เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ตัวฉันในวันพรุ่งนี้ (Yesterday-Today-Tomorrow)พรี่หนอม
010 : พ่อรวย สอนลูก?
  • มึงอ่านหนังสือเยอะขนาดนี้ เมื่อไรจะประสบความสำเร็จสักทีวะ?
    เป็นคำพูดกวนตีนที่ทำให้ผมรู้สึกจี๊ดดดดดดดขึ้นมา


    ---


    “ถามหน่อยเหอะ... กูไปเอาหนังสือพ่อมึงมาอ่านหรอวะ?” ผมมองหน้ามันพร้อมกับถามกลับไป - ไอ้ฟิวส์ - จริงๆมันเป็นเพื่อนรักผมครับ แต่ผมชอบเรียกมันว่าเพื่อนแซะ เพราะแม่มแซะผมได้ทุกเรื่อง แนวคิดชีวิต พฤติกรรม ไลฟ์สไตล์ ผมอยากบอกเลยว่าไอ้ฟายนี่แม่มแสบจริงๆ

    ไอ้ฟิวส์มันเป็นคนเก่ง หัวดี บ้านรวย แถมหน้าตายังดีอีกต่างหาก มันเป็นคนที่มีชีวิตแตกต่างกับผมโดยสิ้นเชิง แต่โชคชะตาก็ทำให้มันต้องกลายมาเป็นเพื่อนสนิทผมตั้งแต่วันแรกในชีวิตมหาวิทยาลัย เพราะเราอยู่กรุ๊ปรับน้องกรุ๊ปเดียวกัน


    “ทำไมมึงถึงมาสนิทกับกูวะ” ผมเคยเอ่ยปากถามมันกลางวงเหล้า

    “เชี่ยยยย มึงแม่งไม่รู้อะไรแล้ว กูสนิทกับมึงเพราะกูจะได้ดูดีไง มึงไม่เคยเห็นเรอะ พระเอกหล่อๆมันต้องมีเพื่อนเนิร์ดๆห่วยๆสักคนไว้ช่วยเหลือไงแสส”


    "สัส"
    "ขอบคุณครับผม"


    ---


    หลายคนชอบบ่นกับผมว่ามันเป็นคนชั่ว คนเลว เพลย์บอยสันดานหมาประจำคณะ แต่เอาเข้าจริงผมว่ามันเป็นแค่คนตรงๆคนหนึ่งเท่านั้น ความกวนตีนของมันไม่มีผลอะไรกับผมสักเท่าไร


    มีหลายครั้งที่มันช่วยเหลือผมโดยไม่ได้มองว่าผมด้อยกว่ามัน #เราคือเพื่อนกัน มันบอกกับผมแบบนั้น ครั้งหนึ่งมันเคยลุกขึ้นมาต่อยปากรุ่นพี่ที่มาหาว่าผมเป็นลูกคนจนหวังจะเกาะเอาผลประโยชน์จากไอ้ฟิวส์


    “ไอ้เหี้ย รวยจนก็คนเหมือนกัน ทำไมต้องดูถูกกันวะ
    รุ่นพี่อย่างมึงกูไม่นับถือให้เสียเวลาหรอกสัส”


    แค่ประโยคนี้ประโยคเดียว... มันทำให้ผมรู้สึกว่าเลือกคบเพื่อนไม่ผิดคน ถึงแม้ว่าบางครั้งผมจะต้องคอยเช็คชื่อเข้าเรียนให้มันบ้าง ทำรายงานให้มันบ้าง เอ่อ.. แต่ที่หนักสุดๆ คือ บางครั้งผมต้องเคลียร์สาวๆ เพื่อช่วยสับรางให้มันนี่แหละครับ


    “เมื่อไรมึงจะหยุดสักทีวะ” ผมเคยถามมันหลังจากสาวคนที่สามของมันเดินมาตบหน้ากลางโรงอาหาร
    “ถ้ากูเจอคนที่ใช่เมื่อไร กูจะหยุดทันที” มันตอบผมอย่างไม่แยแส


    "มันมีด้วยเหรอวะ คนที่ใช่"
    "มึงไม่เข้าใจความรักหรอก เบบี๋"


    ---


    “แฟร์ ... เราขอโทษ ... เรารักแฟร์นะ”
    เสียงในโทรศัพท์นั้นมันช่างเป็นเสียงที่ผมคุ้นเหลือเกิน


