เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[FICTION] ด้วยรัก จากเราwinter in PARIS
Your Silly Dog
  • ฟินน์ปลีกตัวจากทุกคนออกมาขึ้นรถเหลืองที่อาเขต จุดหมายของเขาคือบ้านแม่กลางหลวง ที่พี่เจมี่เคยแนะนำให้ได้รู้จัก 



    10 : มึงไปได้แน่นะ 

    Finn :  ได้ดิ ไม่ต้องห่วง

    เอย : สาบานกับกูสิว่าจะไม่โดดรถแดงตาย

    Finn : เออ ไม่หรอก 

    10 : ถึงแล้วโทรมานะ 

    Finn : ครับแม่

    Finn : ถึงแล้วจะรีบโทรบอกเลย 



    ฟินน์ยิ้มให้เด็กตัวเล็กๆ ที่ก้าวขึ้นรถเหลืองเป็นคนสุดท้าย 

    มองเห็นแม่ของเด็กน้อยจับมือน้อยๆ ให้เธอโบกมายังเขา

    ฟินน์โบกมือกลับ ส่วนเด็กน้อยก็เขิน เธอรีบซุกใบหน้าลงกับอกของแม่ 


    เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเพลง 

    เสียงกีต้าร์ดังขึ้นพร้อมกับการเคลื่อนตัวของรถที่นำพาคนนับสิบไปสู่อำเภอจอมทอง 



    Since you've stepped into my life

    Like someone brought the vision to the blind

    Every time that you smile

    Like the sun that shines in the midnight sky


    The Only One - Part Time Musicians 



    จริงๆ มันก็ตลกดี ทั้งๆ ที่ฟินน์นั่งรถวันละชั่วโมงเป็นอย่างต่ำมาเกือบอาทิตย์ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะขึ้นรถไปเที่ยวคนเดียวอีกจนได้ -- มันเป็นความคิดที่จัสตินถึงกับมุ่นคิ้วแล้วถามว่า ‘มึงเพี้ยนไปแล้วหรอ ไม่เมื่อยตูดหรอวะ’ ด้วยซ้ำ แต่เขาก็ยักไหล่แทนคำตอบ 

    ถ้าเป็นเวลาปกติอิเท็นคงด่าจนน่ารำคาญไปแล้ว แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าสภาพจิตใจของฟินน์ยังไม่สู้ดีนัก ดังนั้นจึงไม่มีใครขัดเขาเท่าไหร่ 

    แม้กระทั่งผู้จัดการฝั่งไทยเองก็ยังไม่ขัด ‘เออ พี่เข้าใจ เดี๋ยวแก้ตัวกับพวกพี่เต้ให้แล้วกัน’ พี่นานาบอก 

    ‘ขอบคุณนะพี่’ ฟินน์ตอบกลับเธอผ่านโทรศัพท์ หลังขอลาต่ออีกสามวัน 

    ‘เออ เข้าใจ กลับมาเป็นคนไวๆ แล้วกัน’


    กลับมาเป็นคนไวๆ 

    ฟินน์ยิ้มให้กับคำนี้ และเขาเห็นด้วยมากเลยทีเดียว 

    ‘ครับ ถึงกรุงเทพแล้วจะรีบเป็นคนเลย’ 

    สัญญาไว้แบบนั้น และตั้งใจกับตัวเองว่าจะเข้มแข็งทันทีที่ถึงกรุงเทพให้ได้ 




    ห้องพักที่นี่ไม่ได้ดูดีแบบโรงแรมห้าดาวที่ฟินน์คุ้นเคย เพราะมันคือรีสอร์ทเชิงอนุรักษ์ ไม่มีแอร์ด้วยซ้ำ แต่ยังดีที่มีน้ำอุ่นระบบแก๊สให้ได้ใช้ 

    ฟินน์ทิ้งตัวนอนบนเตียงทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อาบน้ำ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดตามความเคยชิน และทำสิ่งที่เขาทำมาตลอดหลายเดือน


    sseine_

    not found 


    วันนี้ก็เหมือนทุกวัน -- ยังไม่มีใครใช้ชื่อแอคเค้าท์นี้ แซนยังคงหายไปจากชีวิตเขาเหมือนเดิม

    tanguy

    0701seine

    guseine 

    ssss0701 


    ไม่มีชื่อไหนเป็นอินสตาแกรมของแซนสักชื่อ 

    ฟินน์ถอนหายใจ 

    เขากดปุ่มล็อคโทรศัพท์ นอนจ้องเพดานสักพัก แล้วหลับตาลง 


    คิดถึง 

    แซน..

