เรื่องย่อ
ในยุคดาราศกใหม่ที่มนุษย์เปลี่ยนมาอาศัยอยู่ในแปดดาราจักร หลินจิ้งเหิง อดีตพลเอกแห่งสมาพันธ์ดวงดาว หลบหนีจากดาราจักรที่ 1 ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นดาราจักรพัฒนาแล้วจนใกล้เคียงดินแดนในอุดมคติที่สุด ไปแฝงตัวอยู่ในดาราจักรที่ 8 ซึ่งเป็นแหล่งรวม 'ผลผลิตไร้สมบูรณ์' เพื่อสืบเงื่อนงำบางอย่าง แล้วได้พบกับ ลู่ปี้สิง อาจารย์ใหญ่ไฟแรงผู้มีความฝันอยากจะสร้างวิทยาลัยซิงไห่เพื่อเด็กๆ ในดาราจักรทุรกันดาร หลังจากนั้นก็เกิดเหตุไม่คาดฝันมากมายที่ทำให้ทั้งสองจับพลัดจับผลูต้องมาออกเดินทางในอวกาศอันไกลโพ้นด้วยกันพร้อมแบกความหวังของมนุษยชาติไว้บนบ่า
เรื่องราวต่อๆ ไปนั้นเต็มไปด้วยแก่งแย่งชิงอำนาจและเกมการเมืองที่ดุเดือดเข้มข้น มีทั้งการต่อสู้ทั้งอวกาศและบนภาคพื้นดินดาวเพื่อปกป้องรักษาผู้คน สอดแทรกด้วยความรักที่ค่อยๆ ผลิบานและความลับที่ค่อยๆ เผยตัวจากเงามืด โทนเรื่องโดยรวมครบรสมาก จังหวะโบ๊ะบ๊ะคอมเมดี้สไตล์พีต้า ตัดด้วยความขมปี๋สลับกับความอบอุ่นลึกซึ้ง พร้อมโปรยเมสเสจกระตุ้นให้ขบคิด โดยยังรักษาสมดุลของธีมโดยรวมได้เป็นอย่างดี
ตัวละคร
ตัวละครเป็นส่วนที่ดีที่สุดในเรื่องนี้สำหรับเราเลย แน่นอนว่าเชื่อมือพีต้าได้อยู่แล้วในการรังสรรค์ตัวละครที่มีเสน่ห์และสีสันครบรส แต่ว่าสำหรับเราแล้ว ตัวละครในฉานชื่อผิ่นโดยเฉพาะตัวเอกคือเหมือนได้เห็นพีต้าก้าวไปอีกขั้น สามารถสร้างตัวละครและไดนามิกที่แสนจะอิมแพ็คต่อใจออกมาอย่างละเมียดละไม เต็มไปด้วยความใส่ใจในรายละเอียด จนสัมผัสได้ถึงความรักที่มีต่อตัวละครเลยทีเดียว เพราะตัวละครในฉานชื่อผิ่นนิยามได้ด้วยคำว่า 'Lovable' เป็นตัวละครประเภทที่เราจะผูกพัน เอาใจช่วย และร้องไห้ไปด้วยเมื่อตัวละครใจสลาย
ก่อนอื่นต้องขอพูดถึงลู่ปี้สิง พระเอกที่เป็นเหมือน personification of sunshine หรืือแสงแดดในร่างมนุษย์สำหรับเรา T-T อาจารย์ใหญ่ลู่เป็นหนุ่มน้อยสดใสขี้เล่น เต็มไปด้วยพลังงานเหลือล้นและความรักที่พร้อมมอบให้ผู้คนแบบเต็มเปี่ยม เป็นแหล่งพลังบวกและเครื่องผลิตความน่ารักแบบไร้ที่สิ้นสุดจริงๆ i_i แถมยังเก่งและเนิร์ดสุดๆ คุณวิศวกรฮอตเนิร์ดมีอยู่จริง! ปี้สิงชอบทำอะไรให้เรารู้สึกเอ็นดู โดยเฉพาะนิสัยชอบชูหางใหญ่อวดเป็นหมาเด้นพันแข้งพันขาเธอคนเดียว ๕๕๕๕๕ ใครชอบเมะไทป์หมาห้ามพลาด! เพราะเราจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีใครบนโลกที่อ่านเรื่องนี้แล้วไม่ชอบปี้สิงได้ยังไง แก้วตาดวงใจของเราโดยแท้ u__u
