เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ตัวฉันในวันพรุ่งนี้ (Yesterday-Today-Tomorrow)พรี่หนอม
006 : พลังวิเศษของคนธรรมดา?
  • ถึง "ลูก"

    ถ้าลูกกำลังอ่านสมุดบันทึกเล่มนี้ มันคงมีเหตุการณ์ 2 อย่างเกิดขึ้น ถ้าไม่ใช่พ่อตายไปแล้ว ก็คงเป็นพ่อเองนั่นแหละที่ยื่นสมุดเล่มนี้ให้กับลูกด้วยตัวเองในเวลาที่เหมาะสม


    พ่อหวังว่า คำสอนและเรื่องราวทั้งหมดของพ่อที่อยากบอกให้ลูกรู้ในสมุดเล่มนี้ จะช่วยให้ลูกได้ค้นพบคำตอบของคำว่า “ชีวิต” อย่างที่ลูกสงสัย


    จาก "พ่อ"


    ---


    ข้อความทั้งหมด... ถูกเขียนไว้ในหน้าแรกของสมุดบันทึกเล่มนั้น-เล่มที่ผมพบมันอยู่ที่ลิ้นชักตรงหัวเตียง ผมไม่อยากเชื่อว่าพ่อจะเขียนบันทึกไว้ให้กับผมจริงๆ มันช่างเหมือนปริศนาที่ผมกำลังสงสัยได้ถูกคลี่คลายลงอย่างน่าอัศจรรย์ ผมได้แต่อึ้ง - ทึ่ง (แต่ไม่เสียว) ตรงที่สมุดเล่มนี้มันมาในเวลาที่ผมต้องการพอดิบพอดี


    ทำไมพ่อถึงรู้ว่าเรากำลังค้นหาตัวเองอยู่ล่ะเนี่ย
    หรือว่าเป็นเพราะกฎแห่งแรงดึงดูดที่กูรูต่างๆว่าไว้กันแน่


    หลังจากที่อ่านหน้าแรกจบ… ผมรู้สึกราวกับได้ยินเสียงของพ่อที่ไม่เคยได้ยินมานาน มันช่างแจ่มชัดเหมือนกับพ่อมาพูดกับผมอยู่ที่ข้างๆหู หนังสือเล่มนี้ต้องการบอกอะไรผมกันแน่ เอาจริงๆ ผมเองไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคำตอบของ “ชีวิต” มันจะมีจริง ยิ่งมันออกมาจากคนเขียนบันทึกเล่มนี้ที่ได้จบชีวิตของเขาลงไปแล้ว


    ผมเชื่อว่าคุณคงกำลังสงสัยอยู่เหมือนกันกับผม ว่าสมุดเล่มนี้มีข้อความอะไร และพูดถึงอะไรบ้าง ได้ครับ... ผมจะอ่านข้อความทั้งหมดหลังจากนี้ให้คุณฟัง และมันคงเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวดีๆ ที่เราจะได้เรียนรู้ชีวิตของผู้ชายคนนี้ คนที่ผมเรียกเขาว่า “พ่อ” ไปพร้อมๆกัน


    ---

    การเกิด คือ จุดเริ่มต้นของชีวิต


    ถึง "ลูก"


    ก่อนจะถึงวันแรกที่ลูกลืมตาขึ้นมาดูโลก ลูกคงไม่รู้หรอกว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับพ่อและแม่บ้าง พ่ออยากถือโอกาสนี้เล่าเรื่องราวให้ลูกฟังเสียก่อน เพราะพ่อเชื่อว่ามันคือความหมายแรกของคำว่า "ชีวิต"


    พ่ออยากบอกลูกตรงๆว่า… ตอนที่พ่อรู้ว่าแม่ของลูกตั้งท้อง พ่อไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ไม่สิ พ่อคงต้องบอกว่า พ่อเตรียมใจและรู้อยู่แล้วว่าวันนี้จะต้องมาถึงในวันหนึ่ง วันที่พ่อต้องเลือกใช้ชีวิตตามครรลองอย่างที่สังคมอยากจะให้เราเป็น เรียนจบ ทำงาน แต่งงาน มีลูก สร้างครอบครัว ฯลฯ พ่อรู้ดีเหมือนกับมีคนมากระซิบบอกกับพ่อว่า “จงเลือกเดินทางนี้ แล้วชีวิตจะมั่นคง และมีความสุข”


