เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Short Storyมัชฌิม
มติ
  • เพราะน้ำท่วมใหญ่ทำให้มีหนังสือเสียหายไปมากปริมต้องอยู่จัดการเรื่องนี้หลังน้ำลดวันนี้เป็นวันที่สองที่ทำให้กลับบ้านตอนสองทุ่มกว่า  เมื่อถึงบ้านก็เริ่มแปลกใจที่บ้านเปิดไฟสว่างโร่ตั้งแต่ไฟสนามจนถึงตัวบ้าน    ไฟสว่างจ้าทั้งหลังกับรถคันแปลกที่โรงจอดรถอีกหนึ่งคันก็อาจทำให้ปริมสันนิษฐานว่าอาจจะมีแขกของคุณพ่อมาที่บ้าน 

    การคาดการณ์นั้นทำให้ปริมต้องเข้าทางประตูด้านหลังตรงส่วนที่เป็นห้องครัวแทนเพื่อจะหลบขึ้นห้องไปได้โดยไม่ต้องรบกวนแขก

                    ทว่าขณะที่ปริมกำลังหอบข้าวของกระย่องกระแย่งจะขึ้นบันไดด้านหลังห้องครัวนั่นเองที่เจอกับใครคนหนึ่งซึ่งคงจะเดินเข้ามาหยิบอะไรในห้องครัวพอดี

                    “น้องปริม”เสียงนั้นทำเอาปริมชะงัก “เพิ่งกลับถึงบ้านหรือครับ?”

                    ปริมอ้าปากค้างเพราะตกใจที่เห็นเขาที่นั่น  ยิ่งมาเจอกันที่ห้องครัวด้วยแล้วยิ่งรู้สึกประหลาดใจเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าตัวเพราะในเวลานี้เขาคือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงหนึ่งของรัฐบาลปัจจุบัน

                    ที่ทำให้ตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือมุมปากของเขามีรอยบวมปูดเหมือนถูกใครต่อยมาชายเสื้อเชิ้ตหลุดรุ่ยออกมาเหมือนเด็กนักเรียนเกเร ดูยับเยินไม่สมวัยของท่านรัฐมนตรีช่วยเอาเลย

                    แสงสีส้มนวลในห้องครัวทำให้ใบหน้าของเขายามที่มีผมหน้าตกลงมาเพราะไม่ได้ใส่น้ำมันและหวีให้เรียบดูมีวัยวุฒิ (และ...คุณวุฒิ)น้อยลงกว่าเดิมอย่างมากด้วย

                    ปริมกลืนน้ำลายมอง...และดูเหมือนว่าเขาเองก็พอจะรู้ถึงสภาพตัวเองจึงรีบอธิบาย

                    “อามาพบคุณพ่อน้องปริม..... พอดีมีเรื่องจะปรึกษาและขอความช่วยเหลือครับ”

                    ปริมเริ่มรู้ตัวว่าแสดงอาการตกใจมากจนเสียมารยาทจึงค่อยๆวางของลงบนเคาเตอร์แล้วยกมือไหว้เขาอย่างนอบน้อมแต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะทักทายเขาอย่างไรดี  เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่เธอพบเจอเขาในสภาพผิดธรรมดา

                    เขาไม่ได้มาที่บ้านปริมนานแล้วตั้งแต่ได้ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงหนึ่งเมื่อสมัยรัฐบาลก่อนนู้นซึ่งทำให้เขาลงเข้าเล่นการเมืองเต็มตัวในสมัยที่พรรคการเมืองนี้กลายเป็นฝ่ายค้านในยุคต่อมาต่อเมื่อพรรคนี้ได้กลับมาร่วมรัฐบาลอีกครั้งตำแหน่งทางราชการและผลงานที่เคยมีทำให้เขาได้ขึ้นตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยทั้งที่อายุยังไม่มากเท่าคนอื่นๆ  

                     “ได้รึยังม่อน?”เสียงของคุณพ่อเดินตามเข้ามาและเมื่อท่านเห็นเธออยู่ที่นั่นท่านก็เริ่มมีท่าทางเก้กังกระอักกระอ่วนขึ้นมาอย่างน่ากังขา

                    “อ้อ ...ปริมกลับมาแล้วหรือลูก   หวัดดีอาม่อนรึยัง?”