นอกจากนี้ กล้าพูดว่า Character development ที่ดีที่สุดที่เราได้อ่านมาจนถึงปัจจุบันคือพัฒนาการของลู่ปี้สิง จากคนที่มองโลกด้วยความสดใสอย่างสุดโต่งสู่คนที่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงมากมายในชีวิต ปี้สิงสำหรับเราคือตัวละครที่ realistic มากๆ เพราะปี้สิงไม่ใช่ตัวละครที่แข็งแกร่งได้ในวันเดียว แต่เป็นคนที่ถูกโชคชะตาบังคับให้ยืนอยู่กึ่งกลางระหว่างทางที่ถูกและทางที่ผิด ระหว่างความเป็นและความตาย ความแข็งแกร่งของปี้สิงได้มาจากการพยายามรีดเค้นทุกหยดในตัวเพื่อไม่ให้แตกสลาย ยิ่งรักปี้สิงมากๆ ก็จะยิ่งบีบหัวใจ แต่ในขณะเดียวกัน การเติบโตของปี้สิงก็เป็น journey ที่สวยงามจนยอมก็ได้ที่จะเสียน้ำตา (จำนวนมาก)
*มีสปอยล์ใหญ่ โปรดข้าม*
ขอเก็บตกอีกเล็กน้อย ;__; ในพาร์ทเล่ม 4-5 เกือบทำเราในฐานะเมนปี้สิงถึงตายจริงๆ นะ T____T น้ำตาพรากตั้งแต่ปี้สิงตื่นมาไม่เหลือใคร มันคือการนอนตื่นเดียวแล้วชีวิตไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปจริงๆ ซึ่งน่ากลัวที่สุดเพราะเกิดขึ้นได้จริงนี่แหละ แล้วสภาพปี้สิงหลังจากนั้นคืออยากบอกพีต้าว่าเอามีดมาแทงเราให้จบๆ เลยเถอะ ทรมานมากกกกก แค่พิมพ์ยังน้ำตาคลอ จากคนที่สดใสอ่อนโยนเหมือนพระอาทิตย์น้อยๆ ของเรา (ฟิลเต้อหนามาก๕๕๕๕) สู่คนที่ไม่คุ้นเคยจนน่าใจหาย ปี้สิงที่ใช้ชีวิตแบบทุกวันคือก้าวที่ยาก แล้วเราเข้าไปกอดปี้สิงไม่ได้ T___T แล้วไอ้ประโยค "เมื่อใดก็ตามที่ลู่ปี้สิงรู้สึกทนไม่ไหว เขาจะใช้มีดกรีดที่มุมโต๊ะหนึ่งรอย" ก็กรีดใจเราตามไปด้วย ตอกย้ำว่าการประคองชีวิตต่อให้ไปตามครรลองที่ถูกต้องโดยเฉพาะยิ่งในฐานะผู้นำ มันหนักหนาสาหัสสำหรับปี้สิงมากจริงๆ นะ ไหนจะ self-harm หรือ signs ต่างๆ ของ depression ที่อ่านไปก็หายใจไม่ออกไป มารู้ตัวว่ารักปี้สิงแค่ไหนก็ตอนนั้นแหละ จากนั้นรู้สึกเหมือนโลกแตกเพล้งตอนที่ปี้สิงบอกว่า ไม่สามารถกลับไปเป็นคนเดิมได้แล้ว u___u น้ำตาแตกซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็เข้าใจมากๆ บางครั้งความเจ็บปวดมันมากเกินกว่าที่เวลาจะเยียวยาจนเราไม่สามารถกลับไปเป็นคนเดิมได้อีก แสดงให้เห็น Character depth หรือความลึกซึ้งของตัวละคร ปี้สิงก็เลยกลายเป็นตัวละครที่มีมิติมากๆ จนพูดได้เลยว่านี่คือการสร้างตัวละครที่สมบูรณ์แบบไม่ว่าจะในแง่ไหนจริงๆ
