เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ตัวฉันในวันพรุ่งนี้ (Yesterday-Today-Tomorrow)พรี่หนอม
011 : สําเร็จได้ สไตล์คนขี้เกียจ?

  • “ความฝัน” “ความหวัง” และ “ความสำเร็จ”
    คำแต่ละคำมันมีความหมายที่ลูกควรทำความเข้าใจ
    เพื่อที่จะได้ไม่ต้องใช้มันพร่ำเพรื่อในชีวิตจริง


    ---


    เรื่องนี้คงเป็นเรื่องสุดท้ายที่พ่อจะเขียนให้ลูกอ่าน พ่อขอโทษด้วยที่เขียนบันทึกเล่มนี้ได้ไม่ต่อเนื่องสักเท่าไร แต่พ่ออยากบอกลูกว่าพ่อตั้งใจรวบรวมความคิดของพ่อที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาต่างๆ ให้ลูกได้อ่าน คิด และพิจารณามัน


    พ่อหวังว่าว่า สักวันหนึ่งลูกคงทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้
    และใช้เป็นข้อคิดเพื่อให้ชีวิตลูกเติบโตได้อย่างสมบูรณ์


    เหตุผลที่พ่ออยากพูดเรื่องเหล่านี้ให้ลูกฟังนั้น เพราะพ่อเชื่อว่าในวัยทำงานของลูกตอนนี้ คงต้องเจออะไรมากมายหลากหลาย แต่เอาเข้าจริง แก่นของมันนั้นมีเพียงแค่ 3 เรื่องเท่านั้น


    ลูกคิดว่านอกจากเวลาที่เรานอนหลับ
    ความฝันมีความจำเป็นกับชีวิตไหม?


    สำหรับพ่อแล้วมันจำเป็นกับชีวิตมากๆ เพราะความฝันมันเป็นเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ทุกคน พ่อเชื่อว่าคนเราทุกคนต้องมีความฝันที่จะทำอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้นอนตายอย่างอ้างว้างในหลุมศพ


    วันที่เราตายจากโลกนี้ไป
    เราอยากได้ยินคนทั้งหมดพูดถึงเราว่าอย่างไร

    นั่นแหละคือบทพิสูจน์ว่าความฝันของเรานั้น
    "มันยิ่งใหญ่แค่ไหน"


    แต่พ่อจะบอกให้ลูกรู้ว่า... แค่เพียงความฝันมันยังไม่พอหรอกลูกเอ๋ย เพราะความฝันที่ลูกมีนั้น ลูกต้องรีบเปลี่ยนมันเป็น “เป้าหมาย” เพื่อให้เราเดินไปถึงมันได้ง่ายขึ้น

    "ความฝัน" อาจจะไม่มีวันเป็นจริงก็ได้ แต่ "เป้าหมาย" จำเป็นต้องเป็นจริงให้ได้ เพราะมันคือสิ่งที่เรากำหนดขึ้นมาหลังจากที่ฝัน และเพื่อยืนยันว่าเราทำมันได้ในโลกของความเป็นจริง


    วันนี้... ลูกอาจจะฝัน อยากมีอิสรภาพทางการเงิน อยากประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ อยู่เคียงข้างกับคนที่ลูกรัก ทำตัวให้กลายเป็นดาวประดับฟ้า หรืออะไรอีกมากมายที่ลูกคิดว่าลูกอยากมีอยากเป็น


    ลูกจงฝันมันไปเลย!!!
    พ่อได้ยินแล้วยินดีเสียด้วยซ้ำกับความฝันอันยิ่งใหญ่ของลูก


    แต่สิ่งที่พ่ออยากถามต่อ คือ เมื่อลูกมีความฝันแล้ว ลูกวางหนทางไปสู่ “เป้าหมาย” อย่างไรบ้าง เท่าไรล่ะที่ลูกเรียกว่าอิสรภาพการเงิน แค่ไหนล่ะที่ลูกเรียกว่าประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ การใช้ชีวิตแบบไหนที่ลูกเรียกว่าอยู่เคียงข้างคนรัก หรือแม้แต่หนทางที่สร้างให้ลูกไปเป็นดาวประดับฟ้า ลูกจะใช้เวลาเปลี่ยนฝันให้มันเป็นเป้าหมายได้อย่างไร?


