เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ตัวฉันในวันพรุ่งนี้ (Yesterday-Today-Tomorrow)พรี่หนอม
007 : เหตุผลที่ไม่ควรมีเหตุผล?
  • ผมกำโทรศัพท์ในมือแน่น มันยังคงสั่นอยู่พร้อมกับเสียงเรียกเข้าที่คุ้นเคย แต่ผมยืนนิ่งราวกับไม่รู้สึกถึงสิ่งเหล่านั้นแม้แต่น้อย ใจของผมยังสั่นอยู่ เพราะอยากรู้ว่าเธอโทรมาทำไม บอกเลิกเหรอ ไม่น่ะ สถานะในเฟสบุ๊กของเธอมันชัดอยู่แล้วว่าเราเลิกกัน ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครถามถึงเรื่องนี้กับผมตรงๆ แต่มันก็ไม่แปลกอะไร เพราะผมมันคนธรรมดาที่ไม่มีใครสนใจอยู่แล้ว


    สามสิบวินาทีต่อมา โทรศัพท์หยุดสั่นและส่งเสียงร้อง
    ชื่อ “แฟร์” ที่เรียกเข้าอยู่รัวๆ  กลายเป็นเบอร์ที่ผมไม่ได้รับสาย


    เอ๊ะ... หรือว่าเธอกำลังมีเรื่องไม่สบายใจ หมาที่เธอเลี้ยงไว้ตาย หรือเธอขายหน้าในที่ประชุมจนอยากหาใครสักคนเป็นที่ปรึกษา ไม่หรอก เธอคงไม่กล้าโทรมาหาผมแบบนี้ ไม่สิ เอายังไงดีวะ กูควรโทรกลับไปหรือยังไงดี แต่นึกอีกทีก็ไม่ดีหรอกว่ะ


    ผมขอสารภาพกับพวกคุณตรงๆ  ในใจของผมอยากจะโทรกลับไปให้รู้แน่ๆ ว่าเธอเป็นอะไร มีอะไรถึงโทรมาหา แต่อย่างที่ว่าแหละครับ ถ้าโทรไปแล้วมันไม่ใช่อย่างที่คิด เกิดเธอชวนผมไปทำขายตรงขึ้นมาเหมือนที่โฆษณาชอบเอามาล้อเลียน ผมคงต้องกลับมาเป็นคนที่เสียใจอีกครั้ง และชีวิตคงจะกลับไปพังที่จุดเดิมอีกหน


    ผมย้อนนึกไปถึงคำถามของแฟร์ในวันที่เรายังอยู่ด้วยกัน...
    “เก่ารู้ไหมว่า แฟร์รักเก่าตรงไหน”
    “หน้าตาไง เค้าหน้าตาดีใช่ไหมล่ะ”


    “แหยะ หลงตัวเอง ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย”

    “อ้าว แล้วตรงไหนล่ะที่ว่าน่ารัก”

    “เก่าเป็นคนที่ให้อภัยคน แม้ว่าคนๆนั้นจะทำผิดแค่ไหน”

    “โห.. เก่าดูเป็นคนดีขนาดนั้นเลยเหรอ”


    แฟร์ถามคำถามนี้ หลังจากผมหายโกรธที่เธอชอบเห็นคนอื่นสำคัญกว่าผม ผมเคยแอบคิดเหมือนกันว่าผมเป็นคนโง่หรือเปล่า ที่ยอมให้เธอทำแบบนี้กับผมหลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่เธอมาง้อ ผมก็ใจอ่อนทุกที ช่วยไม่ได้นี่นา ก็คนมักรักนี่หว่า


    บางครั้งบางคราว
    ความรักทำให้เรากลายเป็นคนไม่มีค่า


    ผมนึกถึงข้อความที่พ่อเขียนไว้ในสมุดบันทึกเล่มนั้น “การเกิดมาของใครสักคนหนึ่งย่อมมีคุณค่ากับคนอีกคนหนึ่งเสมอ” ในแง่หนึ่ง ผมเคยรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าสำหรับแฟร์ แต่ถ้านึกให้ดี สิ่งที่เธอทำกับผมทั้งหมดนั้น มันคงไม่ใช่คุณค่า แต่มันกลับทำให้ผมไร้ค่ามากกว่าเก่าเสียอีก


    ... ผมเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องนี้จนเผลอหลับไป


    ---


    เช้าวันใหม่มาถึงอีกครั้ง มันเป็นวันที่ผมรู้สึกไม่ค่อยสดใสสักเท่าไร แต่ภารกิจในวันนี้ของผมยังคงไม่ต่างจากเดิม ตื่นสายๆ-หาอะไรกิน-ทำงานเก็บของในบ้านต่อไป


    มาอยู่บ้านพ่อคราวนี้... ผมวางแผนการทำงานอย่างมีวินัย เพื่อที่จะให้มันเสร็จพอดีในวันท้ายๆ จริงๆผมว่า ตอนแรกมันก็เป็นแผนที่เคร่งเครียดอยู่เหมือนกัน เพราะผมกะว่าจะใช้เวลาว่างค้นหาตัวเองไปด้วย

    โชคดีจริงๆ ที่ผมพบเจอตัวช่วยในการค้นหาตัวเองที่ไม่เคยคิดมาก่อน สมุดบันทึกของพ่อเล่มนี้แหละที่จะเป็นเครื่องมือแสนวิเศษช่วยเหลือผมให้ค้นหาตัวเองได้ง่ายขึ้น ผมคิดแบบนั้น และเชื่อมั่นอย่างจริงใจว่ามันต้องใช่แน่ๆ  


    แต่วันนี้พิเศษกว่าเก่าเล็กน้อย ผมมีนัดกับ “จูน” ว่าเราจะไปเดินดูแสงไฟสวยงามในงานนิทรรศการของท่านผู้ว่าด้วยกันในตอนเย็น (อิอิ)


    ---


    ในชั่วขณะนึง ผมรู้สึกว่า การมีชีวิตอยู่ไปวันๆ แบบนี้มันไม่ได้เลวร้ายอะไร ใจเริ่มสงบลงไปจากความทะเยอทะยานในวันแรกๆ เป้าหมายที่ผมเคยฝันจะทำให้มันยิ่งใหญ่ และการค้นหาตัวเองอันแสนวิเศษ


    ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งเหล่านี้มันไม่ได้มีความจำเป็นอะไรขนาดนั้นนี่นา ฝันเล็กลงคงไม่ทำให้ชีวิตเราชิบหาย มีงานมีการทำ มีเงินใช้ ใส่ใจคนที่รัก บางทีฝันใหญ่ก็ทำให้เราบริหารจัดการได้ไม่ดีอีกต่างหาก


    แต่อีกแวปหนึ่ง ผมกลับนึกถึงหนังสือของกูรูชื่อดังท่านหนึ่งที่บอกว่า "ถ้าหากเราปล่อยให้ชีวิตเป็นแบบนั้น เราจะลำบาก เพราะชีวิตที่ไม่มีเป้าหมายแบบนี้ ทำให้เราอยู่ในคอมฟอร์ทร้อย เอ้ย คอมฟอร์ทโซนต่อไป และมันทำให้เราไม่พอใจกับการมีชีวิต ชีวิตที่ขาดแพชชั่น ขาดความสุข และที่สุดแล้วเราจะไม่รู้สึกรักตัวเอง เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการการพัฒนาอยู่เสมอ"


    ว่าแต่พวกคุณละครับ คิดแบบไหนกันแน่ คิดแบบผม หรือ คิดแบบกูรูชื่อดัง แต่ยังไงผมเตือนให้คุณระวังไว้ด้วยนะครับ เพราะกูรูชื่อดังอีกคนบอกไว้เหมือนกันว่า อย่าเชื่อกูรู แต่ให้เชื่อเสียงหัวใจตัวเอง