และเมื่ออ่านจนถึงตอนสุดท้าย ความน่าประทับใจคือการที่ปี้สิงผู้บอกว่าตัวเองไม่สามารถกลับไปเป็นคนเดิมได้ กลับยังเหมือนกับหนุ่มน้อยไฟแรงในวันวานที่สร้างวิทยาลัยซิงไห่ขึ้นมาในสายตาของจิ้งเหิง ช่างเป็นการปิดม่านที่งดงามหมดจดเพราะสุดท้ายตัวละคร (หรือแม้แต่เราทุกคน) ก็ไม่มีทางรู้ว่าอะไรรออยู่ เราอาจจะเจอเหตุการณ์พลิกชีวิตที่ทำให้กลับกลายเป็นคนที่มีประกายในดวงตา มีความฝันหรือแรงจูงใจที่จะมีชีวิตอยู่อีกครั้งก็ได้ หรือจะตีความไปได้ว่า แม้ปี้สิงจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน จิ้งเหิงก็ยังรักเหมือนเดิม ดังนั้นไม่ต้องหวาดกลัวความเปลี่ยนแปลง ซึ่งทั้งสองประเด็นนี้มันทัชใจเราทั้งคู่เลย
*หมดสปอยล์*
ในส่วนของหลินจิ้งเหิง คิดว่าบรรดาชาวแม่แมวทั้งหลายจะมีความสุขมากกับนิสัยเย็นชา ปากร้าย ข่วนเจ็บ (?) ภายนอกสุขุมภายในนิสัยแย่-- หมายถึงเป็นคนที่กำแพงสูง! แต่ก็ช่างหล่อเหลาและเท่เหลือเกินในสนามรบชนิดที่อ่านไปใจสั่นไป u-u จิ้งเหิงเหมือนเสือจริงๆ ตามที่พีต้าบรรยาย มีมุมอ่อนไหวเปราะบางข้างในที่น่าเอ็นดู แต่อ่อนโยนกับหนุ่มน้อยวิศวกรคนนั้นคนเดียวแบบพิเศษใส่ไข่ เรียกได้ว่ารบชนะแต่มาแพ้แค่ไอ้ม๋าเด็กเลยก็ว่าได้ ๕๕๕๕๕๕๕๕๕
ถ้าว่ากันจริงๆ แล้ว จิ้งเหิงมีความซับซ้อนเข้าถึงยากสำหรับเรา ซึ่งก็คงเป็นความตั้งใจของผู้เขียนด้วย เราอาจจะไม่ค่อยเข้าใจแนวคิดแบบทหารที่เชื่อในสมาพันธ์สักเท่าไหร่ ดังนั้นระบบความคิดของจิ้งเหิงกับเราค่อนข้างต่างกัน ทำให้เรารักจิ้งเหิงเหมือนกันแต่อาจจะไม่ได้ม้ากมากเท่าที่เรารักนายเอกบางคนของพีต้า แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าตัวละครนี้จะสร้างมาไม่ดี เราชอบจิ้งเหิงในแง่ของการเติบโต เรียนรู้ และถูกเหตุการณ์ต่างๆ หล่อหลอมให้เข้าใจโลกและตัวเองมากขึ้น จุดนี้ชื่นชมพีต้าที่ร้อยเรียงให้ flaws ต่างๆ นำตัวละครไปสู่ความผิดพลาดพลิกผันที่ทำให้ตัวละครนั้นต้องกลับมา reflect หรือทบทวนตนเองใหม่ สุดท้ายแล้ว จิ้งเหิงสำหรับเราคือคนที่เรียนรู้และปรับตัวอยู่เรื่อยๆ ค่อยๆ เปิดใจ ค่อยๆ ลดกำแพง ค่อยๆ ยอมรับในด้านความเป็นมนุษย์ของตนเอง (สรุปสั้นๆ : คุณหลินเป็นคนซึน!)
และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือเคมีฟ้าประทานของลู่หลิน โอยยยยย อยากก้มลงกราบพีต้ามากๆ ถูกใจพวกเมะหมาเคะแมว, grumpy x sunshine, annoyance to lovers ที่สุดของที่สุด ไดนามิกพ่อหนุ่มฮอตเนิร์ดที่ค่อยๆ หลงรักท่านนายพล ส่วนท่านนายพลเองก็เริ่มแพ้การวอแวชนิดหน้าด้านหน้าทน (?) ของปี้สิงเหมือนกัน ช่วงที่ต่างฝ่ายต่างเริ่มสนใจกันและกันมากกว่าเดิมเป็นช่วงที่เขินจนต้องทุบหมอน เขินจนใจเต้น เขินจนอยากโทรไปกรี๊ดกับพีต้าว่าเขียนออกมาได้ยังไง มันใช่ มันถูกต้อง! ลู่หลินเป็นคู่หลักที่อ่านสนุก อ่านเพลิน ถึงกับยอมอ่านไอ้ส่วนที่เข้าใจยากยาวๆ รวดเดียวเพื่อให้ถึงลู่หลินซีนถัดไป ๕๕๕๕๕๕ แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ความน่ารักกุ๊กกิ๊ก นิยายความยาว 6 เล่มคือเต็มอิ่มกับพัฒนาการความสัมพันธ์ทั้งคู่มากๆ ชอบการได้เห็นทั้งสองพยายามปรับจูนเข้าหากัน และต้องเผชิญหน้ากับคอนฟลิกต์ที่หลากหลายเพื่อจะเคียงข้างกันต่อไป แม้แต่คอนฟลิกต์เรื่องแนวคิดหรือสิ่งที่ให้ความสำคัญ แต่ละบททดสอบล้วนเพิ่มมิติให้กับคู่หลักได้อย่างครบรสชาติ อ่านจนหน้าสุดท้ายแล้วก็รู้สึกได้ว่าลู่หลินเป็นคู่สร้างคู่สมที่ made for each other และ meant to be จริงๆ กลายเป็นบ้านอันแสนอบอุ่นให้แก่กันและกัน และเป็นเหมือนบ้านอันแสนอบอุ่นให้กับเราด้วย
ส่วนตัวละครอื่นๆ ก็มีเสน่ห์น่าจดจำและชวนให้รู้สึกผูกพันเช่นกัน ต้องขอพื้นที่พิเศษในการอวยจ้านหลู น่ารักมากกกกกก น่ารักที่สุด เรารักจ้านหลูในทุกรูปแบบ จะเป็นแขนกลหรือคุณพ่อบ้านเราก็รักทั้งหมด T_T เป็นตัวละครสำคัญที่สร้างสีสันให้กับเรื่องแบบไม่ว่าใครก็ตกหลุมรักแน่ๆ จ้านหลูอิสเดอะเบส อยากขนพู่กองเชียร์ไปโบกมาก อยากเป็นหน่วยชมจ้านหลู ลูบหัวแปะๆ
แต่ด้วยความที่เรื่องนี้แบ่งหลายอาร์ค น่าเศร้าที่ตัวละครอื่นๆ ส่วนมากที่เราชอบจะอยู่แต่ในช่วงแรกๆ เท่านั้น เมื่อไปถึงเล่มหลังๆ ก็รู้สึกว่าความเป็น 'กลุ่มก้อน' และไดนามิกของตัวละครมันจมหายไปตามเรื่องที่สเกลใหญ่ขึ้น และส่วนตัวก็ไม่ได้อินกับความยิ่งใหญ่ของการสละชีพเพื่อคนส่วนมากหรือความเป็นทหารเท่าใดนัก ยิ่งทำให้เราเริ่มรู้สึกห่างเหินกับตัวละครในช่วงท้ายๆ แต่ในภาพรวมก็ยังชื่นชอบตัวละครในเรื่องนี้พอสมควร ทั้งเหยี่ยวตาเดียว แก๊งนักศึกษาตัวแสบรุ่นแรก กองกำลังป้องกันตนเอง สิบหน่วยอารักขาไป๋อิ๋น และอีกมากมาย และอีกจุดที่อยากชื่นชมพีต้าคือการกระจายตอนพิเศษเพื่อให้แสงกับตัวละครอื่นๆ นอกจากคู่หลัก ทำให้รักษาสมดุลในแง่ของบทตัวละครได้ดีมากๆ ใครที่แอบเป็นแฟนคลับคาร์ไหนคือได้สมหวังแน่นอน!