                    “น้องเค้าหวัดดีผมแล้วครับ”เขารีบตอบแทน ขณะที่ปริมก็ยังรู้สึกแปลกประหลาดกับการพบเจอเขาในครัวอยู่ดี

                    “ขอบคุณคุณอารึยังเรื่องหนังสือ”คุณพ่อถามเรื่องวรรณกรรมที่เขาเคยซื้อฝากช่วงไปว่าราชการต่างประเทศ ท่าทางว่าจะพูดแก้เก้อไปอย่างนั้นเอง

                    “นี่ปริมชอบมากเลยนะหนังสือที่ม่อนส่งมาให้น่ะเห็นว่าเล่มโปรดทั้งนั้นนี่ ใช่ไหมลูก?” คุณพ่อหันไปบอกมติและเธอก็ต้องพยักหน้าไปตามน้ำแบบงงๆที่มีการหยิบยกเรื่องนี้มาแก้เก้อกันในห้องครัวทั้งที่เธอก็ส่งอีเมล์ไปขอบคุณเขาแล้วทุกครั้ง

                    “เดี๋ยวคืนนี้ท่าน...เอ่อ...อาม่อนจะอยู่ค้างบ้านเรานะปริม อาจจะได้อยู่กับเราอีกสองสามวันด้วย”

                    ปริมเบิกตากว้างแล้วหันไปทางรัฐมนตรีผู้ยับเยินคนนั้น  ซึ่งเขาเองก็ยิ้มแห้งๆด้วยมุมปากบวมอย่างเกรงใจเป็นการยืนยันกลับมา

                    “คุณแม่ทราบแล้วใช่ไหมคะ”ปริมถามคุณพ่อ

                    “โอ๊ยแม่เรานั่นแหละเจ้ากี้เจ้าการเรื่องนี้เลยท่านรมช มติมาทั้งทีนี่นา โน่นปฐมพยาบาลให้กันจนไม่ได้อาบน้ำอาบท่าซักที”

                    “จะพยายามรบกวนที่นี่ไม่นานครับถ้าไม่มีอะไรมากพรุ่งนี้เย็นอาก็จะกลับบ้านอาแล้วครับ แต่ถ้ายังมีปัญหาก็อาจจะขออยู่รบกวนอีกซักสองวัน”

    เขาบอกอย่างเกรงอกเกรงใจจนเธอต้องรีบบอกเขาว่าไม่เป็นไรค่ะไม่ต้องเกรงใจ และไม่รู้จะพูดอะไรกับเขาอีก ได้แต่ก้มหน้าก้มตาดูมือตัวเองขณะที่เขาเองก็ยืนเงียบไปด้วย และคุณพ่อก็หันรีหันขวางอย่างไม่รู้จะว่าอย่างไรดี

                    สถานการณ์เก้กังคลี่คลายลงเมื่อคุณแม่เดินเข้ามาสมทบที่ในห้องครัว  นัยว่าน่าจะเพราะได้ยินเสียงคนในห้องครัวกันและการปรากฏตัวของท่านก็ทำให้บรรยากาศเก้กังเริ่มเปลี่ยนไปในทางผ่อนคลายขึ้น

                    “นึกว่าหายไปที่ไหนกันที่แท้มารวมตัวกันในครัวนี่เอง   ปริมสวัสดีอาม่อนแล้วนะ   ถ้างั้น ...ขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าเถอะลูกดึกแล้ว  คุณม่อนก็ด้วยนะคะเดี๋ยวไปอาบน้ำอาบท่าแล้วก็พักผ่อนก่อนเถอะค่ะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พรุ่งนี้ค่อยคุยกันดีกว่า”

    คุณแม่ตัดบทให้แยกย้ายกันซึ่งเป็นการตัดบทที่ดีและทำให้ทุกคนโล่งอกโล่งใจได้ไม่มากก็น้อย

    อย่างไรก็ตามการแยกปริมกับมติจากกันไปก่อนก็ทำให้ปริมขึ้นบ้านไปแบบงงๆเพราะยังไม่มีใครได้อธิบายถึงเหตุผลการมาพำนักพักอาศัยที่บ้านของเขากับเธออย่างแจ่มชัดเลยสักคน