    ---


    บ่ายสามโมงกว่าๆ ผมจัดบ้านส่วนของวันนี้เรียบร้อยแล้ว หนังสือเกือบทั้งหมดถูกแพ็คใส่ลังไว้รอให้รถขนของมารับ ผมกำลังชั่งใจดูอยู่ว่าจะขายยังไงให้ได้ราคาสูงที่สุด แต่เอาเป็นว่าค่อยคิดเรื่องนี้วันหลังละกัน


    เพราะตอนนี้เป็นเวลาที่ผมต้องอ่านสมุดบันทึกของพ่อต่อจากเมื่อวาน มันเป็นเวลา Tea-Time ที่เราจะนั่งผ่อนคลายความเหนื่อยล้า จิบชาร้อนพร้อมกับอ่านหนังสือเล่มโปรด นี่แหละความสุขเล็กๆที่ผมสะสมในแต่ละวัน เยี่ยมไปเลย!!


    วันนี้จะเป็นเรื่องอะไรกันนะ... ผมจินตนาการถึงมันไม่ออกเลย แน่ล่ะ ผมจะไม่ยอมอ่านข้ามไปตอนหลังๆก่อน เหมือนกับตอนดูหนังที่ไม่ชอบให้ใครมาสปอยให้เซ็งนั่นแหละครับ  


    การอ่านวันบันทึกของพ่อวันละตอน มันเป็นเหมือนกำลังใจในการทำงาน และมันเป็นการตั้งเป้าหมายในแต่ละวันให้ผมเดินทางไปสู่สิ่งที่ผมต้องการ


    ผมหยิบสมุดบันทึกมาเปิดหน้าต่อไป ดูเหมือนตอนนี้เหมือนจะไม่ยาวมาก มันเป็นเหมือนการเขียนด้วยความรู้สึกสั้นๆ ที่เจือปนอยู่ในนั้น พ่อขึ้นหัวข้อของมันไว้ว่า “ความรักและความเกลียดชัง”


    ความรัก... มักเป็นแบบนี้เสมอ
    เมื่อเราตัดสินใจทำอะไรลงไป มันต้องมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น
    ทำให้เราสงสัยว่า เรากำลังทำผิดพลาดอยู่หรือเปล่า


    มีคนเคยบอกผมว่า ความรักของคนสองคนนั้นมันเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ มันเป็นเรื่องของความต้องการสืบพันธ์และปลุกเร้าให้เราต่างโหยหากันและกัน แต่สำหรับผมแล้ว ผมให้คุณค่ากับสิ่งที่เรียกว่าความผูกพันทางจิตใจมากกว่าวิทยาศาสตร์บ้าบอนั่น

    หลายคนบอกว่าผมเป็นคนแปลกๆอยู่สักหน่อยเรื่องความคิดและการกระทำ ซึ่งผมได้แต่ยอมรับมันโดยดุษฏี โดยเฉพาะเรื่องของความรัก


    ผมเชื่อว่าความรักที่ดีต้องประกอบด้วย 2 องค์ประกอบ มันคือ คนที่เรารัก และ คนที่รักเรา แต่สิ่งที่ทำให้องค์ประกอบทั้งคู่สมบูรณ์ที่สุดก็คือ ความรู้สึกผูกพันระหว่างกัน เพราะความผูกพันนั่นแหละ คือสิ่งกำหนดว่าเราจะไปต่อกับคนไหน และมันจะทำความรักกลายเป็นสิ่งที่สมบูรณ์


    แต่อย่างไรก็ดี... แม้ว่าผมจะมีความมั่นใจในความรักมากแค่ไหนก็ตาม ผมยังคงตั้งคำถามตัวเองตลอดว่า “ถ้าผมเลือกแบบนั้นแทนแบบนี้” หรือ “ถ้าผมทำแบบนี้ในวันนั้น” ชีวิตของผมมันจะเปลี่ยนเป็นแบบไหน


    ผมตัดสินใจเลือก “เธอ” แทนผู้หญิงอีกคนหนึ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานนัก บางครั้งบางคราวผมดันเกิดความสงสัยว่าผมกำลังเลือกทางเดินชีวิตผิดอยู่ จริงอยู่ที่วันนี้ ผมมีความสุขดี แต่ผมก็ไม่รู้ว่าถ้าในตอนนั้นผมเลือกที่จะเดินไปจากเธอ ผมอาจจะมีความสุขกว่านี้หรือเปล่า