    รู้มั้ย

    ‘ง่วงมั้ย’ เขาได้ยินเสียงของเธอกระซิบอยู่ข้างหู 

    ห้วงความทรงจำยังจำสัมผัสในยามที่เธอกอดได้ดี 

    กระทั่งตอนนี้

    “ง่วงมากเลย” เขาว่าเบาๆ 

    รู้ว่ามันน่าสมเพช นับวันฟินน์ยิ่งใกล้คำว่าเป็นบ้ามากขึ้นทุกขณะ

    ช่วงนี้ยังดีที่สามารถจัดการทุกอย่างได้ 

    เพราะมันมีช่วงที่พังเสียจนเขาอยากตายๆ ไปให้พ้นด้วยซ้ำ 


    ‘กูรู้ว่ามึงรู้สึกยังไง แต่มึงต้องมีสติ’ พี่เจมี่พูดแบบนั้นตอนที่เขาเข้าโรงพยาบาลเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ ตอนนั้นฟินน์อดนอนสองวันแถมยังต้องถ่ายละคร ข้าวก็ไม่กิน บุหรี่ก็สูบจัด แถมไม่ได้พึ่งแค่บุหรี่ ฟินน์หันไปพึ่งอย่างอื่นที่พอโดนพี่ตินจับได้ ก็โดนด่าเสียจนหูชา แถมคนด่าก็ด่าไปร้องไห้ไป ซ้ำยังย้ำว่า  ‘ถ้าน้องฟินน์ตาย พี่ตินไม่ไปงานศพนะ’ 

    เหมือนจะตลก แต่ตอนที่พี่ตินร้องไห้ ฟินน์รู้สึกอยากตายมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า ตอนนั้นถึงขั้นบอกพี่ตินด้วยซ้ำว่า ‘ไม่อยากอยู่แล้วจริงๆ พี่ติน.. ฟินน์ไม่อยากอยู่แล้ว’ 

    แต่สุดท้าย ตอนนั้นฟินน์ก็ยังนอนแห้งๆ บนเตียงในโรงพยาบาล -- ไม่ตายอย่างที่ใครหลายคนกลัว เพราะคนนอนเฝ้าคือพี่ตินที่เหมือนเป็นคนยืนขวางประตูนรกของฟินน์นั่นแหละ 

    พี่เจมี่ถึงขั้นบอกว่า ‘มึงรู้มั้ย ตินมันบอกตอนที่ส่งมึงเข้าห้องฉุกเฉินนะ ว่าถ้ามึงตาย ตินจะตามไปด่ายมบาลกับฮาเดส’   

    ‘โม้’

    ‘กูพูดจริง’

    เอาจริง พอเห็นพี่ตินที่นั่งหลับอยู่บนโซฟาแล้ว เขาก็รู้ว่าพี่เจมี่ไม่ได้ตอแหลหรอก

    พี่ตินคงเตรียมฆ่าฮาเดสจริงๆ

    คนแวะมาเยี่ยมฟินน์ประปราย ตั้งแต่พี่ฮิมที่พาลูกมาเยี่ยม -- นาราโตแล้ว เด็กน้อยที่เคยร้องไห้กลัวฟินน์ในวันนั้นกลับกลายเป็นเด็กที่มองฟินน์ตาแป๋วในวันนี้ เธอไม่กลัวเขาอีกแล้ว ส่วนพี่คนโตก็ยังพูดจาด้วยคำศัพท์แปลกๆ เหมือนอย่างเคย แถมยังมอบหนังสือคำคมให้ฟินน์อีกต่างหาก ‘เอาไว้อ่าน จะได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง’ 

    นั่นเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ฟินน์หัวเราะ 

    พี่จูเนียร์เองก็แวะมา -- มันไม่เป็นชู้อีกแล้ว นับเป็นเรื่องที่ดีแต่ก็น่ารำคาญ เพราะมันอวดเมียเหมือนชาตินี้ไม่เคยมีเมียมาก่อน น่ารำคาญมาก เพราะขนาดมันมาเยี่ยมคนเดียวมันยังเปิดรูปทิกเกอร์หรืออะไรสักอย่างให้ดูอยู่ได้ ผิดกาลเทศะมากๆ เสียจนฟินน์ถึงกับแช่งว่า ‘กูขอให้เมียมึงมีชู้’

    คนมาเยี่ยมที่ดูจะสติดีที่สุดก็หนีไม่พ้นพี่เจ้นท์ รายนั้นไม่ได้พูดจาลิเกแบบพี่ฮิม แถมยังกล้าๆ กลัวๆ ที่จะพูดถึงพี่กี้ เพราะคงกลัวฟินน์คิดมาก จนคนถามถึงพี่กี้ก่อนก็คือฟินน์นั่นแหละ ถึงได้คำตอบว่าผู้หญิงขี้วีนคนนั้นสบายดี.. 

    ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้หญิงขี้วีนอีกคนจะสบายดีเหมือนกันรึเปล่า 


    ‘เลิกรักเขาได้มั้ยน้องฟินน์’ พี่ตินเอ่ยถามในวันหนึ่ง ฟินน์จำได้ดีว่าวันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่อยู่โรงพยาบาล และพี่ตินพูดเพราะเขาถามว่าแซนไม่มาจริงๆ หรอ 

    ‘พี่ตินรู้ว่าน้องฟินน์รักเขามาก’ พี่ตินร้องไห้อีกแล้ว -- ร้องทั้งๆ ที่ยังจับมือของฟินน์อยู่แบบนั้น ‘แต่ช่วยรักตัวเองให้พี่ตินหน่อยได้มั้ย’ 

    ฟินน์เองก็อาการหนักไม่ต่างจากพี่ติน 

    เขาเอ่ยขอโทษพี่ตินซ้ำๆ ไม่หยุด ทั้งๆ ที่แทบจะไม่เคยพูดคำว่าขอโทษด้วยซ้ำ แต่วันนั้นกลับพูดซ้ำไปซ้ำมาจนพี่ตินสะอื้นไปถามไปว่าจะขอโทษทำไม น้องฟินน์ไม่ผิดอะไรเลย 

    คำตอบของฟินน์คือขอโทษที่ไม่เคยรักตัวเองมากกว่าที่รักแซนเลย 

    ขอโทษจริงๆ 


    ชื่อแซนกลายเป็นชื่อต้องห้ามในครอบครัวของเรา 

    เพราะทุกคนรู้ดีว่าถ้าเอ่ยขึ้นมา ลูกชายคนเล็กจะซึมเสียจนน่าเป็นห่วงในทันที 


    เช่นเดียวกับพวกพี่จัสติน 

    ทุกครั้งที่เราเจอกัน -- ไม่มีใครสักคนที่กล้าพูดถึงชื่อพี่แซนขึ้นมา เพราะเมื่อเริ่มพูดแล้ว คนแรกที่จะโกรธจนหน้าแดงก็คือพี่จัส.. ที่รู้ก็เพราะวันนั้นที่พี่จัสมาเยี่ยม พี่จัสถึงขั้นพูดกับฟินน์ว่า ‘ถ้าวันไหนกูเจอมัน กูนี่แหละจะด่าให้มันร้องไห้’ 

    จัสติน..

    จัสตินที่ใจดีอยู่เสมอ แต่ตอนนั้นโกรธเรื่องพี่แซนยิ่งกว่าใคร

    และฟินน์เองก็รู้ดี ว่าถ้าวันไหนพี่จัสเจอแซน พี่จัสไม่มีวันด่าแซนจนร้องไห้หรอก 

    เพราะคนร้องไห้ก่อนก็คงเป็นพี่จัสนั่นแหละ

     

    .

    .

    .

    .


    ไม่มีใครพูดอะไรเป็นชั่วโมง.. ปกติดีนเป็นคนไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนตอนนี้มันจะเงียบกว่าเดิมเสียอีก 

    เราสองคนนั่งอยู่ที่ห้องรับแขกของบ้าน หลังจากที่แซนเพิ่งหยุดร้องไห้ไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน 

    เข็มวินาทีของนาฬิกาเดินเสียงดังเสียจนอึดอัด แซนเงยหน้าขึ้นมองเพื่อน ดีนยังคงจ้องมาที่เธอเหมือนเดิม ดวงตาเล็กๆ ของมันบ่งบอกความโกรธที่แล่นริ้วอยู่ในนั้น และนี่คือครั้งแรกที่แซนหลบตาดีน 

    เธอเม้มปาก 

    สองมือจิกปลายกระโปรงของตัวเองแน่น -- ความรู้สึกทุกอย่างแล่นริ้วขึ้นมาในห้วงความรู้สึกของแซน หัวใจเจ็บไปหมด กลายเป็นอีกครั้งที่น้ำตาเอ่อคลออยู่ในดวงตากลมๆ ของเธอ

    “ทำไมต้องทำแบบนี้” ดีนโพล่งออกมาในที่สุด มันใช้เสียงเหมือนตอนเป็นนิสิตสัมพันธ์ไม่ผิดเพี้ยน 

    ปลายเสียงของเพื่อนสั่นเทา ก่อนที่มันจะเอ่ยพูดคำพูดต่อมา

    “มึงรู้มั้ยว่าคนห่วงมึงมันมีตั้งเท่าไหร่ ไอ้จัสตินแทบเป็นบ้าไปแล้วด้วยซ้ำ”

    “…”

    “มึงไม่เคยคิดถึงคนอื่นเลยใช่ไหมว่าเขาจะรู้สึกยังไง จะหนีไปอีกถึงไหน”

    แซนห้ามตัวเองไม่ให้ร้องไห้ แต่ดวงตากลับร้อนผ่าว 

    “ไหนบอกว่าแคร์กันมากไง ไหนบอกจะไม่เลิกคบพวกกู แล้วมึงทำเหี้ยอะไรอยู่วะแซน โตได้แล้ว เลิกคิดถึงแต่ตัวเองได้แล้ว”

    “ใครว่ากูคิดถึงแต่ตัวเอง” แซนสวนกลับ หันมาสบตากับดีนเต็มสองตา “มึงไม่เข้าใจหรอก..”

