เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[FICTION] ด้วยรัก จากเราwinter in PARIS
Your Silly Dog
  • ‘มึงโดนยุงกัดบ้างมั้ยอะ’

    “มึงจะโทรมาแค่ถามว่ากูโดนยุงกัดมั้ยไม่ได้อะเท็น” 

    ‘มึง ก็กูเป็นห่วง กลัวมึ-- โอ๊ยอีเอย เบาๆ หน่อยได้มั้ย คุยกับผัวหรือปลุกระดมม็อบ!’ 

    ‘เท็นมึงไม่เสือกดิ’

    ‘ก็กูคุยกับอีฟินน์อยู่อะ!!’

    เสียงตีกันจากคู่สนทนาที่อยู่ในอีกปลายสายของโทรศัพท์บ่งบอกว่าเพื่อนสองคนของเขาคงอยู่ด้วยกัน  และฟังจากเสียงของเท็นแล้ว ดูท่าไอ้สองคนนี้มันคงกำลังกรึ่มๆ อยู่แน่ๆ 

    “นี่มึงอยู่ด้วยกันหรอ”

    ‘เออ’

    “ตกลงอยู่ไหน กรุงเทพ?”

    ‘โน’

    ฟินน์มุ่นคิ้ว ดวงตายังคงมองไปยังดวงดาวเบื้องบนผืนฟ้า “มึงอยู่ไหนกันวะ”

    ‘ทาย’

    “พังงา?”

    ‘พังงาพ่อมึง ภูเก็ต อีเหี้ย!’ 

    ฟินน์หัวเราะ “บินเป็นนกเลย” 

    ‘ก็รวยปะ เออ ฟินน์ มึงรู้มั้ย พี่จัสมันบินกลับเชียงใหม่ไปแล้วนะ’ 

    เขาเลิกคิ้ว “มันเพิ่งกลับกรุงเทพไม่ใช่หรอ?”

    ‘เออ มันบินกลับเชียงใหม่ไปแล้ว บอกมีธุระด่วน’

    “ธุระห่าอะไรวะ” 

    ‘กูก็ไม่รู้’ เท็นว่า ‘สงสัยเกณฑ์ทหารมั้ง’

    ‘เกณฑ์เหี้ยไรอีเท็น ผัวมึงเป็นฝรั่ง!’

    ‘เสือกอะเอย!!’

    ฟินน์ถึงกับต้องถือโทรศัพท์ไว้ให้ห่างจากหู เมื่อเพื่อนเริ่มต้นแผดเสียงแข่งกัน นั่นทำให้เขาตัดสินใจเอ่ยตัดบทสนทนา ก่อนที่ค่ำคืนอันแสนเงียบสงบท่ามกลางทุ่งนาและภูเขาจะกลายเป็นคืนฝันร้ายเพราะเพื่อนตีกัน 

    หลังจากวางสาย ฟินน์ก็จัดการวางโทรศัพท์ไว้บนเสื่อข้างตัว แล้วทอดสายตามองไปยังดวงดาวบนท้องฟ้า 

    เขาถอนหายใจ 

    เอาจริงๆ ไม่ได้อยู่อย่างสงบๆ แบบนี้มานานหลายปีแล้ว -- ตารางงานของเขาแน่นเสียจนแทบไม่มีเวลาขยับตัวไปไหนนอกจากอยู่บนรถตู้ พอได้อยู่เฉยๆ แบบนี้ก็สบายใจดีเหมือนกัน 

    เขาเกือบจะหลับอยู่บนเสื่อนอกห้องพักอยู่แล้ว ตอนที่โทรศัพท์สั่นรัวๆ บ่งบอกข้อความที่เพิ่งเข้ามาของใครสักคน ฟินน์จัดการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เวลาด้านบนหน้าจอปรากฏตัวเลข 01:27 ส่วนเจ้าของข้อความที่เพิ่งเข้ามาก็คือจัสติน 

    เขามุ่นคิ้ว 

    Justin : ฟินน์

    Justin : จะเข้าเมืองวันไหน 

    Justin : กลับกรุงเทพวันไหน

    Justin : ว่างแล้วตอบหน่อยนะ


    Finn : ว่าไง?

