เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Bandtrash's JournalBands for Bandtrash Thailand
ครบรอบ 13 ปี The Black Parade กับเบื้องหลังที่เกือบเป็นจุดจบของ My Chemical Romance
  • วันนี้ The Black Parade ครบรอบ 13 ขวบแล้วค่ะ! เลขอาถรรพ์ซะด้วย แถมอยู่ในเดือนฮาโลวีน เพราะฉะนั้นในปีนี้เราจะมาเล่าเรื่องสยองกันค่ะ

     นั่นก็คือ... อัลบั้มนี้อายุถึงวัยรุ่นแล้วนะคะ ถ้ายังจะกลัววัยรุ่นอยู่ก็คงต้องกลัวตัวเองแล้วล่ะ! กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด #ไม่ใช่ 

    มาค่ะ เอาจริงๆ เราจะมาเล่าเรื่องดาร์กๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการเขียนอัลบั้มนี้กัน อัลบั้ม The Black Parade เป็นคอนเซ็ปต์อัลบั้มที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความตาย แต่จริงๆ แล้วกว่าจะเสร็จอัลบั้มนี้ My Chemical Romance ก็เกือบจะตายเอาเหมือนกัน

     

    อ่ะ มาเริ่มกันดีกว่า

     ในเดือนเมษายน ปี 2006 My Chemical Romance เพิ่งเสร็จทัวร์อัลบั้ม Three Cheers for Sweet Revenge ที่ยุโรป พวกเขาไม่ได้กลับบ้านที่นิวเจอร์ซีย์ แต่ว่าไปแอลเอต่อเพื่ออัดอัลบั้มต่อไป ซึ่งเราจะรู้จักกันในเวลาต่อมาในชื่อ The Black Parade ซึ่งอัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มที่เขียนเพลงและทำเดโมกันในคฤหาสถ์ที่ว่ากันว่ามีผีสิงอยู่ คฤหาสถ์ที่ว่ามีชื่อว่า แคนฟีลด์-โมเรโน (Canfield-Moreno) เป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อว่าคฤหาสถ์พารามอร์ (Paramour ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับวง Paramore แต่อย่างใด) คฤหาสถ์หลังนี้ตั้งอยู่แถวซิลเวอร์เลค (Silver Lake) อยู่นอกเมืองแอลเอไปหน่อย โดยตัวคฤหาสถ์อยู่บนภูเขาพอดี เลยทำให้มองออกมาเห็นวิวของแอลเอได้ ก่อนหน้านี้เคยเป็นบ้านของดาราหนังเงียบชื่อแอนโทนิโอ โมเรโน (Antonio Moreno) กับภรรยา เดซีย์ แคนฟิลด์-ดานซิเกอร์ (Daisy Canfield-Danziger) สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1923 ซึ่งถือว่าเป็นบ้านหรูทีเดียว ตามประสาเจ้าของที่เป็นไฮโซอยู่แล้ว แต่สุดท้ายบ้านก็โดนทิ้งร้างไม่กี่สิบปีหลังจากนั้นหลังจากทั้งคู่หย่ากันและฝ่ายหญิงประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ในฮอลลีวู้ดเขาลือกันว่าตัวเดซีย์ยังสิงอยู่ในบ้านหลังนั้น ส่วนบ้านก็โดนเปลี่ยนมือไปเป็นสำนักชีกับโรงเรียนประจำสำหรับเด็กผู้หญิงที่มีปัญหา ก่อนจะโดนทิ้งร้างจนได้รับการซ่อมแซมอีกทีปี 1980 หลังจากนั้นบ้านก็เปิดเป็นสถานที่ให้เช่าถ่ายหนัง อัดเพลง รวมถึงเป็นสถานที่จัดงานแต่งงาน (ซึ่งเราอาจจะเคยเห็นบ้านหลังนี้ผ่านๆ ตามาบ้าง จากหนังเรื่อง Scream 3 ฉากที่นางเอกยืนอยู่ริมสระว่ายน้ำและฉากที่โดนฆาตกรไล่ล่า นอกจากนี้ก็มีวง Papa Roach ที่มาอัดเพลงก่อนหน้า MCR ไม่นาน แถมยังเอาชื่อของบ้านไปตั้งเป็นชื่ออัลบั้มด้วย) 

