วันนี้เราอยากจะเล่าถึงครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่ง
พวกเขามีชื่อว่าครอบครัวฟินช์ (Finch)
หรือที่รู้จักกันในชื่อ ครอบครัวต้องสาป
ในปี 1937 หลังการตายของลูกชายและภรรยาของเขา โอดิน ฟินช์ หัวหน้าครอบครัวในตอนนั้นได้ตัดสินใจอย่างบ้าบิ่น ขนเอาบ้านทั้งหลังขึ้นเรือ ถ่อออกจากนอร์เวยมาถึงอเมริกา ด้วยความหวังว่าระยะทางนี้จะสามารถสลัดคำสาปที่คอยพรากชีวิตสมาชิกในครอบครัวของเขาออกไปได้
จนกระทั่งบ้านทั้งหลังถูกคลื่นยักษ์ซัดสูงกว่าสี่สิบฟุตซัดเข้าใส่ เรือนั้นจมลงในแนวฝั่งวอร์ชิงตันไปพร้อมกับร่างของโอดิน
เคราะห์ดี ลูกสาวของเขา อีดิธ ฟินช์ กับสเวน สามีของหล่อน และมอลลี่ ลูกสาวของทั้งคู่รอดมาได้ พวกเขาพยายามมองไปข้างหน้า และตัดสินใจลงหลักปักฐาน สร้างบ้านขึ้นบนเกาะที่ไม่ห่างไปจากจุดที่บ้านของพวกเขาจมลงไปนัก
พวกเขาพยายามจะเริ่มต้นใหม่ เชื่อเถอะ พวกเขาพยายามแล้ว
น่าเศร้า คำสาปนั้นช่างไร้ความปราณี
#เกมเนื้อๆ: เป็นซีรี่ส์บทความที่เราจะเขียนเล่า, สรุปเนื้อหาของเกมอย่างคร่าวๆ เพื่อให้ผู้ที่ไม่เข้าใจ หรือผู้ที่ไม่ได้เล่นแต่อยากรู้เนื้อหาสามารถเข้าใจได้
เปิดเผยเนื้อหาเกมแบบเล่าเรื่อง แนะนำให้อ่านหลังเกมค่ะ
“My family never seemed strange to me when I was growing up.”
“ตอนยังเด็กๆ ฉันก็ไม่ได้มองว่าครอบครัวของฉันดูแปลกอะไร”
- ประโยคแรกในสมุดของอีดิธ ซึ่งถูกขีดฆ่าออกในภายหลัง
น่าแปลกใจ สิ่งแรกที่อีดิธสร้างไม่ใช่บ้าน แต่เป็นอนุสรณ์เพื่อรำลึกถึงพ่อเธอ รูปปั้นของโอดินที่ชี้ไปยังจุดที่เรือบ้านของเขาจมลง ซากบางส่วนของมันยังโผล่มาให้เห็นลิบๆ เหนือผิวน้ำ
หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มสร้างบ้าน สเวนสร้างบ้านทั้งหลังขึ้นกับมือ มันเป็นบ้านหลังใหญ่ ใหญ่พอสำหรับพวกเขา และสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ ในอนาคต
นอกจากมอลลี่แล้ว สเวนและอีดิธมีลูกด้วยกันอีก 4 คน ลูกสาวชื่อบาร์บาร่า ฝาแฝดเคลวินกับแซม และลูกชายคนเล็กที่ชื่อวอลเตอร์ ไล่ไปตามลำดับ
ทุกอย่างเหมือนจะเป็นไปได้ดี จนกระทั่ง..
มอลลี่เติบโตขึ้นเป็นเด็กสาวที่น่ารัก เจ้าหญิงตัวน้อยๆ ของพ่อและแม่ เด็กหญิงในชุดสีชมพูกับสัตว์เลี้ยงทั้งหลายของเธอ
แต่แล้ว ในวันที่ 13 ธันวาคม ปี 1947 มอลลี่ถูกส่งขึ้นไปบนห้องนอนโดยไม่ได้รับประทานข้าวเย็น กลางดึกคืนนั้นเธอตื่นขึ้นด้วยความหิว พยายามข่มตานอนก็ไม่หลับ ประตูห้องของเธอถูกล็อกจากด้านนอก มอลลี่ตะโกนบอกเรียกแม่ บอกว่าเธอหิว แต่เเม่กลับไม่สนใจนัก ไล่ให้เธอกลับไปนอนแทน
มอลลี่จึงพยายามค้นหาอย่างอื่นในห้องแทน อะไรก็ได้ อาหารสัตว์เลี้ยง ลูกเบอร์รี่จากพวงที่เอาไว้ใช้ตกแต่ง หรือแม้แต่ยาสีฟันทั้งหลอด
นั่นคือสิ่งที่มอลลี่เขียนเอาไว้ในบันทึกของเธอ และนั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เธอบันทึกเอาไว้..
มอลลี่เล่าว่าหลังกินยาสีฟัน เธอได้ยินเสียงนกร้องออกมาจากนอกหน้าต่าง ด้วยความหิว เธอพยายามจะคว้ามันเอาไว้ แต่เมื่อเจ้านกบินหนี มอลลี่จึงย่อตัว แล้วกระโดดออกไปด้วยร่างของแมว!