    Finn : เข้าพรุ่งนี้เย็นๆ ว่าจะไปแถวนิมมาน 

    Finn : กลับพรุ่งนี้  

    Finn : ทำไมวะ?


    จัสตินอ่านข้อความแล้ว ใช้เวลาสักพักจึงตอบ

    Justin : ไม่มีอะไรแล้ว 


    Finn : อะไรของมึงเนี่ย


    จัสไม่ตอบอะไรหลังจากนั้น ส่วนดวงตาของฟินน์ก็ชักจะหนัก เขาตัดสินใจเดินกลับเข้ามาในห้องพัก ไม่นานก็ผล็อยหลับไป 


    โดยไม่ทันได้สังเกตเลย ว่าข้อความล่าสุดในหลายพันข้อความ ของคอมเม้นต์บนสตาแกรม คือข้อความจากแอคเค้าท์ moonriver_ ในรูปท้องฟ้าที่ฟินน์ถ่าย 

    ‘winter sky’ นั่นคือแคปชั่นโง่ๆ ของฟินน์

    ทามกลางคอมเม้นต์นับพัน แอคเค้าท์ moonriver_ ได้โพสต์ข้อความว่า ‘I’ve never stopped missing you.’ แต่ไม่นานก็โดนกลบไป 


    .

    .

    .

    .

    .


    ‘I’ve never stopped missing you’ 

    แซนกดโพสต์ข้อความนั้นก่อนจัดการล็อคหน้าจอ -- คืนนี้หมอนของเธอเปียกน้ำตาเป็นดวงๆ แต่ก็ยังดีที่มีคนอยู่บ้านเป็นเพื่อนคือไอ้พวกบ้าสามคนนั่น บรรยากาศมันก็เลยไม่ได้เศร้าจนเกินไป

    แซนเป็นคนเสนอให้พวกมันเข้ามานอนในห้องด้วย แต่พวกมันกลับปฏิเสธ ‘ไม่ร่วมห้องกับคนมีลูกมีผัวแล้ว’ ยูตะบอกอย่างนั้น สุดท้ายผู้ชายตัวโตๆ สามคนก็ต้องอัดกันนอนในห้องนอนแขกที่ยังไม่เสร็จดีด้วยซ้ำบนชั้นสาม 

    เธอจำได้ว่าก่อนที่พวกมันจะเดินเข้าห้องไป สิ่งสุดท้ายที่เธอทำคือจับข้อมือของเพื่อนที่ตัวโตที่สุดอย่างจัสตินให้หันกลับมามองกัน หลังจากที่มันไม่ยอมพูดอะไรนอกจากคำว่า ‘อธิบาย’ และเป็นฝ่ายฟังแซนเล่าเรื่องราวทั้งหมดทั้งน้ำตามาเป็นชั่วโมง นั่นคือครั้งแรกที่เธอได้ยินจัสตินดุว่า ‘หยุดร้องไห้แล้วพูดดีๆ’ -- และแซนก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมน้องปีหนึ่งกลัวมันกันหนักหนาสมัยเป็นสตาฟ เพราะตอนนั้นถ้าไม่มียูตะคอยโอบไหล่ไว้ เธอคงปล่อยโฮหนักกว่านี้แน่ๆ 

    พอฟังเรื่องราวทั้งหมดจบ จัสก็ไม่พูดอะไร แต่กลับไล่ให้แซนขึ้นไปนอนเพราะเวลาก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนแล้ว โดยทิ้งท้ายไว้ว่า ‘พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน’

    แซนเองก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากพาเพื่อนขึ้นไปส่งห้องนอน โดยไม่ลืมจับข้อมือของจัสตินไว้ตอนที่มันกำลังจะเข้าห้องเป็นคนสุดท้าย