    ในตอนนั้นพ่อเองเป็นเพียงคนรุ่นใหม่ที่ผ่านโลกมาไม่มากนัก พ่อยังไม่รู้ว่าสิ่งที่พ่อเลือกทำมันเป็นสิ่งที่ดี หรือสิ่งที่ผิดพลาด พ่อตัดสินใจทำเพียงเพราะพ่อคิดว่ามันคงดีต่อชีวิตพ่อ และมันคงทำให้คนที่พ่อรักรู้สึกดี


    มีหลายคนถามพ่อว่า แต่งงานแล้วมีลูกเลยหรือเปล่า? ทำไมถึงไม่รีบมีลูกล่ะ ทำไมถึงไม่ทำให้ครอบครัวสมบูรณ์ เพื่อให้มีชีวิตเหมือนคนอื่นๆเขา มัวแต่รออะไรอยู่?


    คำพูดที่ว่า “จะได้ไม่อายคนอื่น จะได้เหมือนๆกันกับคนอื่น” เมื่อพ่อได้ยินได้ฟังบ่อยๆเข้า พ่อก็เริ่มเคลิ้มว่าความเชื่อแบบนั้นคือสิ่งที่ถูกต้อง จากตอนแรกที่พ่อบอกกับแม่ของลูกว่าจะมีลูกก็ได้หรือไม่มีก็ได้ แต่คำพูดที่ว่านี้มันเริ่มซึมลึกจนพ่อรู้สึกว่า “เอ๊ะ.. หรือว่าเรากำลังตัดสินใจผิด”


    ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปในช่วงนั้น คนรุ่นพ่อมีปัญหาเรื่องฐานะ การสร้างตัวในตอนนั้นค่อนข้างลำบาก การแข่งขันที่มากขึ้น รวมถึงภาระที่คนวัยทำงานอย่างพ่อต้องแบกรับ ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงของสังคมที่ทำให้คนได้มองเห็นอะไรมากขึ้น มันส่งผลกระทบให้ใครหลายคนรู้สึกว่าการมีลูกนั้นกลายเป็นเรื่องที่ยากลำบาก เพราะกลัวว่าจะเลี้ยงลูกออกมาไม่ได้ดีอย่างที่คิด และถ้าเป็นแบบนั้นจริง การไม่มีลูกคงจะดีเสียกว่า


    “เราต้องทำ เพราะสังคมมันบอกว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ”
    นั่นคือคำตอบที่ทำให้พ่อสงสัยมาตลอดว่า
    ใครมันเป็นคนกำหนดบรรทัดฐานของสังคม


    ก่อนที่ลูกจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ พ่ออยากบอกว่า พ่อไม่ได้คิดว่าการมีลูกมันจะทำให้พ่อมีปัญหาชีวิตขนาดนั้นหรอก ส่วนหนึ่งคงมาจากฐานะทางบ้านของพ่อและแม่เองที่ไม่ได้ลำบากอะไรมาก และการมีลูกขึ้นมา 1 คน คงไม่ทำให้ใครจนลงไปสัก 10 ปี อย่างที่เขาว่ากัน


    เพียงแต่ปัญหามันไปติดตรงที่แม่ของลูกมากกว่า... จนถึงวันนี้ลูกคงยังไม่รู้ว่าแม่เป็นโรคร้ายแรงและรักษาไม่หาย ซึ่งความรู้ทางการแพทย์ในสมัยนั้น มันมีความเสี่ยงที่จะมีโอกาสติดไปสู่ลูกด้วย และเหตุผลหนึ่งที่พ่อไม่อยากมีก็เพราะไม่รู้ว่ามันจะมีผลกระทบต่อแม่และลูกมากแค่ไหน เพราะถ้ามันเป็นแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ พ่อคงได้แต่เสียใจไปตลอดชีวิต


    พ่อยอมรับว่าตอนนั้นพ่อเห็นแก่ตัวมากที่ไม่อยากให้ลูกเกิดมา มันคงมากเพราะพ่อไม่อยากให้ตัวเองต้องมีความทุกข์เพิ่มขึ้นจากเหตุการณ์ที่พ่อไม่สามารถควบคุมได้


