เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ตัวฉันในวันพรุ่งนี้ (Yesterday-Today-Tomorrow)พรี่หนอม
008 : ทำไมไม่บอกกู?
  • สวัสดี... เราชื่อจูน
    เราอยากให้คุณรู้จักเรามากขึ้น


    ---

    (1)

    ไม่น่าเชื่อเลยว่า เราจะได้เจอกับเขาอีกครั้ง - เพื่อนสมัยเด็ก - ที่ไม่ได้เจอกันมานาน บุคลิกของเขาดูเหมือนชายหนุ่มเซ่อๆซ่าๆ มันช่างแตกต่างจากผู้ชายหลายคนที่เราเจอะเจอมาเสียเหลือเกิน ไม่รู้สินะ.. การที่เราได้เจอเขาในวันนี้มันทำให้นึกย้อนไปถึงเรื่องดีๆในวัยเด็กอีกครั้ง


    ครั้งแรกที่เราเอ่ยปากทักเขาไป ดูเหมือนว่าเขาจะจำเราไม่ได้เลยมั้ง คนบ้าอะไรเนี่ยยยยยยย กล้าไปไหนกับผู้หญิงที่ไม่รู้จัก สงสัยเหมือนกันนะว่าเขาเป็นแค่ผู้ชายหน้าม่อธรรมดา หรือว่าเซ่อซ่าจนคิดว่าโลกนี้สวยงามเกินไปนัก ฮึ!


    แปลกเหมือนกันนะ...
    อยู่ๆ เราเอ่ยปากอาสาไปส่งเขาที่บ้าน
    ทั้งๆที่มีนัดกับ “ลูกค้า” คนสำคัญ


    อยู่ๆ เขาดันเอ่ยปากขอโทษเรามาว่าจำไม่ได้ หน้าตาที่ล่กๆลนๆ ของเขาทำให้เราขำเข้าไปใหญ่ ตาบ้านี่ตลกดีเหมือนกันแฮะ ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน อีตาผู้ชายที่หลอกให้เราเลียขี้หมาตอนเด็กๆ


    รู้สึกโชคดีเหมือนกันนะ ที่ได้เจอกับเขาในตอนที่เรากำลังรู้สึกเหงาอยู่พอดี...


    ---


    “จูนร้องไห้ทำไม เราทำอะไรผิดเหรอ"
    ประโยคที่ตามมาของเขา ทำให้เรายิ้มทั้งน้ำตา


    ---


    (2)

    อาหารเย็นคืนนี้อร่อยมาก แต่สิ่งที่เรารู้สึกดีกว่านั้นคือการที่ได้คุยกับใครสักคน นานแค่ไหนแล้วนะที่เราไม่ได้คุยกับใครสักคนอย่างสนุกและสนิทใจขนาดนี้


    เรารู้สึกว่าเขาไม่เหมือนผู้ชายในยุคนี้ จะพูดยังไงดีล่ะ เขาเหมือนผู้ชายที่พยายามจะทำทุกอย่างเพื่อคนอื่นตลอดเวลา มันหายากเหมือนกันนะคนที่คิดถึงความสุขของคนอื่นก่อนที่จะคิดถึงความสุขของตัวเอง


    เราแอบเสียดายนิดหน่อยที่เขามีแฟนแล้ว แต่ต่อให้ยังไม่มีแฟน ยังไงเขาก็คงไม่สนใจเราอยู่ดีแหละ เฮ้อออ อย่างที่ว่า เรากับเขามันแตกต่างกันเกินไป


    คิดๆ แล้วก็ตลกเหมือนกัน ผู้ชายคออ่อนเอ้ย กินไวน์ไม่เท่าไรก็เมาแล้ว แถมอยู่ๆพอเมาดันไปพูดถึงความสุขในชีวิต ถามเราอยู่ได้ว่าความสุขคืออะไร เราบอกเขาไปว่าความสุขจริงๆในชีวิตเรามันเรียบง่ายแบบนี้แหละ กินอิ่มนอนหลับ ดูแลพ่อแม่ได้ดี แล้วก็... มีผู้ชายดีๆสักคนในชีวิต

    ไม่คิดเลยนะว่า ไปๆมาๆ เราต้องมาสอนเขาเรื่องการใช้ชีวิต แต่เขาคงไม่รู้หรอกว่า ไอ้สิ่งที่เราสอนเขาไปน่ะ มันเป็นเพียงแค่สิ่งที่เราคิดไว้ แต่ทำเองไม่เคยได้เลย