    “ก็อธิบายสิวะ” 

    “มึงไม่เคยเข้าใจกูหรอก!” คราวนี้เป็นแซนบ้างที่ขึ้นเสียง

    ความอดทนของเธอทั้งหมดพังทลาย แซนสะอื้นจนตัวโยนโดยที่ไม่ยอมหลบสายตาดีนไปง่ายๆ 

    “มึงไม่เข้าใจหรอกว่ามันยากแค่ไหน.. มึงไม่เคยเข้าใจเลย”

    “เออ กูไม่เข้าใจ” ผู้ชายตรงหน้าว่า 

    แซนมองสองมือของดีนกำเข้าหากันราวกำลังกดความรู้สึกไม่ให้ระเบิดออกมา ใบหน้าของเพื่อนขึ้นสีแดง และนั่นคือครั้งแรกที่เธอเห็นมันร้องไห้

    “มึงเอาแต่พูดว่าไม่มีใครเข้าใจมึง แล้วมึงเคยบอกพวกกูสักคำมั้ยวะว่าทำไมมึงต้องทำแบบนี้” 

    แซนไม่ตอบ 

    “มึงรู้มั้ยว่าจัสตินขับรถไปหามึงตั้งกี่ที่ แต่มันก็ไม่เคยเจอ ถ้ายูตะไม่พูดว่ามึงคงมีเหตุผลของมึงที่ไม่อยากให้พวกกูรู้ จัสตินก็ไม่หยุด”

    “…”

    “มึงไม่ต้องมาอ้างเหตุผลเลยนะว่าที่หายไปเพราะมึงจะทำเพื่อฟินน์ ไม่ต้องมาอ้างอีกว่ามึงไม่อยากทำลายอนาคตของมัน มันจะตายห่าอยู่แล้ว มึงเคยรู้บ้างมั้ย มึงรู้มั้ยว่ามันเข้าโรงบาลไปกี่รอบ และทุกรอบก็เป็นเพราะมึง เพราะมึงคนเดียวเลยแซน”

      “แล้วมึงจะให้กูทำยังไง”

    “มึงเห็นพวกกูเป็นเหี้ยอะไรวะ”

    “…”

    “มึงจะมีเพื่อนไว้ทำเหี้ยอะไร ตอนนั้นทำไมไม่ถามพวกกู ทำไมไม่บอก มึงบอกสักคำดิว่ามึงท้อง มึงคิดว่าพวกกูจะไม่ช่วยมึงหรอ”

    “ไม่ได้.. กูบอกพวกมึงไม่ได้”

    “ทำไมจะไม่ได้”

    แซนก้มหน้า

    บอกไม่ได้..

    เพราะฟินน์กำลังไปได้ดี 

    และคนที่กำลังจะทำทุกอย่างพัง

    ก็คือแซนเอง



    ‘น้องแซนรู้ใช่มั้ยว่าหนียังไงก็หนีไม่ได้’ พี่เทมส์พูดแบบน้ัน แต่มือเล็กๆ ก็ยังช่วยแซนเก็บเสื้อผ้าอยู่ดี 

    ดวงตาบวมช้ำของแซนหันไปมองหาคนเป็นพี่ต่างแม่ มองเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมาที่เราอยู่เช่นกัน 

    ‘ยังไงเขาก็จะหาน้องแซนเจออยู่ดี’

    ‘เขาจะไม่เจอแซนหรอก’

    ‘…’

    ‘ถึงเขาหา เขาก็จะไม่มีวันเจอ’

    ‘…แน่ใจแล้วใช่มั้ยว่าจะทำแบบนี้’

    ‘แน่ใจ’ 

    ‘…’

    ‘ฟินน์กำลังมีชีวิตที่ดีจริงๆ พี่เทมส์.. มันไม่ควรต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อแซนหรอก’

    ‘…’

    ‘สักวันนึงฟินน์จะเข้าใจว่าทำไมแซนต้องทำแบบนี้’

    ‘ดื้อ’

    ‘ชีวิตมันมีค่ามากกว่าแซนเยอะเลยพี่เทมส์’ 



    .

    .

    .

    .