    เธอดึงให้มันหันมามองหน้ากัน มองเห็นดวงตาสีน้ำตาลที่สะท้อนประกายเย็นชาอย่างไม่คุ้นเคย แล้วเอ่ยพูด 

    ‘มึงรู้ใช่มั้ยจัส ว่ากูมีเหตุผล’

    จัสตินมองมือเล็กๆ ของแซน เธอเห็นว่ามันไม่ได้สะบัดออก จึงเอ่ยย้ำ

    ‘กูคิดถึงมึงนะจัสติน’

    จัสพยักหน้า ‘ไว้ค่อยคุย’ 

    เขาเดินเข้าห้องไปโดยที่ทิ้งให้แซนยืนปาดน้ำตาอยู่หน้าห้อง บางทีนะ.. บางทีนี่อาจจะเป็นบทลงโทษของเธอจริงๆ ก็ได้ 

    และใช่

    จริงๆ แซนก็อาจจะเห็นแก่ตัวอย่างที่ดีนบอกจริงๆ 


    แซนยังคงนอนไม่หลับตอนที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น เธอจัดการคว้าเอาเสื้อคลุมมาคลุมไว้ ก่อนเดินไปเปิดประตูเพื่อดูว่าใครที่ยังตื่นตอนตีสี่อยู่แบบนี้กันแน่ 

    จัสตินคือคนนั้น 

    ใบหน้าของเพื่อนที่เคยเปื้อนรอยยิ้มอยู่เสมอ บัดนี้เต็มไปด้วยความจริงจังสะท้อนชัดแม้เราสองคนจะต่างอยู่ในความมืด 

    “มีอะไรรึเปล่า” เธอถาม 

    “อยากคุยด้วย” 

    “เอาสิ” แซนตอบรับด้วยน้ำเสียงที่แสร้งทำเป็นสดใส จัสตินเองก็คงเห็นถึงความผิดปกติในนั้น ประโยคถัดมาเสียงของคนตัวโตในเสื้อยืดลายมิกกี้เมาส์จึงฟังดูผ่อนคลายมากกว่าประโยคแรก 

    “ลงไปข้างล่างดีกว่า ไม่อยากคุยในห้องมึง”

    แซนยิ้ม “ทำไม กลัวคนเข้าใจผิดหรอ เมื่อก่อนนอนด้วยกันออกจะบ่อย”

    จัสตินนิ่งไปสักพัก ก่อนตอบ

    “มึงมีลูกแล้ว.. ลงไปคุยข้างล่าง” 

    มันจัดการเปิดไฟบันได แล้วเดินนำลงไปราวกับเป็นเจ้าของบ้าน 

    แซนมองตามแผ่นหลังของเพื่อน จัสตินทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา แต่เธอยังไม่ยอมนั่งตามที่สายตาของมันกำลังเชิญ 

    “กินอะไรมั้ย” เธอถาม “กินนมมั้ย เดี๋ยวกูอุ่นให้” 

    “ก็ได้” มันตอบ ท่าทางดูผ่อนคลายกว่าตอนแรกที่เราเจอกัน 


    แซนจัดการเอาแคร็กเกอร์กับนมอุ่นมาให้จัสตินในอีกไม่กี่นาทีต่อมา ก่อนนั่งลงบนโซฟาในฝั่งตรงข้ามกับเพื่อน แล้วคว้าเอาหมอนมากอดไว้ 

    จัสตินยังไม่ยอมแตะนมหรือขนม แซนเห็นมันนั่งมองแก้วกับจานเฉยๆ อยู่นาน จึงตัดสินใจเป็นคนเปิดบทสนทนา 

    มึงโกรธกูใช่มั้ย 

    ขอโทษนะ

    ไม่โกรธได้มั้ย

    สามประโยคนี้วนเวียนอยู่ในหัว โดยที่แซนไม่กล้าที่จะเอ่ยออกไปสักที สุดท้ายจัสตินก็กลายเป็นคนเริ่มพูดก่อนแทน 

