้องมองเงาสะท้อนสิ่งที่ปรารถนาในกระจกมากไปกว่านี้
    สูญเสียเวลาและความรู้สึกไปกับภาพมายาที่ไม่อาจเกิดขึ้นในโลกความเป็นจริงได้

    ก่อนที่จะกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มคนทีสูญเสียตัวตนและจริตไปกับกระจกเงาแห่งเอริเซด

    หรือถ้าพูดง่าย ๆ ก็คือเป็นบ้านั่นแหละ









Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in