    ด้วยความเมาของเรานิดๆมั้ง เราเลยหลุดปากบอกไปว่า “ตอนเด็กๆ เราเคยแอบชอบเขา” เขาดูตกใจมาก มากกว่าเราที่ตกใจว่าเราหลุดปากไปได้ยังไงเสียอีก เสียฟอร์มสุดๆ

    ปิดท้ายด้วยการที่เราขับรถไปส่งเขาที่บ้าน เขาเมามากจนมาเผลอเขามากอดเราหลายครั้ง เรารู้ดีว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะลวนลามเราหรอกนะ แต่ถ้าเขารู้ เราอยากบอกเขาว่า มันคงเป็นครั้งแรกในรอบปีที่เราถูกผู้ชายกอด

    ...โดยที่ไม่ต้องมีอะไรกัน


    ---


    “ถ้าเก่ารู้ความจริง เก่าคงไม่ชอบเรา”
    จูนตอบผมกลับมาแบบเศร้าๆ
    ก่อนที่เธอจะขับรถออกไปพร้อมกับรอยน้ำตา


    ผมยืนอึ้งอยู่ที่หน้าบ้าน มันเป็นอีกวันที่ผมรู้สึกผิดหวัง คำปฎิเสธของเธอมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น แต่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร ผมไม่อยากเข้าข้างตัวเองหรอกนะว่า เธอแอบชอบผม แต่เธอคงมีปัญหาบางอย่าง


    คืนนี้เป็นอีกคืนหนึ่งที่ผมนอนไม่หลับ ไม่ใช่เพราะฝันร้าย ไม่ใช่เพราะคิดมาก แต่มันหงุดหงิดและงุ่นง่านในความรู้สึก ไหนพ่อสอนผมว่าให้เลือกคนที่เราอยู่ด้วยแล้วสบายใจ แต่พ่อไม่ได้สอนนี่หว่าว่าทำยังไงให้เขาเลือกเราด้วย ใช่สินะ! พ่อคงหน้าตาดีมีสาวๆให้เลือกมากมาย แต่พ่อไม่คิดถึงลูกชายคนนี้ว่ามันจะมีโอกาสแบบนั้นหรือเปล่า โว้ยยย!!!  


    ผมตัดสินใจละเมิดกฎของตัวเอง โดยการหยิบสมุดบันทึกของพ่อขึ้นมาอ่านต่อ และไม่คิดจะรอให้ถึงวันพรุ่งนี้  ผมพลิกสมุดมั่วๆเพื่อเลือกเรื่องที่อยากอ่าน และแล้วตาของผมมันก็ไปสะดุดที่เรื่องทีพ่อขึ้นต้นหัวข้อไว้ซะน่าอ่านว่า “ความลับ”


    ผมพลิกกระดาษหน้าถัดไป...


    ---


    (3)

    ถ้าย้อนเวลากลับไปได้
    เราคงไม่เลือกทางเดินชีวิตแบบนี้หรอก


    เหตุผลที่เรากลับจากอเมริกา
    มันไม่ได้สวยงามอย่างที่เขาเข้าใจ


    หลังจากธุรกิจของพ่อที่อเมริกาปิดตัวลงไปเมื่อ 4 ปีก่อน พ่อกลายเป็นผู้ป่วยจิตเภท จากผลกระทบของความล้มเหลวและผิดหวังที่เกิดขึ้น ส่วนแม่เราต้องรับภาระในการทำงานใช้หนี้ไปพร้อมๆกับดูแลพ่อที่ป่วย แม่ตัดสินใจพาพ่อกลับมาอยู่ประเทศไทยเพราะค่าครองชีพและค่ารักษาที่ต่ำกว่า ปล่อยทิ้งเราให้เอาตัวรอดอยู่ที่อเมริกาเพียงลำพัง

    เหมือนโชคร้ายจะรักเราเป็นพิเศษ หลังจากนั้นไม่กี่เดือน งานที่แม่ทำเกิดปัญหาจนถูกไล่ออก หนี้สินที่กู้ยืมไว้ของพ่อก็ถูกเจ้าหนี้ทั้งหลายทวงตามอย่างบ้าคลั่ง เราตัดสินใจดรอปเรียนปีสุดท้ายไว้ แล้วย้ายกลับมาเมืองไทยเพื่อช่วยทำงานชดใช้หนี้ของครอบครัว