ไม่ใช่เพียงแค่แมวเท่านั้น หลังจับเจ้านกได้ มอลลี่ก็ยังเปลี่ยนร่างหลายต่อหลายครั้ง จากแมวจับนก เป็นนกฮูกจับกระต่าย กลายเป็นฉลามล่าแมวน้ำ และสุดท้าย เธอก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดร่างยักษ์ที่ไล่กินผู้คนบนเรือเฟอร์รี่กลางทะเล สิ่งมีชีวิตตัวแล้วตัวเล่าถูกกินเข้าไปเรื่อยๆ แม้เธอจะอยากหยุด แต่ความหิวนั้นมีมากกว่า
ในที่สุด เธอก็เล่าว่าเธอในร่างสัตว์ประหลาดนั้นได้กลิ่นบางอย่างมาจากอีกฝั่งของท้องทะเล น่าอร่อยจนมันว่ายตรงดิ่งไปยังที่มาของกลิ่นที่ว่า มันขึ้นจากทะเลไปตามแนวชายฝั่ง แทรกตัวผ่านตะแกรงท่อระบายน้ำ แล้วไต่ขึ้นมาตามท่อน้ำเรื่อยๆ ขึ้นมาจนถึงห้องน้ำที่เธอแสนคุ้นตา ไม่เท่านั้น เธอยังจำได้ว่าสุดท้ายเจ้าสัตว์ประหลาดค่อยๆ คืบคลานเข้ามาในห้องนอน แล้วขดตัวอยู่ใต้เตียงของเธอนี่เอง
ตอนนั้นเองที่มอลลี่บอกว่าเธอสะดุ้งตื่น กลับมาอยู่ร่างตนเองอีกครั้ง เธอกลั้นหายใจ รีบคว้าสมุดเพื่อเขียนบันทึกเรื่องที่เกิดขึ้นเอาไว้
‘ฉันคิดว่ามันกำลังรอให้ฉันหลับไปก่อน แต่มันคงจะไม่รออีกแล้ว มันหิวเหลือเกิน’
‘และเราเองก็รู้ดี ว่าฉัน จะต้อง อร่อยแน่’
- บันทึกสุดท้ายที่มอลลี่เขียนไว้ในสมุด
มอลลี่ ฟินช์ เสียชีวิตในวันที่ 13 ธันวาคม ปี 1947
เธออายุ 10 ปี ในตอนที่จากไป
หากพูดถึงครอบครัวฟินช์แบบเฉพาะเจาะจงแล้ว บาร์บาร่านับว่าเป็นฟินช์คนที่มีชื่อเสียงมากที่สุด
ในวัยเด็ก บาร์บาร่าได้มีโอกาสไปร่วมแสดงในภาพยนต์’บิ๊กฟุตเพื่อนรัก’ เสียงกรีดร้องของเด็กน้อยเมื่อเห็นเจ้าบิ๊กฟุตกลายเป็นจุดสร้างชื่อเสียงให้กับเธอ ตามมาด้วยรางวัลอีกมากมาย มันทำให้บาร์บาร่ากลายเป็นดาราเด็กไปโดยปริยาย แต่ในปัจจุบัน ชีวิตหลังจากนั้นกลับไม่สวยหรูนัก แม้เธอจะดิ้นรนที่จะอยู่ในแวดวงนี้ต่อไปขนาดไหน ความนิยมของเธอก็เริ่มเสื่อมสลายไปตามเวลา
โชคยังเข้าข้าง วันหนึ่งเธอได้รับจดหมายเชิญให้ไปแสดงเสียงกรีดร้องที่เลื่องลือนั้น ในงานชุมนุมของแฟนคลับหนังสัตว์ประหลาดใกล้บ้าน นี่ล่ะคือสิ่งที่จะช่วยดันให้เธอกลับสู่แสงไฟอีกครั้ง
แต่ปัญหาก็คือ เสียงกรีดร้องที่เคยสร้างชื่อให้เธอนั้น ในตอนนี้กลับฟังดูธรรมดาและจืดชืด บาร์บาร่าจึงขอให้ริค แฟนคลับและแฟนหนุ่มของเธอในตอนนั้นมาช่วยดูให้ ซ้ำร้าย สเวน พ่อของเธอถูกเลื่อยไม้บาดมือเป็นแผลลึกจนต้องไปโรงพยาบาล ทำให้เธอต้องรับภาระในการดูแลน้องชายคนอื่นๆ นั่นเท่ากับเธอไม่สามารถเดินทางไปร่วมงานชุมนุมได้ เป็นการปิดตายอาชีพของเธอชัดๆ
ขณะที่เธอกำลังระบายความหงุดหงิดอยู่กับริคนั่นเอง ก็มีเสียงบางอย่างดังโครมครามมาจากห้องใต้ดิน.. ที่ไม่สมควรจะมีใครอยู่
วิทยุดังขึ้นมาอย่างรู้งาน เล่าว่าขณะนี้มีแก๊งอันธพาลสวมหน้ากากออกอาละวาดสร้างความหวาดผวาอยู่ในพื้นที่ ตำรวจแนะนำให้ทุกคนล็อคประตูหน้าต่างให้ดี
ริคอาสาที่จะลงไปดูความเรียบร้อยให้ แม้เขาจะขาหักอยู่ก็ตาม บาร์บาร่าบอกที่ซ่อนกุญแจห้องใต้ดินให้กับเขาก่อนจะปล่อยให้เขาลงไปข้างล่าง แต่เมื่อยี่สิบนาทีผ่านไป ริคก็ยังไม่กลับขึ้นมา พยายามเงี่ยหูฟังก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร บาร์บาร่าจึงตัดสินใจลงไปตามหาเขา