    ---


    แต่จะว่าไปแล้ว ความดีอีกข้อหนึ่งที่ทำให้ผมซึ้งบุญคุณไอ้ฟิวส์มากๆ นั่นคือการที่มันช่วยให้ผมมีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักทีครับ แฟนสุดที่รักของผม “แฟร์” ที่ผมจีบเธอติดก็เพราะมันช่วยนี่แหละ


    ตอนแรกดูเหมือนว่ามันจะสนใจเธออยู่บ้าง แต่พอมันได้ลองไปคุยสักพัก มันดันบอกว่า "ไม่เอาดีกว่าว่ะ กูไม่ชอบแนวลูกคุณหนู" ผมคิดเองว่ามันคงแพ้ทางกันยังไงสักอย่าง และนั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมกล้าเอ่ยปากถามมันอย่างหน้าด้านๆว่า


    “งั้นถ้ามึงไม่จีบ กูจีบแฟร์ได้ป่ะ”
    “เอ้าไอ้ห่านนนนน นี่มึงชอบแฟร์หรอวะ มาๆๆกูจัดให้"


    ด้วยคำแนะนำและเทคนิคจีบสาวชั้นครูของมัน ทำให้ผมได้เป็นแฟนกับแฟร์ได้ทั้งที่ยังอยู่ปีหนึ่ง คิดดูสิครับ!! คนธรรมดาๆ อย่างผมเนี่ยนะ จะสามารถจีบแฟร์ที่เป็นดาวคณะได้เหรอ? ไม่อยากจะคิดเลยล่ะครับ

    “ต่อไปมึงเรียกกูว่าโค้ชฟิวส์ ผู้หิวความรักได้เลยสัส”
    มันพูดกวนตีนหลังจากที่ได้ยินข่าวดีของผม


    ---


    หลังจากที่ขึ้นเรียนชั้นปีสาม ผมกับมันก็เริ่มห่างๆกันไป เพราะว่าเราเลือกกันคนละสาขา มันเลือกเรียนแนวเทคโนโลยี ส่วนผมขอยืนยันอยู่กับสายทฤษฏีต่อไป ส่วนแฟร์แฟนสาวสุดที่รักของผม ไม่รู้อะไรดลใจให้เธอเลือกเรียนสาขาเดียวกันกับมัน


    “เดี๋ยวกูดูแลเมียมึงให้เอง รับรองไม่มีใครกล้าจีบ มึงอย่าลืม กูใคร กูโค้ชฟิวส์ เลิฟกูรูยู้ฮูมีไลน์มั้ย” มันบอกผมแบบนั้นตอนที่รู้ตัวว่ามันต้องเรียนสาขาเดียวกันกับเธอ


    ---


    “แฟร์ๆๆ แฟร์อย่าเพิ่งวางสายนะ แฟร์ฟังเราก่อน”
    เสียงคุ้นเคยเสียงนั้นยังคงอ้อนวอนปลายสาย


    คุณคงเดาถูกใช่ไหมครับว่าปลายสายเป็นใคร
    ครับ.. ไอ้ฟิวส์เพื่อนรักของผม


    ---


    ตอนขึ้นปีสี่ สาขาที่ผมเรียนอยู่ส่งผมไปฝึกงานที่บริษัทบัญชียักษ์ใหญ่ ทำให้ผมไม่มีเวลาว่างพอที่จะดูแลแฟร์เหมือนเดิม ยังดีที่ได้ไอ้ฟิวส์มาช่วยดูแลเธอแทนผม


    มีอยู่ช่วงนึง ผมสังเกตว่ามันดูไม่ค่อยเต็มใจจะดูแลเธอสักเท่าไร แต่ลองถามแฟร์ดู เธอก็บอกว่าไม่ได้มีปัญหาอะไรนะ เอาจริงๆ ผมยังแอบคิดว่าเหมือนเธอจะโอเคกับมันเสียด้วยซ้ำ


    “ช่วงนี้มึงเป็นไรป่ะ มีอะไรไม่สบายใจก็บอกกูได้นะ เรื่องสาวเหรอ”
    “เฮ้ย กูสบายดีๆ ไม่มีไรเล้ยยมึง”


    “หลังๆเห็นแฟร์บอกว่ามึงไม่ค่อยจีบสาวแล้วเหรอวะ”
    “เออ กูเหนื่อยๆ น่ะ โตแล้วมั้งมึง ฮ่ะๆๆ”


    ---


    “ฟิวส์ นี่กูเอง”

    “.....”