                    ปริมเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนและคิดว่าคงจะไม่มีการเจอกันอีกในคืนนี้ ทว่าการมีอยู่ของเขาในบ้านของเธอทำให้ปริมอดรู้สึกกระดากกระเดื่องไม่ได้

    ขณะอาบน้ำก็อดนึกไม่ได้ว่าเขากำลังอยู่ร่วมบ้านด้วย   และเมื่อจะต้องเลือกเอาชุดนอนมาสวมเธอก็เริ่มชะงักมือนึกอยู่ในใจว่ามีชายอีกคนอยู่ในบ้านนี้  ชุดนอนลายหมีลายไก่ประดามีทั้งหลายที่เคยชอบใส่จึงต้องหอบเก็บไว้แล้วค้นเสื้อยืดตัวใหญ่กับกางเกงขายาวเรียบร้อยมาสวมแทนแล้วก็นึกขำตัวเองเพราะทำตัวราวกับว่าเขาจะบุกเข้ามาดูเธอในชุดนอนถึงห้องได้อย่างงั้นแหละ

                    เมื่อแต่งตัวเสร็จแล้วปริมก็ล้มตัวนอนบนเตียงยกมือถือขึ้นมาแล้วรีบกดค้นดูชื่อเขาในอินเตอร์เน็ท

                    รูปของเขาในสภาพยับเยินวันนี้ไหลมาแสดงที่หน้าจออย่างเร็วและกำลังเป็นประเด็นร้อนของวัน  ที่เธอไม่เห็นเพราะมัวแต่จัดการหนังสือจากน้ำท่วมนั่นเอง

    วีรกรรมของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมชกต่อยกับสส.พรรคฝ่ายค้านนุงนังในสภาเป็นภาพฉาวที่เธอพลาดไปอย่างน่าเสียดาย 

    ส่วนคุณอามติของเธอก็นับว่ายังโชคดีที่คู่กรณีของเขาคือนายพิพัฒน์ เป็นส.ส.ที่ขึ้นชื่อเรื่องอารมณ์ร้อน ความโผงผางไม่ยอมคนและเคยมีกรณีวิวาทมาก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้สื่อหันไปจับตามองทางนั้นมากกว่า        ผู้คนก็มองว่าฝ่ายนั้นเป็นคนหาเรื่องเขาก่อนด้วย

    อย่างไรก็ตามกรณีวิวาทกับคนอื่นนั้นยังไม่เคยมีใครวิวาทตอบอย่างมติสักคน  แถมมติยังพ่วงด้วยตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยที่ยังอายุน้อยของเขาทำให้เรื่องนี้เกรียวกราวมากกว่าคู่กรณีอื่นๆของนายพิพัฒน์ 

    ปริมจึงเดาได้ในทันทีว่าที่เขาต้องระเห็จมากบดานอยู่ที่นี่ก็เพราะจะหนีนักข่าวที่จะดมกลิ่นติดตามเขาไปทุกที่แม้กระทั่งที่บ้านของเขาเอง

    ก็นั่นน่ะสินะ...ปริมรำพึงกับตัวเอง...ถ้าเขาไม่มีเรื่องเดือดร้อนขนาดนี้ก็คงจะไม่ได้มาที่บ้านนี้หรอก   

    เธอนึกถึงตอนที่เขายังเป็นลูกน้องของคุณพ่อติดตามท่านตั้งแต่สมัยยังเป็นข้าราชการปลัดของจังหวัดและโผล่มาที่บ้านเธอประจำพร้อมด้วยขนมนมเนยและหนังสือวรรณกรรมเด็กที่เธอชอบแต่เล็ก 