    แต่ต่อให้เราทำงานหนักแค่ไหน ก็เหมือนว่าเงินจะไม่พอเสียที ดอกเบี้ยเงินกู้ทั้งในและนอกระบบที่ครอบครัวเราต้องชดใช้บีบบังคับให้เราต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง


    เรารู้ว่ามันฟังดูแย่
    แต่วันนั้นเราตัดสินใจขายตัว


    เราอาจจะพอมีโชคดีอยู่บ้าง ตรงที่เราไปอยู่อเมริกาตั้งแต่เด็ก ทำให้เราไม่มีเพื่อนคนไทยมากเท่าไร  เราเลยทำอาชีพนี้ได้โดยที่ไม่ต้องรู้สึกละอายอะไรกับสังคมมากนัก


    หลายคนคงบอกว่าเราโง่ ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีคุณค่า แต่ถ้าวันนั้นเราไม่ตัดสินใจเลือกเดินทางนี้ เราคงไม่ได้พบกับเสี่ยชัย คนที่ทำให้ชีวิตเรา “ดีขึ้น” และกลายมาเป็นอย่างในทุกวันนี้


    หลังจากวันที่เจอเสี่ยชัย เรากลายเป็น “เด็กในพอร์ท” ของเขา เรารู้ตัวดีว่า สิ่งที่เราได้จากเสี่ยมันไม่ใช่ความรัก สิ่งมีชีวิตอย่างเราเป็นได้แค่เพียงเครื่องประดับบารมีของเขา แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เราไม่ต้องขายตัวอีกต่อไป


    ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไร
    ที่เสี่ยชัยไม่ได้มีเราแค่เพียงคนเดียว


    มาคิดดูแล้ว... เราอยากหัวเราะเยาะในโชคชะตาของตัวเองเสียจริงๆ นอกจากเราจะได้เงินจากเสี่ยแล้ว เรายังได้ “ความรู้ในการหาเงิน” ของเสี่ยมาด้วย ไม่รู้ว่าช่วงนั้นเสี่ยคิดอะไรอยู่ ถึงตัดสินใจสอนให้เรามีความรู้ในการลงทุน หุ้น ทอง อสังหาริมทรัพย์ มันทำให้เรารู้ว่าจริงๆแล้วเราสามารถหารายได้ด้วยหนทางอื่น มีวิธีอีกมากมายที่ไม่จำเป็นต้องเอาตัวเข้าแลกแบบนี้


    แต่มันก็สายไปเสียแล้วกับชีวิตในช่วงเวลาหนึ่ง
    และมันเหมือนตอกตะปูตรึงชีวิตของเราด้วยคำว่า "เด็กเสี่ย"


    เราอยู่กับเสี่ยขัยมาเกือบสองปี มาถึงวันนี้ เราเริ่มอยากมีชีวิตของตัวเอง เฮ้อออ แต่ก็นะ อย่างที่เค้าว่ากันแหละ “บุญอะไรไม่มีมูลค่าเท่าบุญคุณ” แต่เสี่ยชัยก็สมกับเป็นนักธุรกิจเสียจริง เพราะเขาตัดสินใจปล่อยให้เราเป็นอิสระ หากเราสามารถจัดการสิ่งที่เสี่ยต้องการได้


    “ถ้าอยากไปจากชีวิตเสี่ย จูนต้องหาทางซื้อที่ดินผืนนี้ทั้งหมดให้เสี่ย” นั่นคือเหตุผลที่เรากลับมาที่นี่ ที่ๆ เราไม่เคยคิดเลยว่าต้องเจอกับเขา ผู้ชายที่ชื่อว่าเก่า และเขาเป็นคนที่ทำให้เรานึกถึง "อดีต" ที่แสนจะมีความสุข


    แต่น่าเสียดายที่วันนั้น วันที่เราอาสาไปส่งเขาที่บ้าน มันทำให้ “ลูกค้าคนสำคัญ” ไม่พอใจ จนไม่ยอมปิดดีลซื้อขายได้อย่างที่เราตั้งใจไว้


    “ฮ่าๆ คนมันเคยอยู่ในโคลนตม มันหนีออกไปไม่พ้นหรอก”
    เสียงกระแทกปนสะใจของเสี่ยก่อนวางสาย