    ยูตะเป็นคนเดียวที่รับสายดีน เพราะจัสตินน่าจะกำลังวุ่นวายอยู่ที่สนามบิน ดูจากเวลาคือมันคงเพิ่งถึงกรุงเทพ

    ‘ส้นตีนมากดีน รู้มั้ยว่ากูกำลังงีบ’

    ‘มาช่วยกูหน่อย’  ดีนพูดแบบนั้น ตอนแรกยูตะก็นึกว่ามันจะให้เปลี่ยนหลอดไฟ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะคิดผิด


    เพราะภาพตรงหน้าคือดีนที่นั่งหน้าบึ้งไม่พูดไม่จา กับผู้หญิงในชุดคลุมท้องที่นั่งร้องไห้อยู่บนโซฟา 

    “แซน?” เขาพึมพำ 

    ดวงตากลมของเจ้าของชื่อช้อนขึ้นมองเขา 

    ยูตะทิ้งถุงใส่ลำใยในมือ 

    “มึงจริงๆ หรอวะ”

    “ยู.. กูข--”

    ไม่ปล่อยให้เธอได้พูดจนจบประโยค ยูตะตัดสินใจวิ่งเข้าไปกอดเพื่อนบนโซฟา 

    ‘จัส’ ยูตะยังจำตอนนั้นได้ดี ตอนที่เขาเป็นคนจับไหล่ของจัสตินที่นั่งซึมอยู่หน้าบ้านแซนตอนตีสาม โดยมีดีนยืนสูบบุหรี่อยู่ไม่ไกลกันนัก 

    เพื่อนตัวโตของเขานั่งถอนหายใจอยู่เงียบๆ -- แต่เขารู้ดีว่าในใจของมันคงกำลังว้าวุ่นไปด้วยความสับสนและความโกรธ หลังจากที่ค้นพบว่าไม่มีใครติดต่อแซนได้เป็นเดือนแล้ว 

    มันหายไปไหน.. 

    นั่นคือความคิดที่เราทุกคนต่างตั้งคำถามเหมือนกัน เราต่างรู้ว่าแซนเพิ่งบอกเลิกฟินน์เมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ที่น่าแปลกคือคนที่มาแจ้งข่าวนี้ไม่ใช่แซนหรอก แต่คือฟินน์ต่างหาก 

    ‘มีใครติดต่อแซนได้บ้างมั้ย ฟินน์ติดต่อไม่ได้เลย’ นั่นคือคำพูดที่ฟิินน์ถามพวกเขาหลังจากการแจ้งข่าวการยุติความสัมพันธ์ระหว่างพวกมันสองคน และนั่นคือจุดที่ทำให้จัสตินตัดสินใจออกตามหาแซน ทันทีที่เครื่องจากอเมริกาของมันลงจอด 

    แต่สุดท้ายเราก็ไม่เจอ

    ไม่มีใครเจอ 


    ‘มันคิดส้นตีนอะไรอยู่วะ’ จัสตินว่า ‘มันเป็นเหี้ยอะไรอะ’ 

    นั่นสินะ

    มันเป็นเหี้ยอะไรของมัน 

    ไม่มีใครรู้เหมือนกัน 

    ‘กลับเถอะจัส’

    ‘มันเห็นพวกเราเป็นอะไรวะยู’ จัสตินหันมาสบตากับเขา 

    แม้เราจะอยู่ในความมืด แต่ยูตะก็เห็นดวงตาสีน้ำตาลเข้มของมันสะท้อนความเจ็บปวดได้ดี ใครๆ ก็รู้ว่าจัสตินสนิทกับแซนที่สุด และสำหรับจัส แซนก็เป็นเหมือนน้องสาวอีกคนจริงๆ 

    ‘มันอาจจะมีอะไรที่บอกเราไม่ได้ก็ได้นะ’

    ‘…’

    ‘อีแซนมันไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลหรอก แต่มันคงบอกเราไม่ได้จริงๆ มั้ง’ ยูตะยิ้มให้เพื่อน 

    ดีนหันกลับมามองเราสองคน เป็นจังหวะเดียวกับที่ยูตะลุกขึ้นยืน แล้วยื่นมือให้จัสตินจับ 

    ‘กลับบ้านกัน ถ้ามันพร้อมเดี๋ยวมันก็บอกเราเองแหละ’ 

    เราสองคนผละออกจากอ้อมกอดของกันและกัน ยูตะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาข้างๆ แซน มือข้างหนึ่งของเขายกขึ้นลูบเรือนผมยาวแปลกตาของเพื่อน โดยมีดีนนั่งกอดอกอยู่ตรงกันข้าม

    “ไง.. หายไปนานเลยนะ”

    “ขอโทษ..”