    “มึงคิดอะไรอยู่วะแซน” 

    ประโยคสั้นๆ ที่เรียกให้แซนหันไปสบตากับเจ้าของคำพูด -- จัสตินกลายเป็นจัสคนเดิมที่ผ่อนคลายและเต็มไปด้วยพลังบวกอยู่เสมอ แต่ยังคงความหงุดหงิดอยู่บนใบหน้าเหมือนเดิม 

    “กูนอนไม่หลับเลยว่ะ” มันโพล่ง “ไอ้เหี้ย คือกูแม่งไม่เข้าใจจริงๆ นะ ว่าตกลงมึงคิดอะไรอยู่ บอกกูหน่อยได้มั้ย กูจะได้กลับไปนอน ง่วงจะตายห่าอยู่แล้ว” 

    แซนหัวเราะ

      “กูก็นอนไม่หลับ” 

    “…”

    “คิดถึงมึงนะจัส..” หางเสียงของแซนสั่นอีกแล้ว จัสถึงได้ถอนหายใจและจัดการหยิบนมขึ้นมาดื่มในที่สุด 

    “กูไม่เคยอยากโกหกมึงเลยนะ..” แซนว่า “กูไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ เลยทำแบบนี้”

    “ก็เลยไม่โกหก แต่ทำตัวเหมือนตายห่าไปจากชีวิตกูงี้” มันพูดก่อนดื่มนมต่อ 

    “ก็ใช่..”

    “กูถามจริงนะแซน มึงตั้งใจจะบอกพวกกูเมื่อไหร่วะ ตอนมึงคลอดหรือตอนกูตาย?” 

    “อย่าประชดได้มั้ย” 

    “ไม่ อันนี้กูสงสัยจริงๆ ไม่ได้ประชด” จัสวางแก้วนมลงบนโต๊ะ “มึงแม่งไม่โตสักทีเลยอะ ไม่เคยมีใครบอกหรอว่าปัญหามีไว้ให้แก ไม่ได้มีไว้หนี” 

    “ป๊ากูพูดแล้ว”

    “แล้วทำไมไม่เชื่อป๊า” 

    “…”

    “คิดว่าความคิดตัวเองถูกแล้วงั้นสิ” 

    แซนเงียบ 

    “มึงแม่ง.. ไม่เคยเปลี่ยนเลยว่ะ” จัสแค่นหัวเราะ 

    เราสองคนไม่พูดอะไรกันอยู่นาน ก่อนที่จัสจะเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง 

    “แล้วมึงคิดจะบอกพ่อของลูกมึงมั้ย”

      มือน้อยลูบเบาๆ ที่หน้าท้องของตัวเองด้วยความเคยชิน เธอไม่ได้ตอบอะไร 

    “กี่เดือนแล้ว”

    “…”

    “นี่มึงจะไม่ตอบอะไรกูสักอย่างเลยใช่มั้ยแซน” จัสเริ่มขึ้นเสียงอย่างไม่จริงจังนัก “นี่กูถามดีๆ นะเว้ย” 

    “เจ็ด..” แซนตอบเบาๆ 

    “Fuck..”

    เธอเบือนหน้าหนี 

    “จะคลอดเมื่อไหร่” มันถามเรียบๆ 

    “อีกสองเดือน” 

    “…”

    “จริงๆ ก็อยากให้เขาคลอดวันเกิดฟินน์” ขอบตาร้อนอีกแล้ว แซนไม่เคยหยุดร้องไห้เวลาพูดชื่อนี้ออกมาได้เลยจริงๆ 

    “แต่ก็ไม่คิดจะบอกมันสักคำเนี่ยนะ” 

    “…”

    “มึง กูถามจริงๆ เลย มึงคิดว่าวิธีนี้มันถูกแล้วจริงๆ หรอวะ” 

    “กูไม่มีทางเลือก”