     



     การมาอยู่ที่คฤหาสถ์พารามอร์ เหมือนเป็นการมาเข้าค่ายเก็บตัวสำหรับทำเพลงของมายเคมิคอลโรแมนซ์ บ้านหลังใหญ่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตในการติดต่อกับโลกภายนอก สมาชิกทุกคนมีห้องนอนเป็นของตัวเอง เลือกจากการจับฉลาก ซึ่งบ็อบ ไบรอาร์ (Bob Bryar) มือกลองของวงเล่าว่าพวกเขาใช้วิธีเขียนเลขห้องลงในกระดาษ พับไว้บนเตียงแล้วจับแบบสุ่มๆ บ็อบได้ห้องเบอร์หนึ่ง คือห้องห้องเดียวที่อยู่ชั้นล่าง ส่วนคนอื่นได้ห้องอยู่ที่ชั้นสอง และมีห้องนั่งเล่นเซ็ตไว้เป็นที่เขียนเพลงและทำเดโม นอกจากนี้ยังมีห้องอาหารที่ทั้งห้าคนกินอาหารเช้าร่วมกัน ซึ่งบ็อบเรียกว่าเหมือน “มื้อเช้าของครอบครัว” ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่วงจะสามารถทุ่มเทไปกับการเขียนอัลบั้มทั้งสิ้น 



    ทุกคนทำงานอยู่ในความกดดัน การที่ Three Cheers for Sweet Revenge ดังเป็นพลุแตกก็เหมือนเป็นสัญญาณบอกกลายๆ ว่าอัลบั้มต่อไปจำเป็นต้องดีกว่าเดิม ก่อนที่จะย้ายเข้ามาที่คฤหาสน์นั้น พวกเขาเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่ด้วยกัน ซึ่งเจอราร์ด เวย์ (Gerard Way) ฟรอนต์แมนของวงก็เริ่มแสดงอาการออกมาตั้งแต่ตอนนั้น เขาเริ่มร่างคอนเซ็ปต์ของอัลบั้มต่อไป ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับความตาย การทำใจกับความสูญเสียและความพยายามในการอยู่ต่อไป ในตอนนั้นเองที่คนในวงสังเกตเห็นว่าเจอราร์ดกำลังหมกมุ่นกับคอนเซ็ปต์ต่างๆของอัลบั้มต่อไปมากไปจนมันทำร้ายตัวเขาเอง ซึ่งเจอราร์ดเองก็ยอมรับในภายหลังว่าเขาเหมือนติดอยู่ในหัว อยู่ในความคิดตัวเอง ไม่สามารถออกไปไหนได้ เขาอินกับคอนเซ็ปต์ของ The Black Parade จนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของมัน มีเพลงตั้งมากมายที่เขียนขึ้นมาในช่วงนั้นแต่โดนตัดทิ้งไปเพราะเขาคิดว่ามันไม่ดีพอหรือไม่ตรงกับคอนเซ็ปต์ ซึ่งเราจะเห็นได้จากการที่ซิงเกิ้ลต่างๆของ The Black Parade มีเพลงแถมเป็นบี-ไซด์เยอะมากๆ เช่น Kill All Your Friends และ Heaven Help Us นี่ยังไม่นับว่าเหลือเพลงเป็นเดโมพอที่ค่ายเอามาใส่เพิ่มในอัลบั้มฉลองสิบปีของ The Black Parade (Living With Ghosts) ในปี 2016 ได้อีก อีกทั้งบางเพลงก็กระจายไปอยู่ในอีพี Conventional Weapon  

    การเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนั้นก็มีเรื่องแปลกๆที่ทำให้สุขภาพจิตของคนในวงซึ่งก็ไม่ดีอยู่แล้วดันหนักขึ้น ทั้งประตูเปิดปิดเอง หรือพอตอนที่ทางวงจะจัดพื้นที่สำหรับเล่นดนตรีก็เพิ่งเห็นว่าพอเอานาฬิกาที่ตั้งบังขอบข้างล่างของรูปออก รูปวาดเทวดาที่ติดอยู่เหนือเตาผิงจริงๆแล้วมีมือเหมือนกรงเล็บของปีศาจจับที่ข้อเท้าอยู่ รวมถึงสมาชิกแต่ละคนต้องเจออะไรแปลกๆ ต่างกัน บ็อบบอกว่าอ่างในห้องน้ำที่อยู่ในห้องนอนของเขาจะมีน้ำเต็มเองทั้งๆ ที่เจ้าตัวไม่ได้ไปยุ่งเลย ซึ่งไม่ว่าจะเช็คดูก๊อกยังไงก็ไม่เห็นว่าจะมีน้ำรั่วเลยซักนิด ห้องนอนของแฟรงค์ ไอเอโร (Frank Iero) มีประวัติว่าคนที่เคยเข้ามาอยู่เจออะไรบางอย่างในห้องจนอยู่ไม่ได้ ส่วนเรย์ โทโร (Ray Toro) ก็มีบ็อบไปเจอในสภาพยืนช็อคอยู่ในห้องพร้อมแปรงสีฟันคาปาก โดยเจ้าตัวบอกว่าก่อนหน้านี้เห็นผู้หญิงชุดขาวเดินผ่านหน้าห้องไป เจอราร์ดเองก็มีช่วงที่เหมือนโดนผีอำ นอนๆ อยู่ตอนกลางคืนแล้วฝันร้าย พอสะดุ้งตื่นก็เหมือนโดนใครบีบคออยู่ ซึ่งต่อมาเจ้าตัวก็เอาประสบการณ์มาใส่ในเพลง Sleep 
    “Like last night, they're not like tremors, they're worse than tremors. They're these terrors and it's like it feels like as if somebody was gripping my throat and squeezing. Sometimes I see flames and sometimes I see people that I love dying and it's always... And I can't... I can't ever wake up."
     แต่คนที่โดนหนักสุดน่าจะเป็นไมค์กี้ เวย์ (Mikey Way) มือเบสของวง และน้องชายของเจอราร์ด 

    ไมค์กี้... เจอผี แถมเจ้าตัวยังได้ห้องนอนที่แปลกกว่าชาวบ้าน คือเป็นห้องที่มีไฟอยู่แค่ดวงเดียวตรงกลางห้องแล้วดันเป็นสีฟ้าด้วย (ซึ่งทุกคนเรียกว่า Blue Room) มันทำให้บรรยากาศในห้องที่ชวนจิตตกอยู่แล้วยิ่งจิตตกไปอีก จนกระตุ้นโรคซึมเศร้าที่ไมค์กี้เป็นอยู่แล้ว (ซึ่งบ้านเวย์เป็นกันทั้งพี่ทั้งน้อง จนเจ้าตัวคิดว่าเป็นกรรมพันธุ์) จนถึงขนาดที่บางคืนไมค์กี้ต้องหนีไปนอนห้องเจอราร์ดแทนและด้วยความที่บ้านมันไม่มีสัญญาณโทรศัพท์หรืออินเตอร์เน็ตบวกกับด้วยความที่ไมค์กี้ยังไม่ขับรถตอนนั้นมันเลยทำให้เจ้าตัวรู้สึกเหมือนติดอยู่ในบ้านหลังนั้น ไม่มีทางหนีออกไปเปลี่ยนบรรยากาศได้เลย 



    สุดท้ายจุดแตกหักก็มาถึง ที่ไมค์กี้รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถอยู่ที่นั่นได้อีกต่อไป “ผมรู้สึกว่าผมต้องออกจากวงไม่ก็ออกจากโลกนี้ไปเลย” ไมค์กี้บอก เขาอาการหนักจนสุดท้ายต้องออกจากวง โดยทนายประจำวง สเตซี ฟาสส์ (Stacy Fass) ต้องมาพาออกจากบ้านหลังนั้นไปอยู่ด้วยในแอลเอแล้วนัดจิตแพทย์ให้ ไมค์กี้อยู่ในจุดที่เกือบจะต้องแอดมิทเข้าโรงพยาบาล 