    เสียงปลายสายที่กำลังร้อนรนอยู่
    เงียบเสียงลงเพียงแค่ชั่วอึดใจ


    ---


    วันรับปริญญา ผมเดินไปกอดมัน
    “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะมึง“


    มันกอดผมกลับ, ตบไหล่แล้วบอกว่า
    “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม มึงจะเป็นเพื่อนรักของกูตลอดไป”


    ---


    ผมวางสายโทรศัพท์หลังจากที่พูดอะไรบางอย่างกับฟิวส์เสร็จ หลังจากนั้นค่อยหยิบมือถือเครื่องนั้นใส่ไว้ในกระเป๋าของแฟร์เหมือนเดิม และทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น


    ผมเดินไปปิดไฟ ล้มตัวลงนอนบนโซฟาตัวใหญ่ตัวเดิม ผมไม่ได้ตั้งใจจะนอนหลับหรอกครับ แต่อยากอยู่เงียบๆเพื่อคิดอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะให้คำตอบกับแฟร์ในตอนเช้า


    ---


    เช้าวันรุ่งขึ้น ผมจัดอาหารเช้าแบบง่ายๆ เตรียมไว้ให้ผมกับแฟร์ เก้าโมงตรงเธอเปิดประตูเดินลงมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีสัญญานตอบรับใดๆให้กับผมสักคำ ผมนั่งมองเธอกินอาหารพลางจิ้มโทรศัพท์ไปพลางสักพัก ก่อนจะเอ่ยปากว่า


    “แฟร์”
    “มีอะไร”


    “เก่าว่า เราเลิกกันเถอะ” เธอเงยหน้ามองผมแบบไม่เชื่อสายตา...
    “ทำไมเก่าทำแบบนี้ แล้วเวลา 5 ปีที่เราคบกันมันไม่มีความหมายเลยเหรอ เก่าไม่สงสารแฟร์บ้างเหรอ เก่า..”


    “มันไม่มีความหมายตั้งแต่แฟร์คบกับฟิวส์แล้วล่ะ”

    หลังจากผมพูดประโยคนี้ไป เธอชะงักไปแป๊บนึง เหมือนเธอจะตกใจมาก แต่ผมไม่รอให้เธอเถียงอะไรออกมาหรอกครับ ผมตัดสินใจพูดประโยคต่อไปอย่างรวดเร็ว


    “เก่ารู้ทุกอย่างหมดแล้ว เมื่อคืนเก่าคุยกับไอ้ฟิวส์แล้ว
    แฟร์ไม่น่าลืมหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นไปด้วยเลยนะ”


    ตั้งแต่คบกันมา 5 ปี
    นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าสีหน้าของเธอช่างดูน่าสงสาร


    ---


    ช่วงสายของวันนั้น... แฟร์ลากกระเป๋าออกจากบ้านผมไปแล้ว เธอไม่กล้าแม้แต่จะกล่าวคำลา มันเป็นการยุติความสัมพันธ์ที่ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด


    ในแง่หนึ่ง... ผมรู้สึกว่าเหมือนโชคชะตากำลังตั้งใจเล่นตลกอะไรบางอย่างกับชีวิตผม มันคงเป็นทดสอบของชีวิตที่ส่ง “ความจริง”มาให้ผมได้เรียนรู้มัน


    ถ้าเป็นช่วงก่อนหน้านี้ ผมคงร้องไห้คร่ำครวญหาความรับผิดชอบจากเพื่อนและคนรัก แต่มาถึงตอนนี้ ผมแค่อยากอยู่คนเดียวเงียบๆ และทำความเข้าใจกับความจริงที่เกิดขึ้นเพียงลำพัง

    ---

    ลูกรัก,

    พ่อไม่แน่ใจว่าลูกเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “ในโลกนี้มีความจริงอยู่ 2 อย่าง นั่นคือ จริงของมึง กับ จริงของกู” บ้างหรือเปล่า พ่อคิดว่าคำพูดนี้สะท้อนอะไรบางอย่างไว้ในนั้นได้ดีทีเดียวล่ะ


    ถ้าหากเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความรู้สึก
    มันไม่เรื่องไหนหรอกที่เป็นความจริงสมบูรณ์แบบ