ข้างล่างนั่น สิ่งแรกที่เธอเห็นคือไม้ค้ำข้างหนึ่งของเขาที่ตกอยู่กับพื้น ใจเธอคิดเตลิดไปถึงไหนๆ บาร์บาร่าคว้ามันขึ้นมาใช้ต่างอาวุธทันที บาร์บาร่าเดินลึกเข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดสายตาของเธอก็หยุดอยู่กับเจ้าตู้เย็นเก่าที่ตั้งไว้สุดทางเดิน
มันขยับไปมาอย่างผิดธรรมชาติ ก่อนจะแน่นิ่งไป
บาร์บาร่าฝืนความกลัว กำไม้ในมือแน่น ขยับเข้าไปแล้วค่อยๆ เอื้อมมือเข้าไปหาบานจับ แต่ก่อนที่เธอจะได้แตะ ประตูตู้เย็นก็ดีดผาง แล้วชายในหน้ากากสัตว์ประหลาดก็กระโจนพรวดออกมา คำรามลั่น
เธอฟาดเลยฟาดมันเสียหน้ากากหลุด
เป็นริคนั่นเอง เขาตั้งใจว่าหากสามารถหลอกให้เธอกลัวจนหวีดร้องออกมาได้ นั่นอาจทำให้เสียงกรีดร้องเก่าของเธอกลับมา แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้ผล ริคถูกไล่ออกไปพร้อมไม้ค้ำข้างที่เหลือของเขา
ส่วนอีกข้างของมันนั้น บาร์บาร่ายังกำไว้แน่น กระทั่งตอนที่เธอเผลอหลับไปตอนดูภาพยนต์ เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ ด้วยเสียงกรีดร้องของวอลเตอร์ น้องชายของเธอที่อยู่ชั้นบน แต่เมื่อบาร์บาร่าขึ้นไปถึงห้องเจ้าตัว เธอกลับพบแค่เตียงเปล่าๆ ของวอลเตอร์ กับวิทยุที่กำลังรายงานข่าวต่อเนื่อง
–ตำรวจประจำออร์ก้าไอส์แลนด์ระบุว่าผู้ต้องสงสัยเป็นชายสูง 6 ฟีต มีมือเป็นตะขอโลหะ และขอเตือนให้ประชาชนล็อคประตูหน้าต่างให้ดี หากมีพบบุคคลหรือเหตุน่าสงสัย ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ–
บาร์บาร่าหันขวับไปทันทีที่ได้ยินเสียงไม้ลั่น และเจอเข้ากับชายมือตะขออย่างจัง
เขาพยายามเช้าทำร้ายเธอ แต่บาร์บาร่าใช้ไม้ค้ำของริคกันไว้ เธอผลักเขาออกแล้วรีบปิดล็อคประตู ชายมือตะขอพยายามทุบประตูเข้ามาให้ได้ บาร์บาร่าจึงมองหาทางออกอื่น จนในที่สุดเธอก็พบช่องทางลับจากห้องของวอลเตอร์ไปยังห้องของมอลลี่ เธอรีบใช้มันคลานหลบหนีออกจากห้องนั้นทันที
แม้จะอยากหนีออกไป แต่บาร์บาร่าไม่สามารถทิ้งวอลเตอร์ น้องชายของเธอไว้ได้ เธอจึงค่อยๆ แง้มประตูห้องของมอลลี่ ย่องไปด้านหลังชายมือตะขอ แล้วฟาดเขาอย่างจัง จนร่างนั้นเสียหลัก หงายหลังตกบันไดไป
บาร์บาร่ามองเขาแน่นิ่งอยู่กับพื้น แต่เธอคิดว่ามันยังไม่จบลงแค่นั้น เธอจึงเดินลงมาดูให้เห็นกับตา แต่เมื่อเธอเดินวนบันไดลงมา ร่างชายมือตะขอก็หายไปจากตรงนั้นเสียแล้ว และก่อนที่เธอจะได้ทำอะไร เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น
ขณะที่เธอเอื้อมไปเปิดประตู เธอก็ได้ยินเสียงบางอย่าง เสียงกระซิบของคนที่ดังมาจากในบ้านของเธอ
เป็นพวกสัตว์ประหลาดนั่นเอง เหล่าแฟนๆ ของเธอที่แห่กันมาเพื่อชื่นชมเธอ นี่มันไม่ต่างอะไรกับฝันที่เป็นจริงของบาร์บาร่าเลย โดยเฉพาะเมื่อเธอเห็นดวงตาที่ลุกวาวและฟันที่แหลมคมผิดมนุษย์ของพวกเขา
เธอจะต้องโด่งดังแน่ๆ
และในลมหายใจเฮือกสุดท้าย บาร์บาร่าก็กรีดร้องออกมาสุดเสียงอย่างงดงามที่สุด
ตำรวจโทษว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของริค ผู้หายตัวไปในคืนนั้นพอดี
สิ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่ของเธอ คือใบหูเปื้อนเลือดที่อยู่ในกล่องดนตรีเท่านั้น
บาร์บาร่าฟินช์ เสียชีวิตในปี 1960
เธออายุ 16 ปี ในตอนนั้น
คลาวินและแซม เป็นฝาแฝด ทั้งเหมือนและแตกต่างกัน แซมหลงใหลในทหาร ขณะที่คลาวินนั้นชื่นชอบดาราศาสตร์และอวกาศ ฝาแฝดอาศัยอยู่ในห้องเดียวกันมาตั้งแต่เด็ก เรียกว่าตื่นมาก็เจอหน้ากันมาตลอด