    “ไม่ แซน มึงมี” ไม่ทันจะหันไปมองหน้าคนพูด จัสตินก็จัดการทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เธอแทน “มองกู” มันย้ำ 

    แซนอิดออด สุดท้ายมันก็จับหน้าเธอให้หันมามองกันจนได้ 

    “ตอบกูดีๆ มึงคิดว่าวิธีนี้มันถูกแล้วหรอวะ”

    “…”

    “หนีไปโดยไม่บอกใคร ไม่บอกพ่อของลูกมึงสักคำด้วยซ้ำว่ามึงท้องลูกของมันอยู่ ทำคนเขาเป็นห่วงกันทั่ว มึงคิดว่ามันถูกแล้วจริงๆ หรอ” 

    เธอส่ายหน้าตอนที่สบตากับจัส สุดท้ายน้ำตาของแซนหยดลงบนมือของคนที่จับหน้าของเธออยู่จนได้ 

    “ร้องอีกแล้ว เป็นดาวพระศุกร์หรอ”

    “กูห้ามไม่ได้” ตอบไปก็สะอึกสะอื้นไป โดยมีจัสคอยปาดน้ำตาให้เหมือนเด็กๆ “มึงไม่โกรธกูได้มั้ยจัส กูขอโทษ ขอโทษจริงๆ กูขอโทษนะ กู--”

    “พอ”

    “กูไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ มึง กูไม่อยากให้มันต้องเสียหาย กูไม่อยากให้มันหมดอนาคตในวงการ กว่ามันจะมาตรงนี้ได้มันพยายามมากเลยนะเว้ย กูไม่อยากให้มันต้องมาพังเพราะกู กูทำใจไม่ได้จริงๆ กูทำไม่ได้ กูไม่--”

    จัสไม่ปล่อยให้แซนพูดจนจบประโยค เขาจัดการคว้าเพื่อนตัวเล็กเข้ามากอด พลางลูบเรือนผมของเธออย่างเบามือ 

    “แซน พอ ไม่ร้องแล้ว”

    “กูขอโทษ” เธอยกมือขึ้นมากอดเขาตอบ “กูไม่อยากให้มึงเกลียดกู”

    “ใครเกลียด มึงอะคิดไปเอง” 

    “กูไม่รู้” 

    “มาคุยกันดีๆ ก่อน อย่าเพิ่งร้อง”

    “มันหยุดไม่ได้อะจัส” 

    “โอเคๆ งั้นร้องไป เดี๋ยวกูพูดเอง” แซนพยักหน้ากับอกของเพื่อน คิดในใจว่าภาพนี้เท็นจะเห็นไม่ได้เด็ดขาด 

    “กูโกรธมึงนะ” 

    “ขอโทษ”

    “ยังอิสัส กูยังพูดไม่จบ” 

    “…”

    “มึงลองนึกดู ถ้ากูหายไปแบบไม่บอกมึงบ้างมึงจะทำยังไงวะ”

    “…”

    “คือมันเหี้ยมาก กูนึกว่ามึงตกทะเลตายไปแล้วด้วยซ้ำ ถ้าพี่มึงไม่บอกก่อนว่ามึงยังไม่ตาย”

    แซนหัวเราะเบาๆ 

    “ชอบนักหรอทำให้คนอื่นเป็นห่วง” 

    “กูขอโทษ”

    “ทำอะไรไม่คิด เอาแต่ใจ น่ารำคาญมากเลยนะมึงอะ”

    “ขอโทษ”

    “พอ ไม่ต้องขอโทษแล้ว”

    “หายโกรธก่อน” แซนเงยหน้าขึ้นมองจัส 

    “มุมนี้มันแปลกๆ มั้ย”

    เธอมุ่นคิ้ว “หมายถึงอะไร”

    “โพสิชั่นนี้มันเหมือนกูเป็นผัวมึงเลยอะ” จัสตินทำหน้าเหม็น “กูไม่ได้ทำมึงท้องนะ บอกพ่อบอกแม่มึงด้วย”