    ถ้าเป้าหมายลูกชัดเจนมากแค่ไหน
    พ่อเชื่อว่าความฝันจะยิ่งเข้าใกล้ความเป็นจริงมากแค่นั้น


    อย่างไรก็ดี สิ่งที่ลูกคิดว่ามันคือ "เป้าหมาย" มันอาจจะไม่จบเพียงแค่นั้น เพราะมนุษย์เราเกิดมาเพื่อถูกโลกนี้สอนให้เรายอมรับการเปลี่ยนแปลง การมีเป้าหมายในวันนี้ การมีความฝันในวันนั้น เมื่อเวลาและโอกาสเข้ามาทักทายมัน บางครั้งลูกอาจจะต้องเป็นคนที่ต้องเปลี่ยนแปลงมันไปด้วยตัวเอง


    การที่คนเรามีความฝัน มีเป้าหมาย พ่อมองว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่จะดีกว่านั้น ถ้าหากลูกเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงและจัดการมัน หากความฝันและเป้าหมายที่ว่าไม่สามารถเป็นไปตามที่คาดไว้ และเมื่อถึงตอนนั้นจริงๆ สิ่งที่เรียกว่า “ความหวัง” มันจะเป็นอะไรที่สำคัญมากๆ สำหรับลูก


    ถ้าความฝันเปรียบเหมือน
    ฝนที่ตกลงมากลางทะเลทราย

    ความหวังน่าจะกลายเป็น
    บ่อน้ำที่กักเก็บน้ำฝนไว้ใช้ตอนหน้าแล้ง


    เมื่อเป้าหมายไม่เป็นอย่างใจ เมื่อเกิดอุปสรรคขึ้นตอนไหน หรือแม้แต่ตอนที่พลังใจของลูกใกล้จะหมดลง “ความหวัง” จะกลายเป็นแรงผลักดันให้ลูกลุกขึ้นสู้ต่อ เหมือนที่ลูกเป็น "ความหวัง" ในการมีชีวิตอยู่ของพ่อเพื่อทำตามความฝันนั่นแหละ


    เมื่อไรก็ตามที่เป้าหมายหลอมรวมกับความฝัน และความหวังผลักดันให้ลูกเดินไปถึงจุดนั้นได้จริง ลูกจะรู้สึกถึง “ความสำเร็จ” ในช่วงภวังค์หนึ่ง ซึ่งความสำเร็จที่พ่อว่านี้ ไม่ใช่หมายถึงการมาในรูปแบบของเงินตรา ความหรูหรา ความฟุ่มเฟือย แต่มันจะมาในแง่ของความรู้สึกเพียงชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งมันมาถึงเพื่อให้ลูกรู้จัก "ปล่อยวาง" มันทิ้งไป


    มันคงเหมือนกับความรู้สึกในวินาทีแรก
    ที่เราปีนไปถึงจุดสูงสุดของภูเขา


    ยืนชื่นชมกับความงดงามของมันในชั่วอึดใจ
    แล้วปล่อยให้ความรู้สึกนั้นเลือนหายไป


    ความสำเร็จของแต่ละคนไม่เหมือนกันหรอกลูก มันเป็นเหมือนรสนิยมอาหาร บางคนชอบรสเผ็ดจัดจ้านของอาหารไทย บางคนชอบความสดใหม่ของปลาญี่ปุ่น บางคนชอบกลิ่นเครื่องเทศหอมกรุ่นของชาวอินเดีย เรื่องเหล่านี้มันแตกต่างกันไปตามปัจเจกบุคคล