จนกระทั่งอุบัติเหตุในวันนั้น
เทียบระหว่างทั้งคู่แล้ว คลาวินเป็นเด็กที่ซุกซนกว่ามาแต่ไหนแต่ไร กล้ากว่า เป็นคนประเภทที่เมื่อพูดอะไรแล้วจะทำตามนั้นให้ได้ แซมเองก็ยอมรับเขาในจุดนี้
‘พี่ชายของผมบอกว่าเขาจะไม่มีทางกินเห็ดไปจนวันตาย และเขาก็ทำตามนั้นจริงๆ’
- แซม ฟินช์ เขียนในเรียงความที่เขาเขียนเกี่ยวกับพี่ชาย
ในวันนั้น หลังงานศพของบาร์บาร่าไปไม่นาน คลาวินกำลังเล่นชิงช้าบนหน้าผาใกล้ตัวบ้าน เขาแกว่งมันแรงขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกำลังรับคำท้าของแซม ที่เคยบอกเขาว่าจะหมุนให้แกว่งขึ้นไปพันรอบน่ะเป็นไปไม่ได้ คลาวินไม่ได้สนใจแม่เมื่อหล่อนเรียกเขากินข้าว เขาแค่ส่งตัวไปตามชิงช้า ให้มันหมุนแรงขึ้น แรงขึ้น
จนในที่สุด อาจจะด้วยความจงใจ ด้วยอุบัติเหตุ หรือเพราะลมที่แรงจัดในวันนั้น
ชิงช้าที่หมุนครบรอบเต็มแรง ก็ส่งร่างของคลาวินลอยออกจากหน้าผาไป
คลาวิน ฟินช์ เสียชีวิตในปี 1961
เด็กชายมีอายุ 11 ปี ในตอนนั้น
หลังการตายของคลาวิน แซมใช้เวลา 7 ปีต่อมาในห้องนอนที่เขากับคลาวินเคยอยู่ร่วมกัน ก่อนจะเข้าเกณฑ์ทหารในทันทีที่เขาอายุถึง ตามคำสาบานที่ให้ไว้กับฝาแฝดของเขา แซมดูไม่หวาดกลัวความตายเสียเท่าไหร่
สเวน, สามีของอีดิธ เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เขาพลัดตกลงมาระหว่างการสร้างสไลด์เดอร์มังกรให้กับวอลเตอร์
ส่วนวอลเตอร์ ผู้ที่สะเทือนใจจากการตายของคนในครอบครัว หวาดกลัวทุกอย่างจนหนีลงไปอยู่ในบังเกอร์ใต้ดินใต้บ้านแทน
สุสานของครอบครัวถูกสร้างขึ้นใกล้กับรูปปั้นของโอดิน โดยมี อีดิธเป็นผู้ออกแบบมันเองกับมือ ห้องต่างๆ ของลูกๆ ผู้จากไปถูกปิดและเก็บรักษาไว้ในสภาพเดิม ราวกับว่าพวกเขายังไม่จากไปไหน
ทุกอย่างเหมือนจะจบลง ไม่มีใครตายเพิ่มอีก จนกระทั่งแซมแต่งงาน และมีลูกสามคน ลูกสาวชื่อดอว์น และลูกชายกัส กับเกร็กเกอรี่ตามลำดับ
ปลุกให้คำสาปตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
เกร็กเกอรี่เป็นลูกชายคนสุดท้อง และเป็นช่วงที่ความสัมพันธ์ของแซม กับเคย์ ภรรยาของเขา กำลังอยู่ในขั้นเลวร้ายอย่างที่สุด พวกเขากำลังจะหย่ากัน
เด็กน้อยไม่รู้เรื่องหรอก ถึงน้ำเสียงแข็งกร้าวคุณอาจสังเกตได้ตอนที่แม่ของเขาใช้เมื่อลุกออกไปคุยโทรศัพท์กับแซม สิ่งที่เขาสนใจในวันนั้นคือของเล่นในอ่างอาบน้ำที่ดูจะขยับตามเขาได้อย่างกับมีชีวิต ระดับน้ำในอ่างที่เขาถูกทิ้งเอาไว้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขากังวลเช่นกัน มันสนุกเสียอีก เมื่อทุกอย่างจมลงไปใต้น้ำ รวมถึงตัวเขาเองด้วย
เกร็กเกอรี่ ฟินช์ เสียชีวิตในปี 1977
เด็กชายที่น่าสงสารอายุเพียงขวบเดียวเท่านั้น
แซมและเคย์หย่ากันหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น
เมื่อแซมประกาศว่าเขาจะแต่งงานใหม่ กัสต่อต้านเรื่องนั้นชนิดหัวชนฝา แต่ใช่ว่าเขาเป็นเด็กดีเชื่อฟังมาแต่ไหนแต่ไร นั่นทำให้แซมไม่ได้สนใจอะไรกับการประท้วงของเขานัก
งานแต่งงานครั้งที่สองของแซมจัดขึ้นบนหาดไม่ไกลจากตัวบ้าน กัสไม่ยอมเขาร่วมงาน เขากลับไปยืนเล่นว่าวสร้างความรำคาญอยู่ไม่ไกลไปจากนั้น พูดอย่างไรเขาก็ไม่ยอมเลิกจนพ่อของเขาเหนื่อยจะสนใจ
และแม้ลมจะแรงขึ้นจนแขกทั้งหลายเริ่มทยอยเข้าไปในที่ร่ม กัสก็ยังยืนอยู่ตรงนั้น