    เธอหัวเราะเสียงใส จัดการผละออกมาจากอ้อมกอดของจัสตินแล้วยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา 

    “ถามจริง พ่อแม่มึงยอมให้มึงหนีได้ไงวะ ถ้าอีเรเชลท้องนี่บ้านกูไม่ให้มันหนีนะ” 

    “ตอนแรกเขาก็ไม่ยอม” 

    “แล้วมึงดื้อท่าไหนเขาถึงยอม”

      “…”

    “วิธีเหี้ยๆ อีกสิ” 

    “ก็เหี้ย..”

    “ทำไม ขู่จะทำแท้งหรอ” 

    “ไม่เชิง” 

    “…”

    “กูสติแตกไปหน่อยตอนนั้น เลยร้องไห้จนแม่กลัวกูตัวตาย”

    “…”

    “ตอนแรกเขาก็จะพาไปหาบ้านฟินน์ให้รู้แล้วรู้รอด แต่กูไม่ยอม กูบอกแม่ว่าให้กูตายดีกว่าทำให้ฟินน์เดือดร้อน แล้วกูก็คงเหมือนจะตายให้ได้จริงๆ มั้ง” 

    “เด็กเหี้ย” แซนพยักหน้า

    “ตอนนั้นป๊าเข้าโรงบาลพอดี กูเลยเข้าไปเยี่ยมป๊าแล้วก็บอกเรื่องที่ท้อง”

    “…”

    “กูก็ขอโทษที่ทำป๊าเสียใจ”

    “…”

    “ทั้งๆ ที่เคยบอกไว้แล้วว่าจะไม่เป็นแบบพี่เทมส์ แต่กูก็ท้องจนได้”

    “แล้วป๊ามึงว่าไง”

    แซนยิ้ม 

    ‘แซนขอโทษนะคะ’ ป๊าบนเตียงคนไข้ยังคงจับมือของแซนแน่น โดยมีแม่นั่งอยู่บนโซฟาด้านหลัง หญิงสาววัย 26 ร้องไห้จับมือพ่อของเธอเป็นเด็กๆ โดยมีมืออีกข้างของพ่อยกขึ้นลูบหัว ไม่ต่างอะไรจากภาพสมัยอนุบาลตอนที่แซนหกล้มแล้วป๊ามาปลอบ 

    ‘แซนขอโทษ... แซนขอโทษจริงๆ’

    ‘…’

    ‘ป๊าเจอเรื่องพี่เทมส์มาแล้ว แซนไม่ควรทำให้ป๊าต้องเจออะไรแบบนี้ซ้ำสองเลยอะ’ 

    ‘น้องแซน ไม่เป็นไรนะลูก’

    ‘แซนขอโทษ แซนไม่รู้จะทำยังไงแล้้วจริงๆ แล้วแซนก็ไม่อยากเอาเขาออกด้วย’

    ‘แล้วฟินน์ว่ายังไง’ 

    เธอเงียบ

    ‘เขาไม่รับหรอ?’ เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินน้ำเสียงของป๊าเจือด้วยความโกรธ แซนจึงรีบตอบ 

    ‘แซนไม่ได้บอกเขา’

    ‘…’

    ‘แซนไม่อยากบอกเขาจริงๆ’

    ‘ทะเลาะกับเขาหรอลูก’

    ‘…’

    ‘เป็นแบบพี่เทมส์ตอนท้องนีน่าเลยนะรู้มั้ย’ ป๊าลูบผมเธอด้วยความอ่อนโยนเหมือนเคย ‘คนเรารักกัน ทะเลาะกัน มันก็ต้องคุยกันนะ ไหนเขาบอกว่าจะดูแลลูกสาวป๊าเป็นอย่างดีไง’

    ‘เขาดูแลดีจริงๆ ค่ะ’

    ‘แล้วทำไมถึงไม่บอกเขาล่ะคะ’