    เมื่อไม่มีไมค์กี้ การทำเพลงก็หยุดชะงัก จนหลายคนในวงอดโมโหไมค์กี้ไม่ได้ เช่นเรย์ เขาไม่เข้าใจว่างานก็แทบจะไม่รอดกันแล้ว ทำไมคนคนหนึ่งถึงต้องมามีปัญหาส่วนตัวหนักจนกระทบทั้งวง จนกระทั่งวันหนึ่งที่เจอราร์ดนั่งลงกับเรย์และขอให้เขาลองเล่นเพลงออกมา จากเมโลดี้ ก็ตามมาด้วยเนื้อเพลง ที่เจอราร์ดเขียนถึงน้องชาย ประโยคเปิดที่บอกว่ายังไงก็จะยื้อให้น้องอยู่ที่บ้านหลังนี้ไม่ได้ ต้องปล่อยไป กับท่อนบริดจ์ที่เล่าถึงช่วงเวลาที่คนเป็นพี่ตื่นขึ้นมาเจอน้องมานอนอยู่ที่ห้องของเขาเพราะว่ากลัวห้องตัวเองจนอยู่ไม่ได้ ผสมกับท่อนคอรัสที่แสดงความต้องการจะมีชีวิตอยู่ที่เปล่งออกมาจากใจสมาชิกทุกคนในวง 

    “I see you lying next to me
    With words I thought I'd never speak
    Awake and unafraid
    Asleep or dead”
     มันกลายเป็นเพลง Famous Last Word เพลงที่เป็นเหมือนคำประกาศว่าไม่อย่างไรก็ตามก็จะไม่กลัวที่จะยังใช้ชีวิตต่อไป 




     พวกเขาเอามันให้ไมค์กี้ฟัง เจ้าตัวชอบมาก จนยอมกลับเข้าวง  

    เรื่องนี้ทางวงพยายามปกปิดมาเป็นเวลาหลายปี ในสัมภาษณ์ต่างๆ ของวงจะไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้เลย แม้แต่ในแทร็ค My Chemical Romance Welcomes You to The Black Parade ที่ออกมาพิเศษใน iTune ทางวงก็พูดถึงแต่แรงบันดาลในการทำเพลงแต่ละเพลง รวมถึงพูดถึงเรื่องฮาๆ อย่างเช่นที่เรย์ขวัญเสียกับเดโมของ Welcome to the Black Parade ที่อัดกันไว้ก่อนไปขึ้นเครื่องบิน เพราะว่าชื่อเพลงตอนนั้นชื่อ The Five of Us Are Dying ซึ่งดูเป็นลางสังหรณ์อะไรซักอย่าง ไม่เหมาะกับการเดินทางเลยซักนิด หรือเพลง Disenchanted ที่ทุกคนในวงจะไม่ใส่เข้าไปในอัลบั้มแล้ว แต่ไมค์กี้พยายามยื้อไว้เพราะชอบมาก จนถึงขนาดย่องเข้าห้องสมาชิกคนอื่นๆและกระซิบชื่อเพลงใส่หู เผื่อจะเป่าหูทุกคนสำเร็จ แต่ไม่มีการพูดถึงช่วงเวลาจิตตกของคนในวงเลย จนกระทั่งปี 2011 ในการสัมภาษณ์หนึ่งที่ไมค์กี้พูดถึงเรื่องดังกล่าวอย่างเปิดเผย เจอราร์ดออกตัวปกป้องน้องชาย บอกว่ามันไม่ใช่ความผิดของเขา ส่วนเรย์ก็ขอโทษกลางสัมภาษณ์เพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นอีกคนที่กดดันไมค์กี้จนเป็นเรื่องดังกล่าว 

    The Black Parade ทำให้สมาชิกในวงทุกคนตั้งคำถามกับตัวเอง และเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือกัน มันทำให้ทุกคนอยู่ในจุดที่มีปัญหาส่วนตัวกันหมด แต่ต้องเรียนรู้ที่จะผลักปัญหานั้นออกไปเพื่อที่จะช่วยปกป้องคนข้างๆ ที่อาการหนักพอๆ กัน ไมค์กี้กลับมา แต่เจอราร์ดเลิกกับแฟนกลางคันในขณะที่ยังอัดอัลบั้มอยู่ เสียงกรีดร้องใน Famous Last Word ของเจอราร์ด เวย์มาจากความอัดอั้นที่ต้องเสียคนรักที่คบมาหลายปี 

    เจอราร์ด เวย์พบรักและแต่งงานกับลินซีย์ บัลลาโต (Linsey Ballato) มือเบสวง Mindless Self-Indulgence ในปีต่อมา ส่วนอัลบั้ม The Black Parade ดังเป็นพลุแตก 