เนื้อเรื่อง
ถ้าพูดถึงฉานชื่อผิ่นแล้ว สิ่งที่ Iconic สุดๆ ก็ต้องเป็น World-building นี่แหละ อลังการงานสร้างมากกกก ไม่รู้ว่าพีต้าเคยไปอวกาศหรืออะไรถึงเขียนได้สมจริงสมจังขนาดนี้ (อวยเว่อร์มาก) น่าจะผ่านการรีเสิร์ชและคลุกคลีกับ Reference มาอย่างหนัก (ถ้าไม่ใช่ก็โหดมาก) แค่ตัวเซ็ตติ้งเองก็มีอะไรให้ทึ่งไม่หยุดแล้ว แต่สรุปย่อๆ คือทุกองค์ประกอบวางโครงสร้างมาอย่างดีมากพร้อมคำอธิบายละเอียดยิบ ใครชอบแนวรบในอวกาศก็จะได้ตื่นเต้นกับยานบัญชาการ อาวุธ จุดวาร์ป การทดลองเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ สวนอีเด็นหรือระบบที่ช่วยตอบสนองความต้องการต่างๆ ของมนุษย์ และอื่นๆ ที่ล้ำยุคซะจนอ่านไปก็สงสัยไปว่าคิดได้ยังไงเนี่ย ๕๕๕๕๕๕๕ เรียกได้ว่าไม่เสียชื่อนิยายไซไฟ
อีกแง่หนึ่งก็ชอบความเป็นโลกเป็นเวิร์สของตัวเองมากๆ โดยเฉพาะระบบแปดดาราจักรที่มีการแบ่งแยกชัดเจน ดาราจักรที่ 1 เหมือนชนชั้นสูง ส่วนดาราจักรที่ 8 คือคนชายขอบที่ถูกทอดทิ้ง แบบทั้ง figuratively และ literally อยู่ชายขอบ เป็นการจับเอาระบบชนชั้นและการกระจายความเจริญในโลกจริงๆ มาขยายใหญ่เป็นดาราจักรต่างๆ ตามสไตล์ของดิสโทเปีย เวลาต้องขายเรื่องนี้ให้มักเกิ้ล เราจะเปรียบเทียบกับ Hunger games ตลอด แต่เป็นในรูปแบบของอวกาศ
แต่ก็มีข้อเสีย (อาจจะสำหรับเราคนเดียว) ที่ส่วนตัวคิดว่าบางช่วงบางจุดก็จินตนาการตามได้ค่อนข้างยากมาก โดยเฉพาะระบบการปกครอง การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมืองต่างๆ ที่อาจจะต้องเป็นคนที่คุ้นเคยกับการอ่านสิ่งเหลานี้ถึงจะปรับตัวได้ไว ด้วยความที่ดีเทลค่อนข้างเยอะ จนเล่ม 6 เรายังกุมหัวงงๆ อยู่เลย Y___Y ฉลาดไม่พอ แต่ในทางกลับกัน ใครที่ชอบอ่านแนวการเมืองและการต่อสู้ทางชนชั้นอยู่แล้วอาจจะยิ่งชอบเลย ขนาดเราอ่านไปงงไปก็ถือว่าทำได้ดีมากๆ
ในแง่ของการดำเนินเรื่อง ค่อนข้างสนุกเลย มีทั้งช่วงที่ติดงอมแงมและช่วงที่อ่านได้แค่ไม่กี่หน้าต่อวันเพราะว่ามีความหนักสมองพอสมควร (จริงๆ ก็คือตั้งแต่เล่ม 5-6 ที่เริ่มรู้สึกว่าเกิดวิกฤติทางการอ่าน Y-Y) มีการแบ่งสัดส่วนที่สมดุลดีระหว่างเนื้อหาคู่หลัก สังคม การเมือง การรบ ปูมหลัง ฯลฯ นานๆ ทีก็มีความหักมุมตื่นเต้น ถือว่าเรื่องโดยรวมไม่หนักไปไม่เบาไป ไม่ได้อ่านยากจนท้อแท้ แต่เชื่อว่าคนที่ไม่ชอบเสพข้อมูลเยอะๆ ก็อาจจะไม่เหมาะกับการอ่านเรื่องนี้