    ‘…’

    ‘ตอบป๊าได้มั้ยลูก’

    ‘ชีวิตเขากำลังไปได้ดีเลย’

    ‘…’

    ‘ตัวแซนน่ะ แซนไม่เป็นอะไรหรอก เพิ่งจบโทด้วย งานก็ยังไม่ได้หา.. แต่เขากำลังไปได้ดีเลยนะป๊า’ แซนสะอื้น ‘เขาได้เล่นละครที่เกาหลีด้วย แฟนคลับเยอะมากเลย ซีรีส์ภาษาอังกฤษเขาก็ได้เล่นแล้วนะ ไม่นานอาจจะได้ข้ามไปฝั่งอเมริกาแล้วด้วย.. เขาไม่ควรจบทุกอย่างไว้ที่แซนจริงๆ นั่นแหละ’ 

    ‘แซนก็เลยจะไม่บอกหรอลูก’

    ‘แซนขอโทษนะ แต่แซนจะไม่ทำให้ป๊าต้องอายแน่ๆ จะไม่มีใครรู้ว่าแซนท้อง แม้แต่เขาเองก็ตาม เขาก็จะไม่รู้’

    ‘…’

    ‘แม่บอกว่าจะพาป๊าไปอยู่เชียงใหม่..’ เธอช้อนตามองป๊า ใบหน้าของผู้ชายในสายตาบัดนี้อิดโรยกว่าที่เคยเห็นตลอดมา ทว่ายังสะท้อนประกายของความอบอุ่นไม่เปลี่ยนแปลง 

    ‘แซนขอไปด้วยนะคะ’ 

    ป๊าไม่ได้ตอบอะไร นอกจากลูบหัวของเธอเท่านั้น

    ‘ป๊าโกรธแซนมั้ย’

    ‘ไม่โกรธ’

    ‘…’

    ‘แต่ป๊าไม่เห็นด้วยจริงๆ นะลูก น้องแซนควรจะบอกเขา’

    ‘…’

    ‘แต่น้องแซนโตแล้ว แล้วป๊าก็ไม่อยากจะบังคับอะไรน้องแซนแล้ว’

    ‘…’

    ‘เพราะแค่ให้ไปเรียน Marketing แทนที่จะเรียนบัลเล่ต์ น้องแซนก็คงโกรธป๊าแย่แล้วใช่มั้ยล่ะ’

    ‘แซนไม่โกรธ’ แซนรีบตอบ 

    ป๊ายังคงลูบผมของเธอเบาๆ เหมือนเคย จนกระทั่งแม่เอ่ยตัดบทขึ้นมาว่าปล่อยให้ป๊าได้พักก่อน แล้วค่อยมาคุยกันใหม่ แซนจึงก้มลงไปกอดป๊า แล้วเดินตามหลังแม่ไปยังประตู 

    ทว่าป๊ากลับเรียกเธอไว้ก่อนจะเดินพ้นประตู

    เธอหันกลับมา ป๊ามองนิ่งๆ อยู่สักพัก ก่อนเอ่ยว่า

    ‘ป๊าไม่เคยอายที่ลูกของป๊าสักคนจะท้องก่อนแต่งงานนะน้องแซน’

    ‘…’

    ‘อย่าคิดว่าป๊าจะอายแค่เพราะน้องแซนท้องเลยนะลูก’

    แซนยิ้ม เธอพยักหน้า แล้วเดินร้องไห้มาตลอดทาง 

    เธอมีครอบครัวที่ดี 

    แต่กลับตอบแทนเขาด้วยสิ่งเหล่านี้ 

    ‘เลิกโทษตัวเองได้แล้วนะน้องแซน’ แม่เอ่ยขัด ตอนที่เรากำลังจะขึ้นรถ 

    เธอหันไปสบตากับเจ้าของดวงตาที่ถอดแบบกันมา 

    ‘ไม่มีใครอายที่น้องแซนท้องทั้งนั้น เราจะค่อยๆ แก้ปัญหากัน เข้าใจมั้ย’