    แซนในวันนี้ตัวเล็กกว่าที่มันควรจะเป็น และแตกสลายมากกว่าทุกครั้งที่เขาเคยเห็นในความทรงจำ ไม่น่าเชื่อว่าคนที่นั่งตัวสั่นอยู่ตรงหน้าเขาจะเป็นคนเดียวกับคนที่ใจแข็งจนหายไปจากชีวิตทุกคนได้นานถึงหกเดือน 

    “กูว่าแล้วว่าคนอย่างมึงต้องมีเหตุผล”

    แซนเงยหน้าขึ้นมองเขา -- มันคงไม่คาดคิดว่ายูตะจะพูดกับมันด้วยเสียงที่ใจเย็นขนาดนี้ หลังจากท่าทางซึมๆ ของมัน กับบรรยากาศตึงๆ ระหว่างมันกับดีน บ่งบอกว่าแซนคงโดนดีนด่าชุดใหญ่ไปเรียบร้อย 

    “มึงไม่ด่ากูหรอ” เสียงเล็กๆ ของเพื่อนเอ่ยถามเบาๆ ยูตะสบตากับดวงตากลมของแซนซึ่งบัดนี้บวมช้ำด้วยเจ้าตัวคงร้องไห้ติดกันมาหลายชั่วโมง 

    “โดนดีนด่าไปหมดแล้วมั้ง” เขาว่า พลางหันหน้าไปมองคนถูกพาดพิงที่นั่งหน้าบูดอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง แล้วเอ่ยย้ำ “เฮ้ยดีน มึงด่าอะไรแซนไปบ้างวะ” 

    “เสือก” 

    “กูอยากรู้ จะได้ไม่ต้องพูดซ้ำ เดี๋ยวมันเบื่อ” ยูตะได้ยินแซนหัวเราะ ก่อนที่ดีนจะจิ๊ปากด้วยความรำคาญ 

    “อย่าโอ๋มันมาก” 

    “กูไม่ได้โอ๋ แต่กลัวมันช็อคตาย”

    เขาเห็นดีนหรี่ตามอง มันทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายเพื่อนหน้าโหดก็เงียบ พลางเอื้อมมือไปหยิบเอาซองกระดาษทิชชู่ในกระเป๋าเป้ของมันยื่นไปให้เพื่อนตัวเล็กข้างๆ ยูตะ 

    แซนเงยหน้ามองดีนอย่างไม่เชื่อสายตา ยูตะเห็นมันจิกกระโปรงแน่นขึ้นกว่าเคย เรียกให้ดีนเลิกคิ้วแล้วเอ่ยถาม “ไม่เอาหรอ”

    แซนจ้องดีนสักพัก ยังนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งยูตะวางมือลงบนเรือนผมสีเข้มของเพื่อน แล้วเอ่ยเสียงเบา “ดีนมันง้อมึงนะแซน”

    ดีนไม่ได้ยิ้ม แต่ท่าทางดูผ่อนคลายลงกว่าเมื่อตอนแรกที่เจอกันมาก 

    “เช็ดหน้าหน่อย ดูไม่ได้เลย” น้ำตาของแซนหยดเผาะอีกครั้งตอนที่ดีนพูด มือน้อยเอื้อมไปหยิบทิชชู่ในมือของเพื่อนหน้าดุขึ้นมาซับน้ำตา 

    ดีนทิ้งตัวลงนั่งข้างแซน 

    เกินกว่าที่คิดไว้ -- มันรวบเอาเพื่อนตัวเล็กของยูตะเข้ามากอด

    แซนนิ่งอยู่สักพัก ไม่นานมันก็สะอึกสะอื้นอีกครั้ง แล้วยกแขนขึ้นกอดดีนกลับ 

    ยูตะมองมันกอดกันนานหลายนาที ได้ยินแซนพูดกับดีนซ้ำๆ ว่าขอโทษ 

    ส่วนดีน..

    ยูตะคิดว่าเขาได้ยินมันพูดว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษแล้ว

    เขายิ้มบาง 

    ทำมาบอกกูไม่ให้โอ๋ มึงนั่นแหละดีนที่โอ๋มันเก่งกว่าใคร 


    โทรศัพท์ของเขาสั่นสองสามที บ่งบอกว่ามีข้อความเข้า 

    ยูตะละสายตาจากภาพตรงหน้า กดปลดล็อคแล้วเข้าไปอ่านข้อความที่ปรากฏอยู่ในไลน์ 


    Justin : มึง ถึงแล้ว 

    Justin : ดีนมึงโทรมาหรอ ขอโทษ ของกูเยอะมาก ซื้อแคบหมูมาแล้วลืมนึกว่าจะขนกลับยังไง 

    Justin : มีอะไรรึเปล่าวะ กูลืมของหรอ 


    ความรู้สึกผสมปนเปอยู่ในห้วงความคิดของยูตะ 

    เขาเงยหน้าขึ้นมามองภาพของเพื่อนเบื้องหน้า แล้วเอ่ยคำถาม 

    “มึง” 