    ใช่ครับ.. เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ใครหลายคนอาจคิดว่าผมเป็นคนเห็นแก่ตัว คิดว่าผมเป็นคนชั่วที่มีหลายหัวใจ แต่ถ้าสักวันหนึ่ง คุณมีความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาบ้าง คุณจะรู้ความจริงของโลกนี้ว่า การเป็นคนดีในสถานการณ์แบบนี้... มันไม่มีที่ให้คุณอยู่จริงๆอย่างที่เขาว่ากัน


    ---


    ถึง ลูกรัก

    พ่อเขียนความรู้สึกนี้ขึ้นมา เพื่อบอกลูกในวันหนึ่งที่ลูกกำลังตั้งคำถามว่า ระหว่าง “คนที่เรารัก” กับ “คนที่รักเรา” เราควรจะเลือกคนไหน มันเป็นคำถามสุดคลาสสิกเหมือนกันกับ “ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน”


    พ่อเจอเหตุการณ์เหล่านี้มาอยู่เรื่อยๆในชีวิต และมันทำให้พ่อต้องถามตัวเองอีกครั้งว่า ถ้าหากเลือก "คนที่เรารัก" เราจะแน่ใจได้ยังไงว่าเราจะรักเขาตลอดไป เช่นเดียวกันกับคนที่รักเรา เราจะรู้ใจเขาในวันที่เปลี่ยนแปลงได้จริงๆหรือ


    สิ่งที่พ่อเขียนมาทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ว่าพ่อไม่รักแม่ของเจ้า แต่มันเป็นความรู้สึกของพ่อที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว พ่อแค่เอามันมาเรียบเรียงใหม่ให้กับลูกอ่าน เพราะพ่อเชื่อว่าวันนึงลูกคงต้องมีความรัก และความรักนั้นมันไม่ใช่ "สิ่งบริสุทธิ์" เหมือนกับที่พ่อและแม่รักลูก


    เมื่อถึงจุดหนึ่ง ลูกอาจจะสับสนตัวเองว่าลูกต้องการอะไร พ่อหวังว่า "ความผูกพัน" ระหว่างนั้นมันจะเป็นคำตอบให้ลูกรู้ว่า การที่ลูกจะเลือกใครสักคนเข้ามาในชีวิตของลูกนั้น มันไม่ได้มีเพียงความรักอย่างเดียว และลูกอาจจะตัดสินใจผิดก็ได้ที่เลือกคนที่ลูกคิดว่าใช่ เพราะวันหนึ่งเขาอาจจะไม่ใช่คนที่ลูกคิด...


    สุดท้ายนี้... พ่ออยากบอกกับลูกว่า
    “จงเลือกคนที่ลูกคิดว่าสามารถเป็นตัวเองกับเขาไปตลอดชีวิต”


    ---


    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ผมเหลือบตามองดู ชื่อของ “แฟร์” ยังคงปรากฎขึ้นมาพร้อมกันกับเสียงเรียกเข้า ทั้งๆที่ ผมไม่ได้รับสายเธอเมื่อคืนก่อน ไม่ได้ติดต่อกลับ ทำไมเธอถึงยังโทรมาอีก??


    ผมตัดสินใจกดรับสาย...
    “ฮัลโหล”
    “.... เก่า เรา อยากคุยด้วย”


    “แฟร์มีอะไรเหรอ” ผมทำเสียงขรึม
    “เรากลับไปเป็นแบบเดิมได้ไหม” เสียงของเธอสั่นเครือ


    อะไรกันวะเนี่ย... ในวันที่ผมตัดสินใจว่าจะไปดูไฟกับจูน แฟร์กลับโทรมาขอรีเทิร์นให้ปวดใจ ไม่นะ ภาพของความสัมพันธ์ 5 ปี มันเริ่มย้อนกลับมา ภาพของเธอที่ซื้อขนมมาฝาก เช้าวันใหม่ที่เธอโทรมาปลุกผมให้ไปเรียน วันเกิดผมที่เธอเขียนจดหมายใส่ขวดแก้วสวยๆมาให้ ภาพที่เราหัวเราะกันอย่างมีความสุขในวันนั้น ทำไมมันเสือกกลับมาในตอนนี้ ไม่นะ ไม่ ม่ายยยยยยยยยยยยย..