และแม้พายุฝนจะเริ่มตั้งเค้า ท้องฟ้าร้องคำรามพร้อมสายฟ้าที่แล่นปราบ กัสก็ยังยืนอยู่ตรงนั้น
เขายืนอยู่ตรงนั้น ท่ามกลางพายุและน้ำทะเล จนกระทั่งพายุเริ่มหอบเอาเก้าอี้ โต๊ะ ข้าวของต่างๆ รวมทั้งเต้นท์ที่ใช้จัดงานทั้งหลังขึ้นมาจากพื้น แล้วพุ่งตรงมาหาเขาเต็มแรง
ร่างของเขาถูกพบโดยพ่อและพี่สาวในเวลาต่อมา
กัส ฟินช์ เสียชีวิตในปี 1982
เขาอายุ 13 ปี ในตอนนั้น
หลังปลดประจำการ แซมใช้เวลาไปกับการถ่ายรูปและล่าสัตว์ เขาชอบมันมาตั้งแต่เด็ก เป็นกิจกรรมที่เขา คลาวิน และพ่อได้ใช้เวลาร่วมกัน แซมจึงตั้งใจที่จะพาดอว์น ลูกสาวคนโตของตนมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมนี้ด้วย
ในวันหยุดสุดสัปดาห์วันหนึ่ง แซมก็ตัดสินในที่จะพาดอว์น (ผู้ไม่มีท่าทีสนใจซักกะนิด) ออกไปล่าสัตว์กับเขาที่อุทธยานโอดิน ฟินช์ แซมได้ใช้เวลาพูดคุยไปกับลูกสาวสมใจอยาก และยิ่งไปกว่านั้น ดอว์นยังทันเห็นกวางระหว่างถ่ายรูปอีกด้วย
แซมไม่พลาดโอกาสที่จะให้ดอว์นได้ทดลองยิงปืนไป
หลังกวางถูกยิงล้ม แซมนำขาตั้งกล้องมาเตรียมถ่ายรูปรางวัลการล่าครั้งแรกของลูกสาว ต่างกับดอว์นที่ได้แต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นกับร่างของกวาง
แต่เมื่อแซมยึดเขาของกวางขึ้น ยกหัวให้มันหันหน้าไปทางกล้อง เจ้ากวางกลับสะบัดหัวของมันอย่างแรง ส่งเเซมที่ไม่ทันตั้งตัวหงายหลังตกหน้าผาไปต่อหน้าต่อตาดอว์น
แซม ฟินช์ เสียชีวิตในปี 1983
เขาอายุ 33 ปีในขณะนั้น
หลังการเสียชีวิตของแซม อาจจะเพราะเผชชิญกับความสูญเสียมาเหมือนกัน อีดิธและดอว์นต่างก็สนิทกันมากขึ้น
เพื่อรับมือกับการสูญเสียของพ่อและเหล่าน้องชาย ดอว์นใช้ศาสนาและความเชื่อต่างๆ เป็นที่พึ่งทางใจ และเมื่อเธอเรียนจบ เธอก็ได้ไปร่วมเป็นอาสาสมัครเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เดินทางออกจากบ้านไปไกลถึงฝั่งหนึ่งของโลกอย่างอินเดีย ที่ๆ เธอได้พบกับซานเจย์ แฟนหนุ่ม และสามีของเธอในเวลาต่อมา
แต่ไม่นานหลังจากนั้น ซานเจย์ก็เสียชีวิต ดอว์นจึงตัดสินใจพาลูกๆ ทั้งสามของเธอ ลิวอิส มิลตัน และอีดิธจูเนียร์กลับมาที่บ้านฟินช์ อีดิธดีใจอย่างที่สุด ให้การต้อนรับเหล่าหลานๆ ของเธอเป็นอย่างดี บ้านของงฟินช์ถูกขยายออกเพื่อรองรับสมาชิกใหม่ที่กลับมา
ดอว์นใช้เวลาหลังจากนั้นในการเขียนหนังสือขาย และสอนลูกๆ ของเธออยู่กับบ้าน อีกครั้งหนึ่งที่ทุกอย่างเหมือนจะเป็นไปด้วยดี จนกระทั่งอีดี้สร้างปราสาทให้กับมิลตัน หลานชายของเธอ
แล้วมันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
มิลตัน ลูกชายคนแรกของดอว์น เป็นจิตกรประเภทที่มีพรสวรรค์ เด็กชายเป็นนักวาดมาแต่เด็ก อีดิธเห่อเขามาก แม้ครอบครัวฟินช์จะมีสมาชิกมากมาย แต่มิลตันเป็นคนแรกที่สนใจในการวาดรูปเหมือนเธอ นั่นทำให้มิลตันได้มีห้องวาดรูปเป็นของตัวเอง
ห้องของมิลตันเป็นเหมือนปราสาทหลังน้อยๆ ที่แยกตัวออกมาจากบ้านที่เกาะกลุ่มทับซ้อนกันของฟินช์ที่เหลือ ภายในเป็นทั้งห้องนอน ห้องแสดงผลงาน และสตูดิโอของเขา มิลตันไม่ต่างอะไรกับเจ้าชายตัวน้อยๆ สำหรับทุกคนเลย
แต่จู่ๆ วันหนึ่ง เขาก็หายไปดื้อๆ
สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงแค่ห้องที่เต็มไปด้วยภาพวาดของเขา และสมุดกรีด (Flipbook) ที่ชื่อว่า’มิลตัน ฟินช์ กับพู่กันมหัศจรรย์’ ซึ่งเป็นการ์ตูนสั้นๆ เกี่ยวกับมิลตันที่กำลังวาดภาพของตนเองอยู่ แล้วจู่ๆ รูปภาพนั้นก็จาม แล้วทำพู่กันตกออกมาจากรูป มิลตันจึงหยิบพู่กันนั้นขึ้นมา แล้วนำมันมาวาดการ์ตูนในสมุดกรีด (สมุดกรีดเซปชั่น) ไปอีก ในนั้นเป็นเรื่องของมิลตันที่ใช้พู่กันวาดเป็นประตูขนาดใหญ่ เมื่อวาดเสร็จ เขาก็เปิดมันออก โค้งคำนับให้ผู้อ่าน แล้วก็เดินหายไปในประตูนั้น
มิลตัน ฟินช์ หายตัวไปในปี 2003
เขาอายุ 11 ปีในขณะนั้น
ดอว์นใช้เวลาพักใหญ่ในการตามหาตัวเขา และแม้จะผ่านการสูญเสียมามาก เธอก็ยังคงเชื่อว่าเขายังมีชีวิตอยู่ หลังจากที่เขาหายตัวไป ดอว์นตัดสินใจปิดผนึกประตูห้องของสมาชิกที่จากไปลง อีดิธตอบโต้ด้วยการเจาะช่องมองเข้าไปในห้อง และติดป้ายไว้ที่หน้าห้องแต่ละห้องเพื่อระลึกถึงพวกเขา
หลังการจากไปของพี่สาวที่เขารับรู้อยู่ด้วย และการจากไปของสมาชิกในครอบครัวที่เหลือ วอลเตอร์ตัดสินใจขังตัวเองไว้ในบังเกอร์ใต้ดินของบ้าน กักตุนเสบียงอาหารทั้งจากที่มีและจากที่แม่ของเขาคอยนำมาให้ อ่านหนังสือและฟังวิทยุ ใช้ชีวิตในแต่ละวันซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในนั้นมาเป็นเวลากว่า 30 ปี จนกลายเป็นที่มาของข่าวลือถึงมนุษย์ตัวตุ่นที่อาศัยอยู่ใต้บ้านของฟินช์ในภายหลัง
วอลเตอร์ใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงเช่นนั้น เขาคิดว่ามีบางสิ่งที่อยู่ข้างนอกนั่น บางสิ่งที่พรากเอามอลลี่, บาร์บาร่า และคลาวินไป เขาเชื่อว่ามันอยู่ในรูปของแรงสั่นสะเทือนบางอย่างที่เกิดขึ้นทุกวันในเวลาเดิมมาตลอด 30 ปี ในตอนแรกมันทำให้เขาแทบคลั่ง แต่ไม่นานนักเขาก็เริ่มจะชินไปกับมัน เกือบจะคุ้นเคย เกือบจะเป็นมิตร
จนกระทั่งวันหนึ่ง มันหยุดลง
มันอาจจะเหนื่อยจะรอแล้ว หรือบางทีผมอาจจะเหนื่อยจะกลัวมันแล้วเหมือนกัน
- วอลเตอร์เขียนไว้ในโน๊ตของเขา
หลังสัตว์ร้ายตัวนั้นเงียบหายไปครบอาทิตย์ วอลเตอร์ก็ไม่คิดจะทนรออีกต่อไป เขาหยิบค้อนขึ้นมา แล้วไต่บันไดลงลึกไปอีก ลงไปยังตรงจุดที่เขารู้ว่าจะสามารถออกไปได้
ในขณะที่เขาเงื้อค้อนแล้วฟาดไปที่กำแพง วอลเตอร์ตัดสินใจแน่แล้ว เขารู้ว่ามันยังไม่หายไปไหน แต่ว่าไม่ว่าอะไรจะรอเขาอยู่ข้างนอกนั่น เขาก็ตัดสินใจที่จะโอบรับมัน ไม่ว่ามันจะหมายความว่าชีวิตของเขาจะอยู่ได้เพียงอีกไม่กี่ปี หรืออาจจะไม่กี่เดือนก็ตาม แม้แต่วันเดียว เขาก็พอใจแล้ว
ผมต้องหยุดใช้ชีวิตวันเดิมซ้ำไปซ้ำมาซักที แม้ว่ามันจะฆ่าผมก็ตาม
นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่เขาทำ วอลเตอร์ทุบกำแพงออกมาที่อุโมงค์หนึ่ง เขากำลังเดินไปตามแสงอาทิตย์แรกที่เขาเห็น ก่อนร่างของเขาจะถูกชนด้วยรถไฟที่วิ่งตามในอุโมงค์
วอลเตอร์ ฟินช์ เสียชีวิตในปี 2005
ขณะนั้นเขาอายุ 53 ปี
ต่างจากฟินช์คนอื่นๆ ที่ดูมีความถนัดเป็นของตนเอง ลิวอิสนั้นเเสนธรรมดา สิ่งเดียวที่เขาภูมิใจคือเลือดอินเดียครึ่งหนึ่งที่เขาได้รับจากพ่อ มันทำให้เขาไม่ใช่แค่ฟินช์อีกคนหนึ่ง
ในตอนวัยรุ่น ลิวอิสได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด แต่หลังเข้ารับการบำบัด ลิวอิสก็ยังคงรู้สึกว่างเปล่า