    แซนพยักหน้า

    ‘ถ้าน้องแซนจะไม่บอกเขา ก็โอเคค่ะ แม่จะเชื่อน้องแซน เพราะนี่คือชีวิตน้องแซน แต่สักวันเขาต้องรู้ น้องแซนรู้ใช่มั้ย’ 

    เธอพยักหน้าอีกครั้ง

    ‘มานี่มา’ แม่รั้งเธอเข้ามากอด

    ‘รักตัวเองให้มากๆ นะน้องแซน เข้าใจแม่มั้ย’

    และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่เราคุยกันเรื่องการตัดสินใจของแซน

    .

    .

    .

    .

    .


    เราสองคนคุยกันจนเช้า จากบทสนทนาเรื่องความวุ่นวายทั้งหมด จบลงที่การอัพเดทชีวิตซึ่งกันและกัน 

    จากการนั่งคุยกัน สุดท้ายก็จบลงที่ขึ้นไปนอนคุยบนห้องของแซนจนได้ เธอบอกให้จัสตินขึ้นมานอนบนเตียงด้วยกัน แต่คนอย่างมันก็ไม่ยอม และเลือกที่จะนอนบนพื้นแข็งๆ แทน 

    “แล้วอิศราเป็นไงบ้าง” เธอถาม เสียงอ่อนระรวยเต็มที่ด้วยความเหนื่อย -- บัดนี้ท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างเริ่มสะท้อนความสว่างจางๆ แล้ว 

    “สบายดี พอพ่อไม่ได้เป็นนายกแล้วก็แฮปปี้ขึ้น” จัสตินตอบ เสียงเริ่มง่วงเต็มที “ไอ้ห่าแซน ตอนมึงหายตัวอะ มันถึงกับไปนั่งสมาธิในป่าด้วยนะ บอกว่ามึงบล็อคไม่ให้มันเพ่งจิตถึง เหี้ยไรไม่รู้” 

    เธอหัวเราะ 

    “แม่งโคตรบ้าเลย กูล่ะเหนื่อยกับแม่ง”

    “มันตลก”

    “เออ ตลกจริง”

    “แล้วมึงอะ ไปเรียนนู่นเป็นไง” 

    “ก็ดี ตอนที่ไม่ยอมกลับไทยกูได้ไปฝึกงานในดิสนีย์กับไปทำเพลงใต้ดิน เคยเล่าให้มึงฟังแล้วปะวะ” 

    “เคยแล้ว หลายรอบด้วย เรื่องดิสนีย์อะ”

    “ไม่เบื่อหรอ”

    “ไม่” แซนว่าเสียงใส “อยากฟัง”

    “แต่กูง่วงอะอีเหี้ย” 

    “กูก็ง่วง” 

    “แซน”

    “ว่าไง”

    “มึงจะตั้งชื่อลูกว่าอะไร”

    เธอนิ่งไปสักพัก จริงๆ ยังไม่เคยคิดเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ “ไม่รู้เลย” 

    “ผู้หญิงผู้ชายวะตกลง”

    “ไม่รู่้ ตอนแรกลูกไม่ให้ดู แล้วกูก็ไม่ให้หมอบอก” 

    “ทำไม รอห่าอะไร รอรู้พร้อมไอ้ฟินน์หรอ”

    “…บ้าหรอ”

    “บอกๆ มันไปเหอะแซน”

    “…”

    “สภาพมันเหี้ยมากเลยนะ มึงรู้มั้ย” 

    เธอหลับตา 

    “กูง่วงแล้วจัส ฝันดีนะ”

    “เนี่ย หนีกูอีกแล้ว”

    “…”

    “มันรักมึงมากนะ”

    “…”

    “เออฝันดีอีสัส ไม่ตอบก็เรื่องของมึง” 

    “จัส”

    “ไร”

    “กูก็รักมันมากเหมือนกัน” 

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in