    พวกเขาผ่านช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุดของวงมาได้ The Black Parade กลายเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่มีอิทธิพลที่สุดในทศวรรษ เรียกเสียงฮือฮาจากสื่อทั้งในแง่บวกและแง่ลบ (และโดนสำนักข่าวสำนักหนึ่งกล่าวหาว่าเป็นการปลุกระดมลัทธิลี้ลับที่นิยมความตาย) มันช่วยชีวิตเด็กวัยรุ่นทั่วโลก ทำให้เกิดซับคัลเจอร์ใหม่ พร้อมเป็นแรงบันดาลใจให้กับวงรุ่นน้องอีกหลายๆวง The Black Parade ทำให้วงได้ออกทัวร์ถึงสองปีเต็ม เล่นไลฟ์เกือบสองร้อยไลฟ์ และเป็นครั้งแรกที่วงได้ไปทัวร์ถึงเอเชีย ปัจจุบันมันมียอดจำหน่ายอยู่ที่สามล้านอัลบั้ม 

    แต่ถึงกระนั้นอาถรรพ์ของ The Black Parade ก็ยังไม่หมดไป และสุขภาพจิตของสมาชิกวงก็ไม่ได้ดีขึ้น  ในการถ่ายทำมิวสิควิดีโอเพลง Famous Last Word สมาชิกในวงได้รับบาดเจ็บ เจอราร์ดข้อเท้าแพลง ส่วนบ็อบโดนไฟไหม้จนเป็นแผลติดเชื้อ (บน: เจอราร์ดข้อเท้าแพลงจนต้องใช้ไม้เท้า, ล่าง: บ็อบติดเชื้อจนหน้าบวมต้องประคบน้ำแข็ง)
    จากนั้น เมื่อได้ออกทัวร์แล้ว การแสดงที่วงต้องใช้พลังงานอย่างหนักในการแสดงเป็นวงสมมุติที่ชื่อ The Black Parade การที่เจอราร์ดต้องอินกับคาแร็คเตอร์นักร้องนำของ The Blck Parade ทำให้เขาหมกมุ่นและติดอยู่แต่ในหัวตัวเอง จนทำให้วงตัดสินใจปิดการทัวร์อัลบั้มนี้ นำไปสู่วลี The Black Parade Is Dead! ในคอนเสิร์ตที่เม็กซิโก ทุกอย่างวนกลับมาที่ลูปเดิมเหมือนตอน Three Cheers for Sweet Revenge มีความคาดหวัง มีความกดดันว่าอัลบั้มต่อไปของวงจะต้องอลังการแบบ The Black Parade แต่ในขณะนั้นเจอราร์ดไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าวงจะเป็นยังไงต่อไป 


    ในสัมภาษณ์ที่ของเขากับ NME เขาสารภาพทีหลังว่าไม่เคยมองว่าหลังจาก The Black Parade วงจะเป็นยังไง แต่เขาเริ่มคิดเรื่องงานเดี่ยวแทน ส่วนในสัมภาษณ์กับ The New York Times เขาสารภาพว่าเริ่มเบื่อความคาดหวังจากสื่อและแฟนๆ ว่าต่อไป My Chemical Romance จะเป็นยังไง และตามคำบอกเล่าของแฟนๆ ที่มีโอกาสได้ดูทัวร์ในยุค The Black Parade ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าช่วงปี 2008-2009 เป็นช่วงที่บรรยากาศในวงไม่ดีเอามากๆ ในสายตาของคนนอกดูเหมือนกับในวงทะเลาะกันอย่างรุนแรง ทุกคอนเสิร์ตเจอราร์ดจะหนีกลับไปขึ้นรถบัสของตัวเอง ซึ่งเป็นรถแยก ไม่นอนรวมกับสมาชิกวงคนอื่น จนแฟนๆ ในตอนนั้นเองก็ใจเสียว่าจะยุบวงเร็วๆ นี้ อีกทั้งยังไม่รวมการเอาเพลง Thgerard waye World Is Ugly มาเล่นสด ซึ่งเจอราร์ดเคยบอกว่าถ้าเล่นเพลงนี้เมื่อไหร่ก็เป็นสัญญาณว่ายุบวงเมื่อนั้น 