หลังเรียนจบ ลิวอิสเข้าทำงานในโรงงานปลากระป๋อง รับผิดชอบในการนำปลาที่ถูกส่งมาตามสายพานไปตัดหัวที่ใบมีด แล้วส่งมันเข้าสู่อีกสายพานหนึ่ง งานที่แสนเรียบง่ายและหน้าเบื่อเสียจนหลับตาทำก็ได้ ไม่นานนัก ความเบื่อก็เริ่มเกาะกินเขา หนักเข้าทุกวันๆ จนในที่สุด ขณะที่มือของเขาจับปลาไปสับหัว ใจของลูอิสก็เริ่มลอยไปที่อื่น เริ่มจินตนาการถึงตนเองที่เดินไปตามเขาวงกต เขาวงกตเล็กๆ ที่ค่อยๆ สลับซับซ้อนและชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จากเดินเพียงลำพังก็มีเจ้าหมาน้อยคู่ใจ ไม่นานนักมันก็เริ่มไปไกลขึ้นเรื่อยๆ เขาวงกตกลายเป็นโลกภายนอก กลายเป็นเมืองใหญ่ ทีละนิดทีละน้อย ลิวอิสค่อยๆ หลุดเข้าไปในโลกจินตนาการของเขา
จิตแพทย์ของลิวอิสรู้เรื่องนี้ดี เธอเป็นคนแรกที่สังเกตถึงพฤติกรรมนี้ของเขาด้วยซ้ำ ในตอนแรกเธอก็กังวล แต่หลังพูดคุยกับหัวหน้าเขาแล้วได้ความว่าลิวอิสดูเหมือนกลายเป็นคนใหม่ ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ตั้งใจ มีระเบียบ เธอจึงไม่หยุดเขา ส่งเสริมเขาเสียด้วยซ้ำ เพราะมันดูเป็นไปได้ดีเหลือเกิน ลิวอิสเองก็รู้ดีว่าทุกอย่างเป็นเพียงจินตนาการของเขา แต่ในโลกนั้น เขาเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าพระราชา ผู้พิชิตอาณาจักรทั้งหลาย สำหรับคนที่ไม่เคยมีโอกาสได้อยู่ใต้แสงไฟอย่างเขา นั่นถือว่ามากมายเหลือเกิน
แต่นับวัน ลิวอิสก็ยิ่งห่างไกลออกจากโลกของความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ เขาเริ่มไม่พูดจากับเพื่อนร่วมงาน หรือไม่แม้แต่กับครอบครัว ความคิดที่ว่าลิวอิสตัวจริงนั้นไม่ใช่ลูกจ้างในโรงงานปลากระป๋อง เเต่เป็นชายที่กำลังเหยียบบันไดของปราสาททองคำต่างหากแล่นเข้ามาในหัวเขา “จินตนาการของผมเป็นจริง ไม่ต่างอะไรกับร่างกายของผมเลย” เขาว่าแบบนั้น
ไม่นานนัก เขาก็เริ่มลืนเลือนโลกจริงๆ เขาเจ็บปวดทุกครั้งที่นึกถึงลิวอิสคนที่ทำงานในโรงงานปลากระป๋อง มันก่อตัว กลายเป็นความเกลียดชัง
ในที่สุด ลิวอิสในโลกจินตนาการก็ตัดสินใจที่จะรับมงกุฎ เพื่อขึ้นเป็นราชาในดินแดนแห่งนั้น
เขาเพียงต้องเดินขึ้นไปหาเจ้าหญิงผู้ถือมงกุฎรออยู่
และก้มหัวรับมัน
ลิวอิส ฟินช์ เสีชชีวิตในปี 2010
ชายหนุ่มอายุ 22 ปีในขณะนั้น
จริงๆ แล้วหลังจากมีหลานสาวที่ถูกตั้งชื่อตามเธอ อีดิธก็กลายเป็นอีดี้ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน
หลังงานศพของลิวอิส ดอว์นตัดสินใจว่าเธอจะพาสมาชิกในครอบครัวที่เหลือ คือเธอ อีดิธ และอีดิธจูเนียร์ ออกจากบ้าน อีดิธคัดค้านชนิดหัวชนฝา ซ้ำยังประชดด้วยการดื่มไวน์ผสมไปกับยาซึ่งขัดกับคำเตือนของหมอ นั่นทำให้เธอกับดอว์นมีปากเสียงกันยกใหญ่
อีดี้บอกใบ้หลานสาวของเธอ อีดิธ ให้เข้าไปหาของขวัญที่เธอวางไว้ในห้องสมุด ระหว่างที่เธอถกเถียงกับดอว์นไปด้วย อีดี้รู้ว่าดอว์นกำลังกลัวอะไรอยู่ ทั้งการที่ปิดผนึกห้องทั้งหลายเอย การพยายามจะพาอีดิธออกจากบ้านเลย
อีดิธมีสิทธิ์ที่จะรับรู้เรื่องราวทั้งหมด! อีดี้ว่า
ลูกๆ ของหนูต้องตายเพราะเรื่องพวกนั้นนี่แหละ! ดอว์นสวน เธอตัดสินใจที่จะพาลูกของเธอออกไปในคืนนั้น และให้รถจากบ้านพักคนชรามารับตัวอีดี้ในวันรุ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน ในห้องสมุด อีดิธก็เจอสิ่งที่คุณยายทวดของเธอมอบให้ หนังสือทำมือที่ชื่อว่า ‘ประวัติศาสตร์ครอบครัวฟินช์’
ในนั้น อีดี้เขียนเล่าถึงคืนที่อีดิธเกิด เล่าว่าวันนั้นเป็นวันที่ระดับน้ำต่ำที่สุดในรอบพันปี น้ำได้ลดออกไปไกลแสนไกลจนเธอเห็นบ้านเก่าที่พ่อของเธอนำขึ้นเรือมาจากนอร์เวย์ มันเป็นผลจากแผ่นดินไหวในทะเล