ในแง่ของการผูกปมต่างๆ เรื่องนี้เล่นกับอารมณ์ความรู้สึกของเราได้ค่อนข้างหนักหน่วง เป็นผลมาจากการที่คนเขียนใช้เวลาในการปูเรื่องและ introduce ตัวละครได้ดี เมื่อถึงจุดที่เกิดเหตุการณ์ใหญ่ๆ เราที่ผูกพันกับตัวละครไปมากพอสมควรแล้วก็จะอินตามโดยธรรมชาติ ฉานชื่อผิ่นถือว่าโดดเด่นในการ engage หรือดึงคนอ่านเข้ามาดำดิ่งในเรื่องไปพร้อมๆ กัน
สุดท้ายนี้ จุดที่เรามองว่าเป็น 'จุดแข็ง' จริงๆ ของฉานชื่อผิ่นคือการต่อสู้ของของแนวคิด หรือจะเรียกว่าศึกแห่งศรัทธาก็ได้ จะเห็นได้ว่าพีต้ามีการกระจายประเด็นต่างๆ ในฉานชื่อผิ่นชนิดเทกระจาด ใครอยากจับจุดไหนมาขบคิดก็ได้ทั้งนั้น ที่เราสนใจที่สุดแยกได้คร่าวๆ 3 ประเด็น (เป็นการตีความส่วนบุคคลทั้งสิ้น เน้นถูกใจไม่เน้นถูกต้อง /โดนทุบ แต่เอาจริงๆ ก็มองว่าเป็นปลายเปิดที่ไม่มีผิดมีถูก)
*มีสปอยล์ โปรดข้าม*
1) Twisted Utopia? ดาราจักรไร้สมบูรณ์ที่แท้จริง?
ใครอ่านฉานชื่อผิ่นก็ต้องคิดในใจเหมือนกันหมดว่านี่มันนิยายดิสโทเปียนชัดๆ ๕๕๕๕๕ ซึ่งในแง่หนึ่งมันก็เป็นประเด็นที่พบเจอได้ทั่วไป การหยิบยูโทเปียมาเสียดสีก็ไม่ได้แปลกใหม่ แต่ก็ยังชอบที่เรื่องนี้นำเอาระบบสวนอีเด็นมาเป็นตัวแทนของสังคมยูโทเปีย แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งเดียวกันนี้ก็เป็น Authoritative figure หรืออำนาจเบื้องบนที่มาควบคุมมนุษย์ให้อยู่ในกรอบไปด้วย จะเห็นได้ว่าผู้คนในระบบสวนอีเด็นแทบจะขาดเจตจำนงเสรีและตัวตน ถูกกล่อมให้เชื่อว่าสวนอีเด็นคือสิ่งที่ดี ขาดมันไปจะอยู่ไม่ได้ ดาราจักรที่ 1 คือโลกในอุดมคติ ซึ่งจริงๆ มันลิดรอนอิสรภาพและทำให้ผู้คนไม่รู้จักต่อต้าน เหมือนอยู่ใต้เผด็จการดีๆ นี่เอง
จากประเด็นนี้ทำให้เราเชื่อว่าดาราจักรไร้สมบูรณ์ไม่ได้หมายถึงแค่ดาราจักรที่ 8 แบบตรงตัว แต่ยังหมายถึงโลกในอุดมคติที่ไม่มีจริงและเนื้อแท้คือการกักขังมนุษย์อยู่ในกรอบใดกรอบหนึ่งที่จัดการได้ง่าย สุดท้ายก็ไปเชื่อมกับแนวคิดที่ว่ามนุษย์พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อความสมบูรณ์แบบจนปล่อยให้เทคโนโลยีกลืนกินเรา
2) มนุษย์และจักรกล
สืบเนื่องจากข้อบน แนวคิดนี้ก็เห็นได้จากศึกระหว่างมนุษย์กับจักรกล รวมไปถึงมนุษย์ชิปและมนุษย์ทดลองในโครงการหนี่วาห์เช่นกัน ฉานชื่อผิ่นพยายามบอกเล่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสิ่งประดิษฐ์ตลอดทั้งเรื่องให้เราเห็นความน่ากลัวน่าขนลุกของสังคมที่อยู่ใต้ปัญญาประดิษฐ์ แต่สิ่งหนึ่งที่ชอบมากๆ ในงานพีต้าก็คือการนำเสนอแบบเหรียญมีสองด้าน ถึงเรื่องจะชวนให้รู้สึกสิ้นหวังกับโลกที่มนุษย์ช่างอ่อนแอเล็กจ้อยเหลือเกิน แต่เทคโนโลยีเดียวกันนี้เองที่ทำให้เกิดความเป็นไปได้ไม่รู้จบ โดยเฉพาะการที่โครงการหนี่วาห์ทำให้ปี้สิงมีชีวิตอยู่ต่อได้