    "เราว่า ถ้าลำบากขนาดนี้ ไม่ต้องมีลูกก็ได้"
    พ่อพูดกับแม่ในวันที่เราคุยเรื่องอนาคตของกันและกัน


    สมัยที่พ่อยังเป็นเด็ก สังคมบ้านเรายังเป็นครอบครัวใหญ่ มีสมาชิกในครอบครัวอยู่ร่วมกันมากมาย แต่เมื่อพ่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น ความเจริญที่เพิ่มมากขึ้นของสังคม ทำให้แต่ละคนมีหน้าที่รับผิดชอบแตกต่างกันไป จนกลายเป็นว่าหน้าที่หลักของทุกคนเหลือเพียงแค่ ทำมาหากินและดูแลจัดการชีวิตตัวเองให้รอด แค่นั้นมันก็ดีเกินพอแล้ว


    “มีลูกเถอะ เราอยากมีลูก เราทนได้”
    นั่นคือคำตอบกลับของแม่ที่ทำให้พ่อต้องกลับมาคิด


    ไม่รู้ว่าลูกเชื่อไหม... แค่คำพูดประโยคนี้ของแม่ ทำให้พ่อตัดสินใจมีลูกทันที “เออ ถ้าเธออยากมี ก็มีเถอะ” วินาทีนั้น แรงขับจากสังคมทั้งหมด ยังไม่เท่ากับแรงส่งจากแม่ของเจ้าเพียงคำเดียว


    “เธอไม่สบายแบบนี้ ถ้ามีลูกแล้วเธอเป็นอะไรไป เราจะอยู่ยังไง”
    “ถ้าเราเป็นอะไรไปจริงๆ เธอจะได้มีลูกเป็นเพื่อนไง”


    “เธอไม่กลัวเรามีเมียใหม่หรอ” พ่อถามขำๆทั้งที่ใจหวั่น
    “ไม่กลัวหรอก เธออยากมีก็มีสิ จะได้มีคนช่วยดูแลเธอไง แต่หาคนที่เขารักลูกของเราด้วยนะ”


    แม่ของลูก พูดคำนี้แบบเฉยๆ เรียบๆ ตามประสา (พ่อเชื่อว่าวันนี้ลูกคงเข้าใจความหมายที่พ่อพูดดีเชียวแหละ) พ่อไม่คิดเลยว่ามันจะออกมาเรียบง่าย ทั้งที่มันเป็นเรื่องของความตายอันแสนเศร้า


    “ขอให้วันที่เราใกล้ๆไป เธออยู่ดูแลเราดีๆ เราแค่อยากเก็บช่วงเวลาระหว่างเราไว้ให้ดีที่สุดก่อนจะจากกัน" แม่พูดย้ำอีกครั้ง เพื่อบอกให้พ่อเตรียมใจ เตรียมตัว หากเกิดอะไรขึ้นกับแม่ พ่อจะได้รู้และจัดการได้


    ทุกครั้งที่พ่อนึกถึงประโยคนี้ทีไร พ่อมักจะน้ำตาไหลออกมาทุกที เพราะพ่อเองก็ไม่รู้เลยว่าถ้าหากเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นมาจริงๆ พ่อควรจะทำอย่างไรดี พ่อจะทำได้ดีอย่างที่แม่เขาหวังไว้หรือเปล่า


    ถ้าหากวันที่ลูกอ่านบันทึกนี้ แม่เขายังมีชีวิตอยู่ พ่อขอสั่งว่าอย่าพูดเรื่องนี้กับแม่เป็นอันขาด เพราะแม่เขาไม่ต้องการให้ลูกรู้ว่าเขาไม่สบาย เขาต้องการใช้ชีวิตอย่างคนปกติที่พร้อมรับมือกับความตาย

    ...พ่อถือว่าเรื่องนี้เป็นความลับระหว่างพ่อกับลูกละกันนะ


    เวลาผ่านไปประมาณ 3-4 เดือน แม่ได้ตั้งท้องลูกสมใจ ส่วนความรู้สึกที่มีต่อชีวิตคู่ของพ่อก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที ความรู้สึกของคนที่กำลังจะเป็นพ่อนั้นทำให้พ่อรู้สึกว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ความรับผิดชอบ มันมีแรงผลักดันบางอย่างจากภายในและภายนอกที่คอยบอกพ่อว่า “เราเป็นพ่อคนแล้ว... ชีวิตของเราต้องดีขึ้นกว่านี้”