    ---


    “ในชีวิตของเราทุกคนล้วนมีความลับ”
    เรื่องบางเรื่องควรจะเป็นความลับตลอดไป

    แต่เรื่องบางเรื่อง
    เราควรจะเปิดเผยมันให้กลายเป็นความจริง


    ถึง ลูกรัก,

    ถ้าลูกอ่านประโยคนี้จบ พ่อหวังว่าลูกจะมีคำถามว่า “เราจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าเรื่องไหนคือเรื่องที่ควรเปิดเผย” เพราะการตัดสินใจที่จะเปิดเผยความลับบางอย่าง มันอาจจะสร้างผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างต่อคนที่ได้รู้ความลับของเรา


    ที่พ่อบอกแบบนี้ มันไม่ได้แปลว่า ความลับนั้นควรจะคงอยู่กับเราตลอดไป เพราะบางอย่างที่เราตั้งใจเก็บไว้เพื่อที่จะไม่ให้มันทำร้ายใคร อาจจะเป็นสิ่งที่กัดกินใจของเราเองก็ได้


    การจะเลือก "เปิดเผย" เรื่องไหนก็ตาม ลูกคงต้องชั่งใจเอาเองแล้วล่ะว่า ระหว่างการที่ลูกยอมให้ตัวเองถูกทำร้าย กับกระจายเรื่องราวออกไปให้คนที่รับฟังถูกทำร้าย แบบไหนจะดีกว่ากัน


    สิ่งที่พ่ออยากบอกอีกอย่างไว้ หากลูกเป็นคนที่ได้ฟังความลับของใครแล้วล่ะก็ มันแปลว่าลูกมีความสำคัญเพียงพอสำหรับคนๆนั้นที่จะได้ยินเรื่องของเขา ไม่ว่าจะด้านดีหรือด้านร้ายก็ตาม


    ผมอ่านจบแล้ว ยิ่งรู้สึกไม่เข้าใจ ทำไมพ่อถึงเขียนอะไรที่มันเข้าใจยากแบบนี้ ความลับมันก็คือความลับ ผมคงไม่อยากให้ใครมารู้ความลับที่ผมชอบดมกลิ่นรองเท้าตัวเอง พอๆกันกับที่ผมไม่อยากรู้เรื่องคนอื่นด้วยว่าเขามีความลับแปลกๆอะไร มันก็แค่นั้นไม่ใช่เหรอครับพ่อ!


    ผมมองไปที่นอกหน้าต่าง... รถของจูนจอดสนิทอยู่หน้าบ้านผม เธอกลับมาที่นี่ทำไม? และเธอกลับมาตั้งแต่เมื่อไร? มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?


    ---


    ผมเลื่อนเปิดประตูหน้าบ้าน มองเห็นจูนยืนพิงที่รถอยู่เงียบๆ เงียบเสียจนผมรู้สึกไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร

    “จูนมีอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงมาเงียบๆ”
    “เรามาเพื่อบอกว่า เราก็ชอบเก่าเหมือนกันนะ”


    “จูนไม่ได้ล้อเราเล่นใช่ไหม"

    "อื้ม"


    "แล้วทำไมจูนถึงร้องไห้ล่ะ”
    “เพราะเราคงคบกับเก่าไม่ได้หรอก”


    “ทำไมล่ะ”
    “เราเป็นเด็กเสี่ย”


    สิ้นเสียงคำตอบของจูน ผมรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน...

    ---


    (4)

    ทำไมไฟที่ห้องเขายังเปิดอยู่?
    ดึกดื่นป่านนี้ทำไมยังไม่นอนอีกนะ


    ทุกครั้งเราส่งข้อความไปหาเขา มันอาจจะดูไม่ดีสักเท่าไร เหมือนผู้หญิงที่ตามตื้อผู้ชาย วันก่อนเขาเพิ่งบอกเราเองว่า "เขาชอบอยู่คนเดียว" จนทำให้เราคิดว่าบางทีเรากำลังก้าวก่ายชีวิตใครคนหนึ่งมากเกินไปหรือเปล่า


    มีคนเคยบอกเราว่า "ถ้าทำอะไรที่มีความสุข แล้วไม่ทำร้ายใคร ก็ทำๆไปเถอะ" เราเชื่อแบบนั้น เราถึงตัดสินใจกล้าที่จะทำมันออกมา ทั้งๆที่เราเองก็รู้ว่าเวลาของเราและเขานั้นอาจจะเหลือน้อยเต็มที ถ้ามันมาถึงวันที่เขารู้ความลับของเรา


    ถ้าวันหนึ่งที่เขารู้ความจริง
    เขาจะรังเกียจเราหรือเปล่านะ?


    ...

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Rinrada Jaiboon (@fb2896875040565)
แง่ร้องไห้หนักมาก;-;