    ตอนนั้นเขาเป็นคนโปรดของเธอเลย  โปรดขนาดที่ว่าแม้จะยังตัวกะเปี๊ยก แต่เมื่อเขาจับเธอมานั่งตักตอนที่คุณพ่อคุณแม่ต้องขึ้นเวทีไปรับแขกผู้ใหญ่และฝากเธอเอาไว้เธอกลับพยายามปีนลงจากตักเขา เพราะเขินอายคิดว่าตัวเองเป็นสาวแล้วและไม่ควรใกล้ชิดกับชายหนุ่มเช่นเขา ตอนนั้นเขาก็ดูเหมือนจะรู้ทันความคิดเด็กจึงหัวเราะขันที่หันไปเห็นเธอปีนขึ้นนั่งเก้าอี้อีกตัวแล้วนั่งห้อยขาที่นั่นคนเดียวพร้อมทำท่าหวงตัวเชิดๆแบบเด็กแก่แดด

    เวลานี้เธอโตมาทำงานเป็นบรรณารักษ์ที่ได้อ่านหนังสือวรรณกรรมทั้งหมดทั้งมวลก่อนใครแล้วแต่เขาก็ยังคงส่งหนังสือมาให้สม่ำเสมอไม่เคยขาดราวกับเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ บางครั้งก็มีขนมมาพร้อมกับหนังสือด้วยเหมือนเธอยังไม่โตไปไหน

      ทว่าก็มีเพียงของเท่านั้นเองที่ส่งมา...

    ส่วนตัวเขานั้น ปริมจะได้เห็นแค่จากหน้าจอทีวีทั้งจากรายงานข่าวประเภทออกงานรับแขก หรือทำกิจกรรม รวมทั้งรายงานสดจากรัฐสภาที่บางครั้งก็ถกเถียงกันเรื่องคนไหนส่อแววทุจริตมากกว่ากัน บางครั้งก็ถกเถียงกันเรื่องการออกร่างกฎหมายที่อาจจะเอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายหนึ่งแต่ไม่เอื้อให้ฝ่ายตนและจากการแถลงข่าว ให้สัมภาษณ์หน้าทำเนียบรัฐบาล

    เขาคงจะไม่รู้...  ว่าปริมไม่คิดหวังจะได้เห็นเขาตัวเป็นๆอีกแล้วด้วยซ้ำแม้ว่าจังหวัดที่เธออยู่จะไม่ได้ไกลจากกรุงเทพฯมาก แต่เธอไม่คิดว่าท่านรัฐมนตรีช่วยอย่างเขาจะมาให้ได้เห็นหน้ากันที่นี่อีก

    จนวันนี้เขามาให้เห็นเป็นตัวตน ...และถึงกับอยู่ค้างที่บ้านเธอ  มายืนนอนอยู่ที่ที่เดียวกับเธอ ทำเอาปริมก็นอนไม่หลับเสียเฉยๆ  ทั้งที่งานจัดการห้องสมุดของมหาวิทยาลัยหลังน้ำท่วมเรียกหยาดเหงื่อแรงงานเธอเสียอ่วม  และคิดเอาไว้ก่อนนี้ว่าวันนี้หัวถึงหมอนคงจะหลับเป็นตายแน่ๆ

     แต่พอขึ้นมาที่ห้องแล้วกลับนอนไม่หลับใจเต้นตึกตักราวกับเพิ่งไปวิ่งแข่งมาหมาดๆตลอดเวลา และนั่นทำให้ปริมเริ่มเดินวนในห้องมือก็กดเลื่อนดูภาพข่าวการตีกันในสภาวนไปเวียนมา

    เมื่อวนในห้องไม่ไหวก็ถึงกับเดินออกมาด้านนอกระเบียง

    และเธอก็ต้องสะดุ้งเมื่อออกมา.เพราะ.เธอเห็นมติกำลังแหงนหน้าขึ้นมามองเธอจากสนามหญ้าด้านล่างพอดี

    ปริมถึงกับต้องหลับตาอีกรอบคิดในใจว่านั่นไม่ใช่ภาพลวงตาหรอกนะ

    หากนั่นเป็นเขาจริงๆ เพราะเจ้าตัวเองก็ผงะเล็กน้อยตอนที่เธอโผล่ออกมาจากห้องและยิ่งเมื่อเธอเพ่งจ้องเขาก็ดูเหมือนเจ้าตัวจะเริ่มหันรีหันขวางท่าทางกระดากและไม่รู้จะไปทางไหนดี     