เรามองว่าจริงๆ แล้วฉานชื่อผิ่นชักนำให้เราเห็นความสัมพันธ์แบบหยินหยางระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยีที่ไม่สามารถขาดกันได้ไปแล้ว (เพราะแนวคิดแบบสมาคมดิสโทเปียหัวรุนแรงสุดโต่งที่อยากให้มนุษย์กลับไปสู่ยุคโบราณก็ถูกหักล้างในเรื่องเช่นกัน) ดังนั้นจึงเป็นโจทย์ใหญ่ในเรื่อง มนุษย์ต้องหาวิธีอยู่กับมันและใช้ประโยชน์จากมันโดยไม่สิ้นมนุษยชาติไปเสียก่อน
3) Environmentalism และแนวคิดของวัฏจักร
ตอนที่เราอ่านถึงพาร์ทที่โฮปบรรยายแนวคิดต่างๆ เรานึกในใจว่า "นี่มัน Environmentalist movement นี่นา" ตั้งแต่มนุษย์ยึดตนเองเป็นศูนย์กลางโลกไปจนถึงมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ แต่สิ่งที่ทำให้เราแปลกใจคือการที่แนวคิดนี้สามารถผสมผสานเข้ากับเซ็ตติ้งไซไฟโลกอนาคตได้ด้วย! ทั้งที่เรามองว่าเป็นสองสิ่งที่อยู่คนขั้วและมีความขัดแย้งกัน แต่เมื่ออ่านไปเรื่อยๆ เราพบว่า 'ธรรมชาติ' ในที่นี้ถูกแทนด้วย 'จักรวาล' ซึ่งก็ทำให้จุดนี้น่าสนใจขึ้นไปอีก
ครั้งหนึ่งเราเคยได้แตะงานเขียนที่ว่าด้วยการที่มนุษย์และธรรมชาติเชื่อมโยงกันจนแยกจากกันไม่ได้และจะเสื่อมสลายไปพร้อมกัน เรียกได้ว่ามนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติตั้งแต่เกิดจนตาย ซึ่งเหมือนกับการที่จักรวาลและมนุษย์ในแต่ละดาราจักรเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ประโยคที่ว่า "ผู้คนเกิดใหม่จากศรัทธา" ในแง่หนึ่งก็มันก็เชิดชูความเป็นมนุษย์ว่าเมื่อมีความเชื่อมั่นในอะไรสักอย่างอย่างลึกซึ้งจะนำพาการเปลี่ยนแปลงมาได้ (เทียบกับจักรกลที่จะทำเพียงสิ่งที่ตั้งโปรแกรมมาเท่านั้น) แต่ในอีกแง่ก็เน้นย้ำสัจธรรมความเป็นวัฏจักรของการเกิดขึ้นและดับสูญเพื่อเกิดใหม่และการเชื่อมโยงกันของสรรพสิ่งต่างๆ ซึ่งหมายความว่าเราจะอยู่กับจักรวาลนี้เสมอแม้จะเป็นเราในรูปแบบอื่นๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมปี้สิงที่มีโอกาสที่จะปกป้องดาราจักรที่ 8 แบบไม่ให้ภัยเข้าบ้าน ก็ยังเลือกที่จะเสี่ยงตายออกไปสู้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะไม่มีมนุษย์กลุ่มไหนแยกจากกันได้เด็ดขาด สุดท้ายทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล ต่อให้ชั่วชีวิตของปี้สิงไม่ต้องเจอหายนะนี้ ชาวดาราจักรที่ 8 ในอนาคตก็ต้องเจออยู่ดี ปี้สิงจึงปกป้องทั้งปัจจุบันและอนาคตของบ้านเกิดด้วย