    ขณะที่พ่อเริ่มวางแผนชีวิต สร้างนู่นนี่นั่น เริ่มเครียดคร่ำเคร่งกับงาน เพื่อให้ครอบครัวมี “อนาคต” ที่ดีขึ้น เป็นเวลาเดียวกันที่แม่ของลูกต้องต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกายและอารมณ์ที่ตามมามากมายเช่นเดียวกัน

    ...แต่มันก็ทำให้รู้ว่าลูกมีความสำคัญต่อเราแค่ไหน


    วันเวลาที่ผ่านไป ท้องของแม่โตขึ้นเรือยๆ แม่บ่นปวดหลัง ปวดซี่โครง แม่เดินมากไม่ได้ ความอ่อนแอของแม่ที่มากขึ้น ทำให้พ่ออดเป็นห่วงไม่ได้ว่าโรคร้ายจะทำอะไรแม่หรือเปล่า แต่แม่ยังทำตัวสบายๆ และมีความสุขกับชีวิตอย่างที่มันควรจะเป็น


    และแล้วก็ถึงวันที่ลูกคลอดออกมา พ่อรู้สึกเหมือนกับว่าภาพความทรงจำทั้งหมดเก้าเดือนก่อนหน้านั้น ถูกย้อนเวลากลับมาให้พ่อเห็นภายในพริบตาเดียว ตั้งแต่วันแรกที่พ่อและแม่ตัดสินใจมีลูก กลายเป็นเสียงเด็กร้องไห้คนหนึ่งที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของพ่อ


    เสียงร้องไห้ครั้งแรกของลูก พ่อไม่ได้คิดว่ามันเป็นเสียงที่แสดงความมีชีวิตของลูกเพียงอย่างเดียว แต่มันคือเสียงแสดงการมีชีวิตใหม่ในฐานะพ่อของตัวพ่อเองด้วย


    หมอบอกว่าโชคดีมากที่ลูกไม่ติดเชื้อจากแม่ ยาตัวใหม่ที่ใช้ได้ผลดีทำให้ลูกแข็งแรงเหมือนปกติ และอาการป่วยของแม่เองเหมือนจะดีขึ้นกว่าเก่า พ่อเชื่อว่า มันคงเป็นโชคชะตาที่ช่วยต่ออายุชีวิตของแม่ให้อยู่ต่อไปได้ เพื่อทำหน้าที่ของแม่ให้สมบูรณ์


    วันแรกที่ลูกเกิดมา พ่ออุ้มและบอกกับลูกเบาๆว่า…


    “ขอต้อนรับสู่โลกของเรานะลูก การเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้อาจจะไม่มีอะไรดีกับชีวิตของหนูสักเท่าไร เพราะมันจะมีเรื่องแย่ๆ และความทุกข์มากมายที่เตรียมรอหนูอยู่ในอนาคต แต่พ่ออยากให้หนูเชื่ออย่างนึงว่า ไม่ว่าโลกจะแย่สักแค่ไหน หนูต้องยังยิ้มให้มันได้เหมือนกับวันนี้ วันที่หนูยิ้มให้พ่อเป็นครั้งแรก”


    สุดท้ายนี้...
    พ่อเชื่อว่าการเกิดมาของใครสักคนหนึ่งมันย่อมมีคุณค่ากับคนอีกคนหนึ่งเสมอ


    ---


    บันทึกในตอนแรกของพ่อ จบลงแบบเรียบง่ายแต่ทรงพลังอย่างประหลาด ผมรู้สึกถึงรสชาตฝาดๆที่คอ และพอจะตระหนักถึง ความหมายและคุณค่าของตัวเอง


    สัมผัสแรกที่ผมรู้สึกได้จากสมุดเล่มนี้ มันคือความรู้สึกของพ่อที่จะพยายามเขียนบันทึกเหตุการณ์ต่างๆในชีวิต ข้อคิดปลีกย่อย รวมถึงระบายความขับข้องใจในการใช้ชีวิตของเขา และทำให้ผมรู้ว่า ในวันนั้นพ่อเองก็ไม่ต่างจากผม เราทั้งคู่ยังมีเรื่องที่ไม่พร้อมในการใช้ชีวิตมากมาย