    .

    “ทำไมถึงมาบอกเอาป่านนี้” ผมถามด้วยประโยคฮิตกับเธอไป
    “เก่ารู้ไหม ตอนแรกเราตัดสินใจเลิกกับเก่าจริงๆนะ แต่ช่วงเวลาอาทิตย์กว่าๆที่ผ่านมา มันก็ทำให้เรารู้ว่าเราขาดเก่าไปไม่ได้” เหมือนเธอร้องไห้หนักกว่าเก่า (ไม่ใช่หนักกว่าผมนะครับ แต่มันเป็นการร้องไห้ด้วยอาการที่หนักกว่าเดิม)


    “แฟร์เป็นคนขอห่างกันสักพักกับเราเองนะ”
    “ใช่ เราคิดว่ามันพอแล้ว เลยมาขอคืนดีไง”


    “แฟร์เป็นคนโพสด่าเราในเฟสบุ๊ก กับเอารูปและสถานะ In relationship ออกนะ”
    “เราขอโทษ เราทำด้วยอารมณ์ไง เราจะไม่ทำอีกแล้ว”

    “แฟร์ไม่รับสายเรา โทรศัพท์ติดต่อไม่ได้ด้วยนะ”
    “เราทำโทรศัพท์หาย เพิ่งได้เบอร์คืนมา”


    นั่นแหละฮะ!! ท่านผู้ชม ผมเองสับสนและมึนงงมาก ไม่รู้หรอกว่าแฟร์โกหกหรือพูดจริง แต่บทสนทนาของเราหลังจากนั้น มีแต่เรื่องความหลังฝังใจของผม สลับกับคำขอโทษที่เธอพูดซ้ำๆ ยอมรับว่าเธอทำผิดตรงไหน ตามด้วยการร้องขออ้อนวอนว่าได้โปรดอย่าทิ้งเธอไป เพราะวันนี้เธอไม่มีใครนอกจากผมอีกแล้ว


    ลึกๆ ในใจผมรู้สึกดีที่เธองอนง้อขอคืนดี แต่อีกใจหนึ่งผมยิ่งรู้สึกว่าผมไม่มีค่า เพราะเธอมานึกถึงผมในวันที่เธอต้องการเท่านั้น ไม่ใช่ในวันที่ผมต้องการเธอ เลยทำให้ผมตัดสินใจบอกเธอไปก่อนว่า


    “แล้วเราจะติดต่อแฟร์กลับไปนะ ขอเวลาเราตัดสินใจสักพัก”
    (แสสสส นี่มันคำพูดของฝ่ายบุคคลชัดๆ)


    หลังจากวางสายจากแฟร์ ผมนั่งคิดถึงความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ เอาเข้าจริงมันไม่ได้เปลี่ยนไปหรอก ผมยังรู้สึกดีกับเธอเหมือนเดิม เพียงแต่มันถูกนำไปเปรียบเทียบกับใครอีกคนหนึ่ง คนที่ผมคิดว่าดีกว่าเธอ มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่าจริงๆแล้วผมมีคุณค่ามากขึ้นกว่าเก่า


    คุณคงรู้ใช่ไหมล่ะครับว่าผมหมายถึงใคร
    นั่นแหละครับ... ผมหมายถึงจูน


    หกโมงเย็น เวลาเดิม รถของจูนมาจอดหน้าบ้านของผม วันนี้เธออยู่ในลุคสาวสปอร์ตตี้ (เรียกแบบนี้มั้ง) กางเกงขาจัมพ์ เสื้อยืด และหมวกใบเก๋ที่ทำให้ผมรู้สึกไม่คุ้นตา