อีดี้ค่อยๆ เดินเข้าหามันไปเรื่อยๆ เธอเกือบจะหลงทางในหมอก เริ่มมองเห็นอะไรที่ไม่น่าจะเห็น แต่ไม่ช้า เธอก็เดินมาถึงซากปรักหักพังของบ้านหลังเก่า แต่เมื่อเธอละสายตาและกลับมาอีกครั้ง มันก็กลับไปเป็นสภาพเดิม เหมือนบ้านหลังที่เธอเคยอาศัยอยู่
ไฟที่หน้าต่างดวงหนึ่งติดขึ้น
แต่ก่อนที่อีดิธจะได้อ่านต่อ แม่ของเธอก็เข้ามาเสียก่อน ทั้งสองยื้อแย่งกันจนสมุดเล่มนั้นขาด
อีดิธถูกแม่พาขึ้นรถ และออกจากบ้านไปในคืนนั้นเอง
เช้าวันต่อมา รถตู้ที่มารับอีดี้แจ้งว่าพวกเขาไม่พบเธอ
อีดี้ ฟินช์ หายตัวไปในปี 2010
ขณะนั้น เธออายุ 97 ปี
หลังจากออกจากบ้าน พวกเธอสองแม่ลูกก็ย้ายไปมาบ่อยๆ เมื่อเหลือเพียงแค่กันและกัน ทั้งคู่ต่างก็พยายามช่วยเหลือกันเท่าที่จะทำได้
แต่ไม่กี่ปีหลังจากนั้น สุขภาพของดอว์นก็ค่อยๆ ย่ำแย่ลงจนอีดิธสังเกตได้ เธอเหมือนจะดีขึ้นมาพักหนึ่ง แต่ก็ทรุดลงอีก
แล้วเธอก็จากไป
เหลือทิ้งไว้แต่อีดิธ ลำพังในโลกใบนี้
ดอว์น ฟินช์ เสียชีวิตในปี 2016
ขณะนั้น เธออายุ 48 ปี
หลังแม่ของเธอเสียชีวิต อีดิธได้รับมรดกมาเป็นกุญแจปริศนา 1 ดอก ไม่มีรายละเอียดอื่นเพิ่มเติมว่ามันคือกุญแจอะไร แต่อีดิธเชื่อว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับบ้านที่เธอจากมาแน่ เธอจึงเดินทางกลับไปที่นั่น
เป็นอย่างที่เธอคิด แม้ประตูทั้งหลายจะถูกล็อกหรือขั้นผนึกเอาไว้ แต่บ้านนี้เต็มไปด้วยทางลับที่สเวนสร้าง กุญแจที่ดอว์นมอบให้เธอใช้เปิดประตูลับจากห้องของวอลเตอร์ไปยังห้องของมอลลี่
และนั่นเป็นครั้งแรก ที่อีดิธผู้รับรู้เรื่องราวของสมาชิกผ่านการบอกเล่าของอีดี้และจากช่องมองบนประตูมาตลอด ได้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ เธอค่อยๆ รับรู้เรื่องราวต่างๆ ของสมาชิกไปทีละคน ทีละคน พร้อมทั้งจดบันทึกมันลงในสมุดของเธอ หลายครั้งที่เธอลังเล ว่าเธอควรจะปล่อยให้เรื่องราวเหล่านี้ตายไปพร้อมกับเธอหรือไม่
บางที เราอาจจะเชื่อในคำสาปนี้มากเสียจนทำให้มันเป็นจริงซะเอง
อีดิธในตอนนั้นกำลังตั้งท้อง เธอจึงตั้งใจว่าจะมอบบันทึกให้ลูกของเธอได้อ่าน ให้เขาได้รับรู้ถึงเรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อทั้งหลายที่เกิดขึ้น
แต่น่าเศร้า อีดิธ ฟินช์ เสียชีวิตจากการคลอดบุตรของเธอในปี 2017
เธออายุได้ 18 ปีในขณะนั้น
คริสโตเฟอร์ คือชื่อลูกชายของเธอ
เขาเดินทางมายังเกาะออร์กาส อันเป็นที่ตั้งของบ้านครอบครัวฟินช์ เพื่อมาเยี่ยมหลุมศพครอบครัวและแม่ของเขา และรับรู้ถึงเรื่องทุกอย่างของครอบครัวผ่านสมุดของแม่ เรื่องราวของจินตนาการ ของความดื้อรั้นและความบ้าคลั่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นที่นี่
แม่ขอโทษที่ไม่ได้อยู่เคียงข้างลูก มันคงมีเรื่องมากมายที่ลูกอยากจะถาม แต่แม่ไม่อยากให้ลูกเสียใจเกี่ยวกับการจากไปของแม่
แม่อยากให้ลูกยินดี ยินดีไปกับโอกาสที่พวกเราแต่ละคนได้รับเพื่อมาถึงจุดนี้
ขอให้ลูกโชคดี
- อีดิธ
และบันทึกของอีดิธ ฟินช์ จะจบลงที่ตรงนั้น
คริสโตเฟอร์ปิดสมุดลง ก่อนจะวางดอกไม้ไว้บนหลุมศพของมารดา
แม้พวกเขาจะจากไปแล้ว แต่เรื่องราวของพวกเขานั้น จะยังมีชีวิตต่อไป
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in