    มันช่างตรงกันข้ามกับภาพของพ่อในตอนที่ผมจำความได้ ไม่น่าเชื่อเลยว่า ตัวอักษรที่เขาเขียนนั้น มันดูแตกต่างกับความรู้สึกของผมในตอนนั้นอย่างสิ้นเชิง ผมเข้าใจเสมอว่าพ่อเป็นคนเก่ง เป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับครอบครัว


    แต่พออ่านเรื่องราวในตอนแรกนี้จบลง ผมเริ่มรู้สึกถึงความเป็นคนธรรมดาของเขา และกลับรู้สึกถึงความพิเศษของตัวเองมากขึ้น


    ผมตัดสินใจกดโทรศัพท์หาแม่ …
    “ว่าไง โทรมาดึกขนาดนี้มีอะไรหรอลูก”
    “แม่หรอ แม่สบายดีไหม”


    “สบายดีสิ กำลังจะนอนแล้ว เก่ามีอะไรหรือเปล่าลูก ทำไมถามแปลกๆ”
    “เปล่าหรอก แค่อยากบอกว่าแม่อย่าทำงานหนักมากนะ”


    “ไม่อยากให้แม่ทำงานหนัก ก็รีบจัดการงานที่สั่งแล้วกลับมาช่วยแม่สิ”
    “อ่า.. ได้ครับแม่ สิ้นเดือนนี้ เก่าจะกลับไปแน่ๆ”

    “ดีแล้วลูก ลูกก็อย่าลืมดูแลตัวเองนะ”

    “อื้มมม”


    ผมตัดสินใจเก็บเรื่องอาการป่วยของแม่ไว้เป็นความลับตามที่สัญญากับพ่อไว้ (แม้จะเป็นสัญญาฝ่ายเดียวก็ตาม) เพื่อเป็นการตอบแทนที่บันทึกเล่มนี้ทำให้ผมเห็นคุณค่าอะไรบางอย่างของตัวเอง


    ผมลองเปิดผ่านๆดู สมุดเล่มนี้ถูกเขียนเป็นหัวข้อย่อยๆ แต่ละเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ไล่สายตาแล้วคิดว่าไม่น่าจะเกิน 20 ตอน บางตอนเขียนสั้นๆ บางตอนเขียนยาวหลายหน้า ผมคิดว่า มันคงแตกต่างกันไปตามความรู้สึกของเขา

    สัญชาติญานบางอย่างกำลังบอกผมว่า… อย่างน้อยระหว่างที่ผมค้นหาตัวเองไม่เจอ สับสนกับชีวิต และมีหน้าที่เก็บบ้านให้เสร็จ บันทึกเล่มนี้ของพ่ออาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมได้เจอ “เส้นทาง” ของตัวเอง

    แต่เพื่อไม่ให้มันเป็นการครอบงำชีวิตของผมมากเกินไป ผมจึงตั้งใจที่จะอ่านมันเพียงวันละตอน พร้อมกับทำหน้าที่และใช้ชีวิตของตัวเองไปเรื่อยๆ แหม่.. ชีวิตคนนะครับ จะให้มาอ่านสมุดบันทึกแค่นี้แล้วเข้าใจโลกทั้งใบได้เลย ผมว่าคนๆนั้นคงจะใจแคบไปหน่อยแล้วล่ะมั้ง


    ณ ช่วงเวลาตอนนี้ ผมรู้สึกขอบคุณพ่อที่ให้ชีวิตผม ขอบคุณแม่ที่ดูแลผม และรู้สึกอยากขอบคุณใครบางคนให้มากกว่านี้


    ใช่ครับ...
    อยู่ๆ ผมก็นึกถึง "จูน" ขึ้นมา


    ชั่วพริบตานั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาโดยมิได้นัดหมาย จากปลายสายคือคนที่คุณก็รู้ว่าใคร “จูน” ผู้หญิงคนที่ผมรู้สึกดีอย่างประหลาด แต่ไม่กล้าที่จะสานสัมพันธ์ต่อไป คงเป็นเพราะความรู้สึกอะไรบางอย่าง


    “จูนเหรอ เรากำลังนึกถึงจูนอยู่พอดีเลย”
    “นึกถึงแล้วทำไมไม่ตอบไลน์ล่ะยะ อีตาบ้า”