    “มองอีกแล้วนะ” จูนเอ่ยทัก
    “มะ.. ไม่มีอะไร” ผมตอบเธอไปพร้อมนึกในใจว่า กูนี่มัน Loser ชัดๆ แค่จะแซวว่าเธอน่ารักยังไม่กล้าเลยว่ะ


    ศาลาว่าการประจำจังหวัดดูทันสมัยมากขึ้น ผู้ว่าฯยังคงเป็นคนเดิม เห็นจูนเล่าว่าเขาได้รับเลือกตั้งติดต่อกันมา 8 ปีแล้ว สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือความหรูหราของสำนักงานที่เพิ่มขึ้นทุกปี ผมได้ยินคนข้างๆคุยกันว่าแค่โต๊ะทำงานของเขาก็มีราคาร่วมหลายล้านบาท


    “ไฟประจำจังหวัด ของเรา ดูแล้วตายได้ ไม่ต้องเสียดายชีวิต” เสียงปาฐกถาเปิดงานนิทรรศการของท่านผู้ว่า คงทำให้ใครหมั่นไส้ไปอีกหลายคน โดยเฉพาะสำหรับผมที่ไม่มีหัวศิลปะ ดูยังไงแม่งก็ไฟงานวัดชัดๆ


    “มันไม่สำคัญหรอกว่าเราจะไปไหน มันสำคัญว่าเราอยู่กับใครมากกว่า” ประโยคนี้ผุดขึ้นมาในหัวของผม มันเป็นประโยคที่ผมอ่านเจอจากหนังสือเล่มหนึ่ง ผมคิดว่ามันช่างเหมาะกับบรรยากาศแบบนี้ โดยเฉพาะเวลาที่ผมสบตากับจูน บางทีผมคงรู้สึกอะไรบางอย่างกับเธอ


    เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สองชั่วโมงกว่าๆ ที่เราใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ก่อนที่เธอจะชวนผมไปหาอะไรกินกันที่ร้านอาหารข้างแม่น้ำ แถมเธออาสาเป็นเจ้ามือในมื้อนี้อีกด้วย #ลาภปากแล้วกู


    "จูนเลี้ยงเราเนื่องในโอกาสอะไรเหรอ” ผมถามเธอ

    “โอ้ยยย ตาบ้า คนเราอยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องมีเหตุผลกับทุกเรื่องหรอกนะ” เธอตอบกลับแบบไม่ตรงคำถาม แต่ผมก็เข้าใจได้


    เหมือนเช่นเคย... อาหารบนโต๊ะถูกจัดการอย่างรวดเร็ว ความคุ้นเคยของเราทั้งคู่ ทำให้ผมไม่ต้องรู้สึกเกรงใจอะไรมาก และผมคิดว่าจูนคงเป็นเหมือนกัน เพราะภาพสาวสวยที่อยู่ตรงหน้ากำลังกัดกินไก่ทอดที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับดูดนิ้วจ๊วบจ๊าบ ผมนึกในใจว่ามันเป็นภาพของคนไร้มารยาทที่น่ารักที่สุดในโลกจริงๆ


    “เป็นไงบ้างมาอยู่นี่หลายวันแล้ว โอเคขึ้นยัง” จูนเอ่ยปากถามผม
    “ก็ดีขึ้นแล้วนะ ดีกว่าที่คิด”


    “จะไม่ดีได้ไง อยู่แต่กับบ้าน สบายจะตาย”
    “หะๆ ไม่ใช่แบบนั้นสิ ดีเพราะได้เจออะไรบางอย่าง”


    “อะไรหรอ วันก่อนเก่าบอกจะเล่าให้ฟัง”
    “อ้อ .. สมุดบันทึกของพ่อเราน่ะ”


    ผมเล่าเรื่องสมุดบันทึกของพ่อให้เธอฟังสั้นๆ จูนดูสนใจเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เธอเล่าให้ฟังว่าเธอเองก็เคยเขียนไดอารี่ เขียนมานานแล้วหลายปีอยู่