    มันสองคนชะงักแล้วหันมามองคนพูด ดีนยกมือขึ้นมาเช็ดหน้าตัวเองแบบลวกๆ ก่อนที่แซนจะเอ่ยตอบ 

    “ว่าไงยู”

    “จัสตินรู้ยังวะ”

    “…” แซนไม่ได้ตอบ สัมผัสได้ว่าลมหายใจของเธอกำลังขาดห้วง 

    แซนส่ายหน้า เธอหันไปมองดีน 

    “มึงจะบอกมันมั้ย” ดีนถาม เขาเห็นมันจับมือน้อยของแซนอยู่หลวมๆ 

    แซนลังเล

    “จัสมันห่วงมึงมากนะ”

    “..กูรู้”

    “บอกมั้ย” ยูตะถามซ้ำ 

    แซนถอนหายใจ 

    “สัญญากับกูได้มั้ยว่าพวกมึงจะไม่บอกฟินน์” แซนว่า คิ้วได้รูปของเธอมุ่นเข้าหากัน ย้ำความจริงจังในน้ำเสียง 

    “อย่าเพิ่งพูดถึงฟินน์ เรื่องนั้นเราค่อยแก้ปัญหากันทีหลัง ตอนนี้พวกกูกำลังถามว่ามึงจะบอกจัสมั้ย” ดีนดุ 

    “…”

    “แซน บอกเหอะ” ยูตะขอ 

    “..จัสจะบอกฟินน์มั้ย”

    “…” ยูตะกับดีนหันไปมองหน้ากัน 

    “กูไม่อยากให้ฟินน์รู้จริงๆ..”

    “มึงจะไม่บอกจัส?” ยูตะมุ่นคิ้ว “กูถามจริง มึงจะไม่บอกจัสจริงๆ หรอวะ”

    “..กูไม่รู้”

    “แซน” ดีนสวน “ในบรรดาพวกกูสามคน คนที่เป็นบ้ากับเรื่องมึงมากที่สุดไม่ใช่กูนะ แต่เป็นจัส” 

    แซนทำท่าจะร้องไห้อีกรอบ ตอนที่ดีนดุอีกครั้ง “มึงไม่ต้องร้อง มึงมาคุยกับกูดีๆ ก่อนว่าทำไมมึงถึงจะไม่บอกจัส”

    “กูกลัวจัสบอกเท็น”

    “…”

    “กูกลัวฟินน์รู้” แซนเบะปาก

    “มึงไม่ชอบให้กูด่าว่ามึงเห็นแก่ตัว แต่ตอนนี้มึงกำลังเห็นแก่ตัวอยู่นะแซน” 

    “ดีน ใจเย็น” ยูตะพูด 

    “มึงเอาแต่บอกว่ามึงไม่อยากให้ฟินน์รู้ ทำไม มึงกลัวอะไร มึงกลัวมันจะทิ้งชีวิตมันมาหามึงหรอ” 

    “…”

    “มึงฟังกูนะ มันโตแล้ว เราโตแล้วแซน ไอ้ห่านั่นมัน 25 แล้วนะเว้ย มึงคิดว่ามันเป็นเด็กอายุ 20 ที่เอะอะจะทิ้งโลกทั้งใบมาหามึงหรอ ไม่ แซน ไม่ใช่ ฟินน์มันโตแล้ว และถ้ามึงรักมันมากพอมึงจะไว้ใจมัน มึงจะรู้ว่าคนอย่างมันไม่ได้โง่ขนาดนั้น มันไม่มีวันทิ้งชีวิตมันมาหามึง แต่มันจะช่วยมึงแก้ปัญหา เชื่อใจมันดิ นั่นคือสิ่งที่คนรักกันมันควรจะทำไม่ใช่หรอวะ”

    “ดีน” ยูตะว่าแล้วถอนหายใจ “ใจเย็นเหอะ มันจะร้องไห้อีกแล้ว”

    “ก็ให้มันร้องไป แซน มึงต้องฟังกูนะ ตอนนี้คนที่เห็นแก่ตัวที่สุดคือมึง มึงคนเดียวเลย”

    “…”

    “เหมือนมึงลืมไปเลยว่ะว่าเด็กในท้องมึงไม่ใช่แค่ลูกมึงคนเดียว แต่คือลูกมันด้วย มึงไม่ยอมให้โอกาสมันได้อยู่กับลูกคนแรกของมันตั้งแต่ตอนอยู่ในท้องหน่อยหรอวะ มันกำลังจะเป็นพ่อคนนะเว้ย” 

    แซนนิ่ง 

    “เรื่องฟินน์ก็เรื่องนึง อีกเรื่องคือเรื่องจัส กูไม่เข้าใจจริงๆ ว่ะแซน มึงพูดจาเหมือนไม่ไว้ใจจัสแบบนั้นได้ยังไงวะ” 