    “โทษที 2-3 วันนี้เรามัวแต่อยู่กับตัวเองมากไปหน่อย”
    “ไม่เป็นไร นี่เราแค่โทรมาเช็คว่าเป็นอะไรหรือเปล่า พอดีขับรถผ่านเห็นไฟที่ห้องยังเปิดอยู่”


    “ไม่ได้เป็นไร เราแค่ทำอะไรเพลินๆอยู่น่ะ”
    “นี่ๆๆๆ ถ้ามีอะไรไม่สบายใจก็บอกเราได้นะเก่า”

    “อืม.. ช่วงที่ผ่านมา เรารู้สึกว่าเราไม่มีคุณค่าน่ะ”
    “ทำไมล่ะ ทำไมถึงคิดแบบนั้น”


    “ไม่รู้สิ เราคงเป็นคนที่ไร้ค่ามั้ง ไร้ตัวตน สับสน จนไม่รู้จะทำอะไร ทางที่เราเลือกเดินก็ไม่รู้ว่ามันดีไหม ส่วนทางข้างหน้า... ก็ไม่รู้ว่าจะเดินต่อไปทางไหนดี อิอิ”

    “โถ.. พ่อคุณ มาเป็นเพลงเลยนะยะ แต่ฟังดูแล้วเหมือนจะดีขึ้นแล้วป่ะ”


    ผมเล่าเรื่องที่ค้นพบสมุดบันทึกของพ่อให้จูนฟังแบบคร่าวๆ เธอดูสนอกสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ คงเพราะเธอรู้จักกับพ่อผมด้วยแหละ ผมเลยสัญญาไปว่าจะให้เธออ่านมันหลังจากที่ผมอ่านจบ


    คุยกันไปคุยกันมาเพลินๆ จูนเลยเอ่ยปากชวนผมออกไปเดินดูนิทรรศการไฟประจำจังหวัด เธอเล่าว่าผู้ว่าคนปัจจุบันลงทุนไปกว่า 390 ล้าน มันต้องเป็นงานที่ใหญ่มากแน่ๆ คิดดูสิ คนอะไรลงทุนจัดงานแสดงไฟใหญ่ขนาดนี้ ถ้าไม่ดีจริงใครจะกล้าทำ... จริงไหมครับ


    ผมรับปากจูนว่าจะไปดูไฟด้วยกันในคืนวันพรุ่งนี้ มันคงดีเหมือนกันที่ผมจะออกไปเปิดหูเปิดตากับโลกภายนอกบ้าง จัดของในบ้านมา 2-3 วัน มันแอบรู้สึกเงียบเหงาเหมือนกันแฮะ


    อีกอย่างหนึ่ง.. ผมว่าความรู้สึกในใจผมกำลังบอกตัวเองว่า ผมอยากจะรู้จักจูนให้มากกว่านี้ ผมคิดว่ามันคงไม่ผิดอะไรใช่ไหม ในเมื่อคนที่ผมเคยรัก เงียบหายไปนานเสียเหมือนคนไม่รู้จักกัน ครั้งนี้เธอคงเลิกกับผมจริงจังแล้วแหละ เพราะตั้งแต่คบกันมาเราไม่ได้คุยกันนานขนาดนี้มาก่อนเลย


    “ช่างแม่งเหอะ อย่าคิดมากเลยไอ้เก่า” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำและเข้านอนเสียที นี่ก็เกือบๆจะตีหนึ่งแล้ว พรุ่งนี้จะได้ตื่นไม่สายมาก จะได้มีเวลาเก็บของ อ่านบันทึกของพ่อ และรอไปดูไฟกับจูนตอนค่ำๆ มันคงเป็นวันที่วิเศษอีกวันหนึ่งของผม


    ระหว่างที่ผมอาบน้ำอยู่ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาอีกครั้ง คงเป็นจูนโทรมาหาสินะ ยัยนี่มันกวนจริงๆ เมื่อกี้บอกว่าจะไปนอนอยู่ สงสัยจะโทรมาเช็ค ถ้าเป็นแฟนกันล่ะน่าดู อิอิ (เอ๊ะ... นี่เรากำลังยิ้มอะไร แหมๆๆๆ บ้าจริงๆเลยเราเนี่ย)


    ผมรีบวิ่งมารับโทรศัพท์
    ก่อนที่จะสังเกตเห็นว่าคนที่โทรมานั้นไม่ใช่จูน

    เพราะมันเป็น… “แฟร์”

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in