    เพราะมันขึ้นอยู่กับว่า... เรายืนมองมันด้วยสายตาแบบไหน มองผ่านสายตาของเราหรือสายตาของเขา หรือ มองข้ามไปทั้งหมดด้วยสายตาของคนที่ไม่ใช่ทั้งเราและเขา


    ส่วนอีกคำหนึ่งที่ได้ยินบ่อยไม่แพ้กันอย่าง “ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่คนพูดจะตายเพราะความจริง” พ่อกลับมองว่า ถ้าเราเลือกเอาความจริงมาตัดแต่งผ่านมุมมองของเรา เราจะรู้ว่าแม้แต่ความจริงแบบเดียวกันในสายตาของเรา มันยังมีมุมมองอีกหลายๆชุดของความจริงซ่อนอยู่ในนั้น และเรานั่นแหละจะตัดสินใจเชื่อมันแบบไหน?


    ถ้าใครสักคนเลือกที่จะพูดความจริง สิ่งที่เขาจะต้องระวังให้มาก คือ เขาอาจจะตายด้วยความเชื่อของคนฟัง แต่มั่นใจเถอะว่า เขาไม่มีทางตายเพราะความจริงนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริง


    ท้ายที่สุดแล้ว...
    ความจริงจะทำให้เราเจ็บปวดที่สุด
    ในตอนที่เรายอมรับว่ามันเป็นความจริง


    ---

    ความจริงที่เกิดขึ้นกับชีวิตผมในตอนนี้ มันจริงเสียยิ่งกว่าจริงเสียอีก ตั้งแต่ ลาออกจากงาน - ถูกแฟนทิ้ง – เพื่อนหักหลัง – คนที่อยากจะรักก็จากไป – ตัวเองไม่มีอะไรสักอย่าง ความรู้สึกของผมในตอนนี้คือไอ้ขี้แพ้สมบูรณ์แบบแล้วสินะ


    สิ่งเหล่านั้นมันคือความจริงที่ผมจะต้องยอมรับมันเสียที ถึงแม้ว่ามันจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม และผมเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มันเกิดขึ้นมาด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพราะใครคนใดคนหนึ่ง หมดเวลาเสียทีที่จะมองหาคนผิดมารับความผิดที่เกิดขึ้น



    ตอนนี้ผมรู้แค่อย่างเดียวว่า
    ชีวิตต่อจากนี้ของผมต้องเดินต่อไปข้างหน้า


    เราต้องพัฒนาตัวเองไม่ให้เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป
    นั่นคือสิ่งที่ผมคิดได้ในตอนนี้ และผมจะทำมันให้ดีที่สุด


    ---


    “แม่ เอ่อ คือ เก่าเลิกกับแฟร์แล้วนะ”
    “อ้าว... ทำไมล่ะลูก”


    “เราเข้ากันไม่ได้อ่ะแม่” ผมตอบเลี่ยงๆ ไปเพื่อให้ไม่ให้แม่รู้สึกไม่ดีกับเธอ
    “ตอบเหมือนดาราเลยเจ้าเก่า”


    “ฮ่าๆๆๆ” มุกตลกของแม่วันนี้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย
    “เก่าโทรมาก็ดีแล้ว วันนี้คนเช่าเขาโทรมา เขาถามว่าจะเข้าไปเร็วหน่อยได้ไหม”


    “ทำไมล่ะแม่”
    “พอดีเขาต้องรีบใช้ที่บ้านเราจดบริษัทใหม่น่ะ”


    “แล้วเค้าจะเข้ามาวันไหนแม่”
    “เห็นว่าอีกสักอาทิตย์น่ะ เร็วกว่าเดิมหน่อย ไหวไหม”


    “ได้แม่ เก่าว่าจะรีบทำให้เสร็จเหมือนกัน”
    “แล้วตอบคำถามตัวเองได้หรือยังว่า งานที่รักคืออะไร”


    "เก่าคิดว่าเก่าพอได้อะไรบางอย่างแล้วนะแม่"
    "แม่หวังว่าจะเป็นคำตอบที่ใช่นะ"


    ---


    การรีบมาของผู้เช่ารายใหม่ ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกร้อนใจอะไรมากนัก เพราะผมเองก็ตั้งใจที่จะรีบจัดการให้เสร็จไวที่สุดอยู่แล้ว ความจริงที่เกิดขึ้น-ความรู้สึกที่มีต่อเรื่องราวต่างๆ-บันทึกในสมุดบันทึกของพ่อ-การได้อยู่คนเดียว มันทำให้เสี้ยวหนึ่งของผมนั้นรู้สึกว่าค้นพบอะไรบางอย่างที่มีความหมาย