    แต่กลายเป็นว่า My Chemical Romance กลับมาในปี 2010 พร้อมกับอัลบั้ม Danger Days ซึ่งทำให้แฟนๆ ดีใจกันมาก จนปัจจุบันหลายคนถึงกับออกปากว่าไม่เสียใจที่วงยุบในปี 2013 เพราะถือว่าอัลบั้ม Danger Days เป็นกำไรหลังจากที่วงดูเหมือนจะยุบตอนก่อนปี 2010 แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังของอัลบั้ม Danger Days ก็คือการต้องแลกมาด้วยมือกลองหนึ่งคนกับสตูดิโออัลบั้มที่โดนพับไปอีกหนึ่งอัลบั้ม 

    เจอราร์ดต้องการหนีเงาของ The Black Parade และไม่ต้องการให้อัลบั้มลำดับที่สี่ของวงออกมาเป็น The Black Parade 2.0 บวกกับเขาเพิ่งได้แรงบันดาลใจในการเขียนอัลบั้มที่เวลาต่อมากลายเป็น Danger Days มันเลยทำให้เขาตัดสินใจทิ้งอัลบั้มนั้น จนมีปัญหาความแนวคิดไม่ตรงกันกับบ็อบจนฝ่ายหลังออกจากวง 

    อัลบั้มที่ถูกพับไปนั้น ภายหลังออกมาเป็นอีพีที่เรียกว่า Conventional Weapon ซึ่งออกมาในปี 2013 ก่อน MCR ยุบวงไม่กี่เดือน ไม่แปลกที่หลายๆ คนได้ฟัง Conventional Weapon แล้วก็บอกว่ามันมีกลิ่นอายของ The Black Parade 


    ฟังดูเรื่องทั้งหมดแล้วก็ดูเหมือนว่า The Black Parade ไม่เคยโอเค.. ตั้งแต่การเริ่มเขียนอัลบั้มไปจนถึงการทัวร์ มันไม่เคยโอเค อัลบั้มที่ว่าเป็นตัวสูบพลังชีวิตของสมาชิกในวงและทำให้พวกเขาเกือบไม่รอดมานับครั้งไม่ถ้วน แต่บางทีอาจจะเป็นเพราะความทุ่มเทจนแทบจะขายวิญญาณให้นั้นที่ทำให้ The Black Parade กลายเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทศวรรษ บางทีอาจจะเป็นการที่วงทุ่มเทจนเหมือนจะชำแหละตัวเองออกมาที่ทำให้ The Black Parade มีเนื้อหาที่จริงใจและกินใจจนสามารถเข้าถึงผู้ฟังได้ จนถึงแม้ว่าจะผ่านมา 13 ปีแล้ว The Black Parade ก็ยังเป็นอัลบั้มในดวงใจของทุกคนมาถึงทุกวันนี้ 

    ปล. เราแนะนำให้ฟัง The World Is Ugly เวอร์ชั่นไลฟ์ค่ะ ฟังแล้วเหมือนใจจะขาด 

    ปล.2 คฤหาสถ์ที่ว่าตอนนี้เปิดเป็นโรงแรมให้เช่านะคะ ใครอยากไปลองก็จองได้ค่ะ บรึ๋ยๆ น่ากลัวสุดน่าจะเป็นราคา คืนละหมื่นห้า https://www.theparamour.com (เราคิดว่าห้องคุณบ็อบแกคือห้องนี้ เพราะเป็นห้องเดียวที่อยู่ชั้นหนึ่ง https://www.theparamour.com/suite-1 หวานมั่ก)

    อ้างอิง: 
    - Bryant, T. (2014). Not the life it seems: the true lives of My Chemical Romance.
    ภาพจาก:
    - https://www.theparamour.com/hotel-gallery.html
    - https://www.venuereport.com/venue/the-paramour/ 
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
patstylez (@patchytah)
โหห ทุ่มสุดตัวกันจริงๆ อ่านแล้วกลัวแทนเลยค่ะ ;-;

ปล. เขียนดีมากๆเลยค่ะ อ่านลื่นไหล สนุกมากเลย เราเพิ่งมาติดตามวงนี้ได้ไม่นาน กำลังศึกษาประวัติวงเลยค่ะ 5555 ขอบคุณมากนะคะที่เรียบเรียงเขียนออกมาให้ได้อ่าน