    แต่ลูกสังเกตไหมว่าทุกอย่างนั้น มันต้องเริ่มจากความฝันที่ถูกต้องเสียก่อน พ่อหวังว่าทั้งหมดที่พ่อเขียนในบันทึกเล่มนี้ คงจะช่วยปลูกเมล็ดพันธ์ุทางความคิดให้ลูกเดินทางไปถึงความสำเร็จของตัวเองได้สักวันหนึ่ง


    "ขอให้ลูกพบความฝันที่ถูกต้องของตัวเอง”

    - พ่อ -

      

    ---


    “พี่ครับ พี่!”
    เสียงเรียกอีกครั้งปลุกให้ผมตื่นขึ้นจากภวังค์


    “อ๊ะ ว่าไงนะครับ”
    ผมตอบกลับไปด้วยความงุนงงในคำถามอีกครั้ง


    “พี่เคยเห็นสมุดที่ปกมันเขียนไว้ว่า “บันทึกของเก่า” บ้างไหมครับ?”


    ---


    “แม่ครับๆ พ่อเป็นคนยังไงเหรอ?” ผมเคยเอ่ยปากถามคำถามนี้กับแม่
    “ผู้ชายธรรมดาเงียบๆ ใจดี ล่ะมั้ง” แม่ตอบผมกลับด้วยนิยามสั้นๆ


    “เก่าถามถึงพ่อไปทำไมเหรอ”
    “พอดีครูสั่งให้เก่าเขียนเรียงความวันพ่อครับ”


    “โรงเรียนนี่ยังไงล่ะเนี่ย รู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าเก่า... ”
    “...”


    หลังจากพูดประโยคนี้จบแม่เงียบไป
    แต่ในใจผมได้ยินคำว่า “ไม่มีพ่อ” อย่างชัดเจน


    ---


    ผมเดินไปหยิบสมุดบันทึกให้น้องคนนั้นด้วยความสงสัย ทำไมเขาถึงรู้จัก “สมุดบันทึกของพ่อผม” ด้วยล่ะ ในเมื่อมันเป็นของพ่อที่เขียนถึงผม แถมยังซ่อนไว้เสียมิดชิด หรือว่าเขาจะเคยเปิดอ่านตอนที่มาอาศัยอยู่ที่นี่? หรือว่าเด็กสมัยนี้ไม่ค่อยมีมารยาทกันแล้ววะ?


    ผมยืนมองเขาพลิกสมุดบันทึกเปิดอ่านดู เริ่มรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อย แต่เหมือนเขาจะรู้สึกตัวก่อนที่ผมจะต่อว่าเขา เขาเลยหันหน้ามาพูดกับผมว่า


    “ใช่จริงๆด้วย ลายมือของพ่อแน่ๆ ขอบคุณมากนะครับพี่”


    ---


    “ผมไม่ได้อาศัยอยู่บ้านนี้หรอกครับพี่ ผมเป็นลูกชายคนที่มาเช่าบ้านนี้ครับ” เขาเอ่ยปากอธิบายที่มาของตัวเอง –น้องบอม- เด็กหนุ่มที่มีอายุน้อยกว่าผม 2 ปี เขากำลังเรียนปี 4 ด้านศิลปะอยู่ที่มหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังแห่งหนึ่ง


    5 ปีก่อน... พ่อของเขาถูกโยกย้ายมาทำงานที่ธนาคารแห่งใหม่ที่เพิ่งเปิดสาขาในเมืองนี้ พร้อมกับแม่ของเขาที่ย้ายตามมาดูแลสามีและหางานจิปาถะทำ ทิ้งให้เขาอยู่กับย่าเพียงลำพัง

    3 ปีก่อน... ธนาคารมีนโยบายลดจำนวนพนักงานลง พ่อของเขาเป็นหนึ่งในพนักงานที่ถูก "ให้ออก" ด้วยอายุและเงินเดือนที่สูงมากในตอนนั้น กับดักของมนุษย์เงินเดือน ทำให้พ่อของเขาไม่สามารถหางานใหม่ทำได้