    ---


    3 วันผ่านไป, ผมใช้เวลาเก็บของในบ้านจนเสร็จเรียบร้อย ส่วนที่พอจะใช้ได้หรือขายต่อได้ ผมเรียกให้รถขนส่งมารับเพื่อส่งกลับไปที่บ้านแม่ หลังจากนั้นก็แยกของบางส่วนที่ผู้เช่าคนเก่าลืมทิ้งไว้ โทรบอกให้แม่ติดต่อไปให้เขารีบมารับก่อนที่ผู้เช่ารายใหม่จะย้ายเข้ามา


    ---


    หลังจากทำงานเสร็จ ผมใช้เวลาที่เหลืออ่านสมุดบันทึกของพ่อจนจบ มันมีเรื่องราวของแรงบันดาลใจ ความคิด ทัศนคติในการทำงาน รวมถึงอีกหลายอย่างที่ผมได้รับจากมัน ถึงแม้ว่าพ่อจะไม่ได้อยู่สอนผมด้วยตัวเอง แต่สมุดบันทึกเล่มนี้ก็ทำให้ผมค้นพบอะไรบางอย่างในตัวเองเหมือนกัน


    เมื่อวันก่อน... ไอ้ฟิวส์โทรศัพท์มาขอโทษผมอีกครั้งเรื่องแฟร์ ผมได้แต่อวยพรให้พวกเขาโชคดี และขอให้ทั้งคู่มีความสุขจากใจจริง

    คุณคงสงสัยว่าทำไมผมให้อภัยพวกเขา เปล่าครับ! ผมไม่ได้ให้อภัยพวกเขา ผมภาวนาเสียด้วยซ้ำว่าอย่าได้เจอกันอีก แต่ผมไม่รู้ว่าจะโกรธเกลียดพวกเขาไปทำไม เพราะผมเองก็รู้อยู่แก่ใจว่า ณ วันนี้ "แฟร์ไม่ได้รักผม" และ "ผมก็ไม่ได้รักแฟร์"


    ตอนเย็นๆ ของทุกวันหลังจากทำงานเสร็จ ผมชอบออกไปเดินเล่นริมแม่น้ำ หาที่เงียบๆกว้างๆ เพื่อทำใจให้ว่างและพูดคุยกับตัวเองอยู่เสมอ


    ณ วันนี้... ผมได้ข้อสรุปสั้นๆแล้วว่า
    ชีวิตต่อจากนี้ของผมจะเป็นอย่างไร


    เหลืออยู่แค่เรื่องเดียวที่ผมไม่รู้จะทำยังไงดี
    "เรื่องของจูน"


    ---


    วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการอยู่ที่นี่ พรุ่งนี้ผมจะได้กลับบ้านแล้ว กลับไปหาแม่ กลับไปทำสิ่งที่ผมรัก สุดท้ายนี้ขอเพียงแต่คนเช่าทั้งเก่าและใหม่จะไม่เบี้ยวนัดผม เรื่องทั้งหมดก็น่าจะจบลงด้วยดี


    บ่ายโมงตรง เสียงรถยนต์จอดที่หน้าบ้าน ตรงตามเวลาที่เขานัดกับผมไว้ ผมเพิ่งสังเกตว่า คนเช่าบ้านคนที่แล้วยังเป็นเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับผมอยู่เลย


    เขายกมือไหว้สวัสดีผม (เอ่อ... กูหน้าแก่ใช่ไหม?) ผมรับไหว้แล้วชี้นิ้วไปที่ลังกระดาษที่แยกไว้ เขากล่าวขอบคุณอีกครั้ง ก่อนที่จะเดินไปเช็คของว่ามีอะไรหลงเหลืออยู่บ้าง


    โทษนะครับพี่...
    พี่เคยเห็นสมุดสีดำที่เขียนตรงปกไว้ว่า “บันทึกของเก่า” บ้างไหมครับ?


    เดี๋ยวนะ
    ทำไมเขาถึงถามคำถามนี้กับผม?

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Rinrada Jaiboon (@fb2896875040565)
หักมุมไปหนึ่งงงง