สุดท้ายจุดนี้ก็ไปผูกโยงกับประโยคปิดเรื่องที่ว่า "เพราะในร่างของฉันมีธุลีดาวนับไม่ถ้วนที่กระจัดกระจายไปไกลนับหลายปีแสง" และ "ตัวฉันเป็นอมตะ" ซึ่งส่วนตัวตีความว่าเมื่อมนุษย์และจักรวาลถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันจนแยกไม่ออก เราประกอบสร้างขึ้นมาจากธาตุในจักรวาล ตายก็กลับไปสู่จักรวาล ดังนั้นอาจจะไม่มีการสูญสิ้นที่แท้จริง แทนที่ความตายจะเป็นโศกนาฏกรรม เราคิดว่าผู้เขียนพยายามจะสื่อว่าความเชื่อมโยงของเรากับจักรวาลหรือความเชื่อมโยงกันระหว่างผู้คนจะทำให้เราเป็นอมตะ เหมือนที่มนุษยชาติยังคงมีอยู่ต่อไป ศรัทธาก็ยังมีอยู่ต่อไป ถึงจะดับสิ้นก็เกิดขึ้นใหม่ได้ ดังนั้น แก่นแท้ของฉานชื่อผิ่นคือมอบความรักและความหวังให้มนุษย์มากๆ มาโดยตลอด ปลายทางของเร่ื่องนี้ถึงได้ปลอบโยนจิตใจคนอ่านได้ไม่น้อยเลย
*หมดสปอยล์*
ความคิดเห็นส่วนตัว
ช่วงระยะเวลาเป็นเดือนๆ ที่เราอ่านฉานชื่อผิ่น ทำให้เกิดความผูกพันกับเซ็ตติ้งและตัวละครไปโดยไม่รู้ตัวเลย แม้ว่าระหว่างทางจะรู้สึกขรุขระเพราะข้อมูลเยอะสมองรวน อ่านเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ว่าเราชอบภาพรวมของเรื่องมากๆ ตัวละคร ความสัมพันธ์ ธีม เซ็ตติ้ง ปมเรื่อง ไปจนถึงตอนพิเศษ ทุกอย่างมันเสริมกันและกันไปหมด อาจจะไม่ถึงขั้นไร้ที่ติแต่ก็สมบูรณ์ในตัวเองมากจริงๆ ถ้าเราจะชอบฉานชื่อผิ่นน้อยกว่าเรื่องไหนก็เป็นแค่เพราะเราชอบอ่านแนวย้อนยุคมากกว่าแนวไซไฟเท่านั้นเลย และคู่หลัก! เป็นอะไรที่หวานอมขมกลืนแต่ไม่ขมไป ความสัมพันธ์อ่านสนุกน่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ บทสรุปก็ชวนให้รู้สึกอิ่มเอม รักลู่หลินที่สุด U_U
ทั้งนี้ เราไม่คิดว่าฉานชื่อผิ่นจะเหมาะกับทุกคน เพราะเซ็ตติ้งเหมือนหนังไซไฟ คนที่ไม่ชอบก็อาจจะไม่ชอบไปเลย ประเด็นหนักๆ เองก็อาจทำให้รู้สึกหดหู่ได้ แต่ถ้าใครอ่านไหวก็อยากให้เปิดใจเพราะในที่สุดแล้วฉานชื่อผิ่นอาจจะกลายเป็นเรื่องท็อป ๆ ในใจไปเลยก็ได้
สุดท้ายนี้ เป็นผลงานอีกเรื่องที่ทำให้เราชื่นชมพีต้าจริงๆ ที่สามารถเขียนอะไรแบบนี้ขึ้นมาได้ ต้องอ่านเยอะ ศึกษาเยอะ และเข้าใจในสิ่งที่เขียนอย่างลึกซึ้งแค่ไหนนะ ชอบยันประโยคอวยพรจากพีต้าที่ว่า "ขอให้ชีวิตของคุณยิ่งใหญ่ดุจฟ้าพร่างดาว"
ฉานชื่อผิ่นนี่แหละ ฟ้าพร่างดาวของเรา
ilysm.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in