    ยูตะแทบหยุดหายใจ ดีนไม่ได้ขึ้นเสียง แต่เขารู้ดีว่ามันโกรธและเสียใจมากๆ ผ่านน้ำเสียงดุๆ ที่สะท้อนอารมณ์ชัด

    “จัสมันรักมึงชิบหาย มึงรู้บ้างมั้ยวะแซน มึงจะทิ้งให้มันอยู่กับความไม่รู้เหี้ยอะไรเลยจริงๆ หรอ มึงรู้ตัวมั้ยว่าตลอดเวลาที่มึงหายไป กูไม่เคยเห็นไอ้เหี้ยนี่หยุดตามหามึง มันโทรไปหาเพื่อนโรงเรียนมึงทุกคนแล้วมั้ง มันแทบจะต่อยกับฟินน์อยู่แล้วตอนที่รู้ว่ามึงหายตัวไปตอนเลิกกับมัน กูขอร้องเลยนะ ถ้ายังเห็นกับความเป็นเพื่อนอยู่ ก็ช่วยบอกมันหน่อยเหอะว่ะ”

    ยูตะหันหน้าหนีจากบทสนทนาตรงหน้า มือของเขายังกำโทรศัพท์แน่น 

    “พวกมึงรู้มั้ย.. ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายของกูเหมือนกัน” แซนว่า น้ำเสียงบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังข่มเสียงสะอื้นไม่ให้ออกมา 

    “กูรู้” ดีนตอบเสียงแผ่ว 

    “กูส่องไอจีพวกมึงทุกคน.. กูคอยดูทุกวันว่ามึงไปไหน มึงทำอะไรบ้าง”

    “…”

    “กูไม่เคยไม่รักพวกมึงเลยนะ” 

    “…”

    “กูรู้ว่าที่กูทำมันส้นตีน ทำไมกูจะไม่เห็นว่าจัสแม่งลงสตอรี่ถึงกูอยู่ทุกวัน แต่จะให้กูทำยังไง.. กูทำใจไม่ได้หรอกถ้าวันนึงกูเป็นคนทำลายอนาคตฟินน์จริงๆ อะ” 

    “…”

    “มึงรู้มั้ย”

    “…”

    “กูทำใจไม่เคยได้เลยที่เห็นพวกมึงอยู่ด้วยกันสามคนโดยที่ไม่มีกู”

    “..แซน” ยูตะหันไปมองคนพูด ดีนจับมือของแซนไว้แน่น 

    “กูไม่เคยไม่เสียใจเลยมึง.. ไม่เคยเลย แต่กูไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ”

    “…”

    “กูขอโทษ” 

    “…”

    “ขอโทษนะ.. ขอโทษจริงๆ” 

    ยูตะถอนหายใจ 

    วันนี้วันเดียว เขาเห็นแซนร้องไห้มากกว่าที่เคยเห็นมาทั้งชีวิตรวมกันอีก 

    “บอกจัสนะ” เขาถามย้ำอีกรอบ คราวนี้แซนไม่ปฏิเสธอะไรอีกแล้ว ดังนั้นยูตะจึงคิดเอาเองว่ามันคงหมายถึงตกลง 

    เขาจัดการโทรหาจัสตินในทันที ไม่นานนักเสียงโวยวายจากเพื่อนตัวโตก็ดังขึ้นในอีกปลายสายของโทรศัพท์ 


    ‘ไอ้ส้นตีน กูขี้อยู่สุวรรณภูมิ ยังไม่ได้กลับบ้านเลยโว้ย’

    “จัส”

    ‘ว่าไง’

    “มีคนอยากคุยด้วยว่ะ” 


    ยูตะหันไปมองเพื่อนตัวเล็กข้างๆ แซนยกมือขึ้นปิดหน้าสักพัก แต่สุดท้ายก็หยิบโทรศัพท์ไปคุยด้วยน้ำเสียงที่แสร้งทำเป็นสดใสของมันเอง 


    “ไงจัส”

    ‘…’

    “กูแซนเองนะ” 


    ยูตะไม่รู้ว่าตอนคุยโทรศัพท์อยู่จัสตินจะทำหน้ายังไง จะร้องไห้สะอึกสะอื้นแบบที่แซนเป็นมั้ย 

    รู้แค่ว่าอีกสี่ชั่วโมงต่อมา กลายเป็นว่าคนที่อยู่กรุงเทพกลับกลายมายืนหน้าโง่อยู่หน้าบ้านแซนเสียอย่างนั้น 

    ใช่..

    จัสตินบินมาหาแซนจริงๆ 

    แม่งบ้า..​


    แต่ยูตะรู้ดีว่าเขากับดีนก็คงจะทำแบบนี้ไม่ต่างกัน

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in