    “เราว่าไดอารี่มันบันทึกอะไรบางอย่างของเราได้ บางเรื่องในอดีตอาจเป็นประโยชน์กับวันนี้ พอเรากลับไปอ่านมันก็ได้ทบทวนตัวเองด้วยว่า เราเคยเป็นแบบไหน ยังไง” เธอแชร์ความคิดให้ฟัง


    ผมชวนคุยเรื่องแนวคิดชีวิตต่อกับเธออีกสักหน่อย จนเวลาล่วงเลยไปสักพัก เธอเห็นผมเริ่มอ้าปากหาว เลยเรียกให้พนักงานมาเก็บเงิน

    “วันนี้เก่าไม่เมาใช่ไหม คงไม่แก้ผ้าอีกนะ”
    “บ้าเหรอ วันนี้ไม่เมาแล้วเว้ย วันก่อนถือว่าพลาด”


    ผมนั่งนิ่งมองจูนที่เดินไปสูดอากาศอยู่ริมน้ำ ผมชักไม่แน่ใจว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจนั้น จะเรียกว่าอะไรดี จะเรียกว่าความรักก็เร็วเกินไป จะเรียกว่าถูกใจมันก็มีอะไรมากกว่านั้น ความรู้สึกประหม่าที่มีต่อเธอ ทำให้หน้าผมเริ่มแดงขึ้นมานิดๆ


    “ตกลงเมาป่ะเนี่ยยยยย” เธอเอียงคออมยิ้มถามผมอีกครั้ง
    “ไม่หรอก ถามอีกละ”


    “เราเห็นเก่าดูแปลกๆไป”
    “อื้มมม มันก็คงแปลกจริงล่ะ”


    “ตกลงมีอะไรเหรอ”
    “คงเพราะเราได้เจอจูนมั้ง”


    เธอนิ่งไปสักพัก เธออายหรือไม่พอใจกันแน่นะ? ก่อนที่จะพูดตัดบทเบาๆกับผมว่า “เราว่ากลับบ้านกันเถอะ”


    ระหว่างทางกลับบ้านนั้น ไม่มีบทสนทนาระหว่างเรา ผมไม่แน่ใจว่าคำพูดเมื่อกี้มันผิดที่ผิดเวลาหรือเปล่าที่บอกไป ความเงียบที่ปกคลุมมาเป็นระยะๆ มันเป็นอะไรที่แสนจะอึดอัด


    ความคิดสับสนกลับขึ้นมาอีกครั้ง “หรือว่าจูนไม่ได้ชอบเราวะ” แต่ภาพของการกระทำดีๆของเธอในช่วงเวลาที่ผ่านมา มันพอจะทำให้ผมรู้สึกได้ว่าไม่ได้คิดไปเองอยู่ข้างเดียว


    “จงเลือกคนที่ลูกคิดว่าสามารถเป็นตัวเองกับเขาไปตลอดชีวิต”
    คำพูดของพ่อในสมุดบันทึกเล่มนั้นดังขึ้นมาในหัวของผม


    รถจอดสนิท เธอบอกลาผมสั้นๆว่า “ฝันดีนะ” พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูเบาบางในความรู้สึก ผมรู้สึกแปลกไปเมื่อเห็นรอยยิ้มแบบนั้น มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเราทั้งคู่กันแน่...


    ผมคงปล่อยให้จูนเป็นไปแบบนี้ไม่ได้อีกต่อไป ผมคิดว่าจุดนี้เราทั่งคู่ต้องเคลียร์ให้ชัดเพราะผมกลายเป็นคนใหม่แล้ว คนใหม่ที่พร้อมจะเปิดใจรับใครสักคนเข้ามาในชีวิต


    “เราชอบจูนนะ”
    ผมตัดสินใจพูดคำนั้นออกไป


    จูนยิ้มตอบกลับผม
    แต่ทำไมเธอน้ำตาเธอถึงไหลออกมาแบบนั้น!!!! 

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in