    แม่ของเขากลายเป็นเสาหลักของบ้าน เธอต้องทำงานรับจ้างมากขึ้นเพื่อชดเชยรายได้ที่หายไป ส่วนพ่อของเขานั้นเริ่มกลายเป็นคนหมดหวัง ท้อแท้ หมดกำลังใจในชีวิต และคิดเสมอว่าตัวเองไม่มีคุณค่า

    “พ่อเริ่มทำธุรกิจของตัวเอง แต่ก็ไปไม่รอด คนมันทำงานกินเงินเดือนมาตลอดชีวิตนะพี่” บอมเล่าต่อ “ส่วนแม่ก็เหนื่อยน่าดู ตอนนั้นผมเองเพิ่งขึ้นปี 1 ด้วย”


    โชคดีที่หลังจากเข้ามหาวิทยาลัย บอมพอมีฝีมือด้านดนตรีอยู่บ้าง เลยทำให้เขาสามารถหาเงินส่งตัวเองเรียนได้ โดยการตั้งวงเล่นดนตรีกลางคืนกับเพื่อนๆ แถมยังแบ่งเงินบางส่วนมาให้แม่กับพ่ออีกด้วย


    “ตั้งแต่ผมดูแลตัวเองได้นั่นแหละ แม่ก็เริ่มสบายขึ้น แต่พ่อน่ะหนักกว่าเดิม” การที่ต้องยอมให้ลูกและเมียมาดูแลเขาผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว มันเหมือนกับศักดิ์ศรีถูกกัดกร่อนลงไป "สุดท้ายพ่อผมแกก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน" บอมเล่าให้ฟังแบบไม่แคร์อะไร ดูท่าทางเขาคงเป็นคนที่เข้าใจโลกในระดับหนึ่ง


    “อยู่ๆ พ่อแกก็บอกว่าจะไปเป็นนักเขียน แกอยากเป็นคนสร้างแรงบันดาลใจให้ชีวิตคน ผมยิ่งงงเข้าไปใหญ่ ยังบ่นกับแม่อยู่เลยว่า พ่อเขาจะเขียนอะไรสอนใครได้ ตัวแกเองยังเอาไม่รอดเลย”


    “ไม่รู้พ่อไปได้ความคิดนี้มาจากไหน แกน่าจะหาอ่านตามอินเตอร์เน็ต หนังสือ หรือไปฟังอบรมอะไรพวกๆนี้มั้งพี่ มีวันหนึ่งหนักมากเลย แกบอกกับแม่ว่า ใครๆก็สามารถเป็นนักเขียนได้ และพ่อจะเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จให้ดู"


    หลังจากแกประกาศออกมาแบบนั้น (ประกาศเป้าหมายน่ะเหรอ - ผมถาม) ใช่ๆพี่ หลังจากนั้นแกก็เขียนอย่างเอาเป็นเอาตาย ที่สำคัญแกใช้คอมไม่ค่อยเป็น ผมก็ต้องไปหาสมุด กระดาษ ปากกา หรืออะไรพวกนี้มาให้แกเขียน แกเขียนอยู่หลายเล่มเลยนะพี่ ตอนย้ายบ้านผมเก็บกลับไปหมดแล้ว เหลือแต่เล่มนี้นี่แหละ แกซ่อนอะไรของแกไว้ก็ไม่รู้"

    “มีอยู่ครั้งนึงแกมาขอเงินผมไปเรียนด้วยนะ บอกว่าจะเอาไปพัฒนาตัวเอง ผมก็ถามแกกลับว่า แล้วพ่อจะพัฒนาตัวเองทำไม แกก็บอกผมว่า นอกจากแกเป็นนักเขียนแล้ว แกยังอยากเป็นกูรูสร้างแรงบันดาลใจอีกด้วย ผมยังหัวเราะแกอยู่เลย แต่ก็ต้องให้ตังค์แกไปเรียน ไม่งั้นแกโกรธผม แล้วเดี๋ยวเรื่องเยอะอีก”


    “มาช่วงปีหลังๆนี่แหละพี่ วงดนตรีของผมเริ่มจะดังละ มีงานโชว์ตัวเรื่อยๆ มีงานเล่นตามผับ ไอ้มือกีตาร์วงผมมันหล่อด้วย สาวกรี๊ดใหญ่ เนี่ยถ้าพี่สนใจดูได้นะ ผมมีแฟนเพจด้วย (เขาเปิดให้ผมดู ผมมองเห็นตัวเลขคนติดตามประมาณ 5 แสนคน) งานโฆษณาอะไรก็เข้ามามากขึ้น ตอนนี้น่าจะสบายแล้วล่ะครับ ฮ่าๆ"


    "ตอนนี้ผมเลยกลายเป็นคนดูแลครอบครัวทั้งหมดเลยพี่ จริงๆ แม่ก็หยุดทำงานที่นี่มาสักพักแล้ว แต่ผมบอกให้แกอยู่ที่นี่ไปก่อนจนหมดสัญญาเช่า จังหวัดนี้อากาศดี สบายกว่าในเมืองเยอะ พ่อก็จะได้มีอะไรทำ ขีดๆเขียนๆแกไป จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน"


    ระหว่างที่บอมเล่าเรื่องของเขาให้ผมฟัง ดูเหมือนเขาภูมิอกภูมิใจกับสิ่งที่เขาทำมากๆ แววตาของเขาเป็นประกายเหมือนกับได้ทำงานที่เขารักจริงๆ


    “สุดท้ายหมอบอกว่าพ่อผมเป็นโรคซึมเศร้าอ่ะพี่ แกพยายามเขียนหนังสือหลายเล่ม ผมส่งไปจ้างคนพิมพ์แล้วส่งเสนอสำนักพิมพ์ให้แก ส่วนใหญ่ไม่ได้พิมพ์หรอกพี่ ไอ้ที่เคยได้พิมพ์ก็ไม่ดัง แถมก่อนหน้านี้มีคนมาชวนแกไปออกหนังสือเหมือนกันนะ แต่พอแกส่งต้นฉบับไป เขาก็เอาไปดัดแปลงเขียนใหม่แล้วให้คนดังๆมาเป็นเจ้าของต้นฉบับแทน ดาราคนนั้นอ่ะ (เขาเอ่ยชื่อดาราชื่อดังคนหนึ่งที่กลายเป็นโค้ชสร้างแรงบันดาลใจ) พี่รู้จักใช่ไหม นั่นแหละผลงานพ่อผมหมดเลย แต่พ่อไม่มีชื่อ ไม่มีเครดิต ไม่มีอะไรสักอย่าง คิดดูสิพี่ ว่าน่าสงสารแค่ไหน”


    “ก่อนจะย้ายออกจากบ้านนี้ แม่เล่าว่าพ่อเอาสมุดบันทึกเล่มนี้ไปซ่อน อยู่ๆแกบอกว่ากลัวว่าคนจะมาขโมยผลงาน แกบอกแกเขียนเล่มสุดท้ายไว้ อยากจะเก็บไว้ให้ผมอ่านตอนโตกว่านี้ พี่คิดดูดิ ผมโตป่านนี้แล้ว ไม่อยากบ่นเลยว่าทุกวันนี้ผมต้องสอนแกแล้ว ฮ่าๆ”


    “นี่ผมดีใจมากเลยนะพี่ ที่เจอหนังสือเล่มนี้ ผมว่าจะเอาไปให้แกดู บอกแกว่าผมอ่านแล้ว แกจะได้ดีใจ ยอมกินยาตามที่หมอสั่งเสียที"


    "ขอบคุณมากนะครับพี่ที่รับฟังผม”
    ผมพยักหน้าช้าๆ โดยที่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี


    "ทำไมถึงชื่อว่า บันทึกของเก่าล่ะ"
    ผมเอ่ยถามเขาอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเราทั้งคู่ไม่เข้าใจผิดกัน


    "อ้อ พ่อแกเขียนหลายเล่มครับพี่
    พอดีเล่มนี่เป็นเล่มเก่าไงพี่ แกเลยตั้งชื่อว่าบันทึกของเก่า"


    ---


    รถของบอมขับออกไปแล้ว ส่วนผมยืนนิ่งอยู่หน้าบ้าน นึกถึงเรื่องราวที่อยู่ในสมุดบันทึกเล่มนั้น ความเชื่อมโยงกันอย่างไม่มีจุดหมาย ทำให้ตัวผมเองกลายเป็นคนที่น่าสมเพชที่สุดในโลกใบนี้

    คุณอาจจะสงสัยว่าทำไมผมถึงไม่แสดงอาการอะไรออกมามากนัก ไม่คร่ำครวญ ไม่ฟูมฟาย ไม่โวยวายอะไรออกมาเหมือนตามประสาคนขี้แพ้ทั่วไปเขาทำกันใช่ไหมครับ?

    ผมอยากบอกว่าไม่ใช่ผมไม่รู้สึกอะไรเลย จะมีใครบ้างล่ะที่ลาออกจากงานตามเพื่อหาความฝันแบบโง่ๆ จนมารู้ความจริงว่าเจอทั้งเพื่อนและคนรักหักหลัง แถมความรักครั้งใหม่ที่พังทั้งๆที่ยังไม่ได้เริ่มต้น และมาโดนคอมโบหนักชุดสุดท้ายด้วยการไปเชื่อถือบันทึกที่พ่อคนอื่นเขียนไว้ และยึดถือมันด้วยความดีใจราวกับเขาเป็นพ่อตัวเอง


    ถ้าใครสักคนเจ็บจนด้านชา
    มันไม่ได้แปลว่าเขาจะชินกับการเสียใจหรอกครับ


    เพียงแต่การที่เขาไม่ยอมพูดอะไรออกมา
    เพราะเขารู้ดีว่าหลังจากนั้น... น้ำตามันจะไหลออกมาไม่หยุด


    ---


    ผู้เช่ารายใหม่มากดกริ่งประตูบ้านของผมตั้งแต่เช้าตรู่ เขารับกุญแจจากผมไปโดยที่ไม่ได้ทักทายอะไรนอกจากคำพูดสั้นๆ ว่า "ฝากสัญญาให้กับป้าเจ้าของด้วย"


    ถ้าเป็นตอนปกติ ผมคงนึกหมั่นไส้เขา กะอีแค่ทำบริษัทสตาร์ทอัพอะไรเนี่ย มันต้องหยิ่งกับคนอื่นแบบนี้เลยเหรอ แต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะหมั่นไส้ใคร ได้แต่พยักหน้าแล้วบอกไปสั้นๆ ว่า "ครับ"


    ---


    “เก่าเอ้ย จะกลับแล้วเหรอลูก” ป้าข้างบ้านเอ่ยถามผม ระหว่างที่เห็นผมแบกกระเป๋าใบใหญ่ยืนรอรถรับจ้างให้ไปส่งที่ท่ารถ


    “ครับป้า ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยดูแลผมหลายๆเรื่องเลย”
    “โอ้ยยย ไม่เป็นไรหรอกลูกเอ้ย ป้าอยู่คนเดียวก็เหงาๆแบบนี้แหละ”


    ผมพูดคุยกับป้าเรื่องคนเช่ารายใหม่พร้อมทั้งกำชับว่ามีอะไรให้โทรหาแม่ผมทันที ผมคิดเอาเองว่า ป้าคงจะไม่ชอบขี้หน้าเขาเหมือนกันกับผม


    หลังจากที่ผมยืนคุยกับป้าต่ออีกไม่ถึง 5 นาที รถรับจ้างก็มาจอดหน้าบ้านพอดี...
    “ผมไปก่อนนะครับป้า สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ป้าพร้อมกล่าวคำอำลา



    “เอ้อ.. เกือบลืมเลยลูก มีคนฝากของไว้ให้เก่าน่ะ”
    ป้ายื่นซองกระดาษให้ผม


    มันเป็นรูปถ่ายที่มีข้อความเขียนไว้ในนั้น!!

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in