    เขาอาบน้ำแล้วเพราะเปลี่ยนเป็นสวมชุดนอนกางเกงขายาวลายตารางสีน้ำตาลเทา       ผมหน้าตกลงมาปรกหน้าทั้งหมด    เป็นครั้งแรกที่ปริมเห็นหน้าเขาตอนที่ไม่ได้ใส่น้ำมันหวีผมเรียบแปล้ที่ทำให้เวลานี้เขาดูเด็กลงกว่าที่เคยเห็น     ยิ่งไฟสนามสีเหลืองนวลส่องสะท้อนใบหน้ายิ่งทำให้รู้สึกแปลกที่ได้เห็นเขาในสภาพพิเศษเช่นนี้

    เมื่อเธอมองไปที่เขามติก็ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแล้วยิ้มเก้อๆ แล้วยกโทรศัพท์มือถือของเขาขึ้นมากดสักพักโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือปริมก็ดังติ๊ดๆ  และเธอก็กดรับทันที

    “น้องปริมยังไม่นอนอีกเหรอครับ?”

    เป็นครั้งแรกที่เขาโทรเข้ามา   ทุกทีเขาติดต่อกับเธอทางการส่งไลน์เท่านั้นและที่ส่งมาก็มักจะเป็นประมาณว่าส่งหนังสือให้ได้รับหรือยังหรือไม่ก็ อาอยู่ปารีสอยากได้อะไรบ้างเท่านั้น  ยังไม่เคยโทรมาให้ได้ยินเสียงแบบนี้เลย!

    “ยังไม่ง่วงค่ะ” ปริมตอบไปโดยพยายามควบคุมไม่ให้เสียงดูตื่น“ทำไมอาม่อนยังไม่นอนล่ะคะ?”

    “อาก็ยังไม่ง่วงเหมือนกันครับ”เขาหัวเราะปลายประโยค  “ดีจังที่น้องปริมก็ยังไม่ง่วง”

    ปริมเม้มริมฝีปากไม่รู้จะตอบอย่างไรแต่ตายังก้มลงจ้องมองเขาอยู่

    “น้องปริมเห็นข่าวอาแล้วรึยังครับ”

    ปริมชั่งใจก่อนตอบ “.... เห็นแล้วค่ะ”

    เขายังแหงนหน้ามองเธอขณะที่นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อ  “ผิดหวังในตัวอารึเปล่าครับ?”

    ปริมเริ่มเงยหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้าขณะที่สมองคิดใคร่ครวญหาคำตอบดีๆ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาถามคำถามที่ระบุถึงเขาโดยตรงกับเธอ

    มันทำให้ปริมเริ่มสับสนเพราะโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยเธอก็รู้สึกว่าช่องว่างระหว่างเธอกับเขาที่ห่างไกลกว้างใหญ่ไพศาลกลับหดเล็กลงจนดูเหมือนว่าที่ผ่านมานั้นปริมกับเขามีความใกล้ชิดกันมากกว่าที่เธอคิดเอาไว้

    “อาม่อนตีกับเขาทำไมคะ?”

    เขาเริ่มเดินวนที่สนามหญ้าบ้างขณะที่ตอบ  “เพราะเขามาตีอาม่อนก่อนครับ”

    “แล้วทำไมเขาถึงมาตีอาม่อนก่อนล่ะคะ?”

    มติยังเดินวนขณะที่ก็เงยหน้ามองเธอด้วย“เขาไม่พอใจที่อาม่อนพูดเรื่องที่เขาทำไม่ดีให้คนอื่นๆในสภาฟังครับ”

    “เรื่องที่เขาทำไม่ดีกับส.ส.วารุรีเหรอคะ?”

    คราวนี้มติหยุดเดิน “ครับ? ว่าไงนะครับ?”

    เมื่อเขาจ้องมาที่เธอ ทำให้ปริมเริ่มประหม่าและเสียใจที่หลุดปากถามเขาเรื่องข่าวที่ว่าสาเหตุการวิวาทกลับของเขาก็เพราะเขาเดือดที่นายพิพัฒน์พูดจาจาบจ้วงส.ส.หญิงที่อยู่พรรคเดียวกับเขา

    “ปริมเห็นในข่าวค่ะ  ข่าวว่าอาม่อนตีกับเขาเพราะเรื่องส.ส.วารุรี”

    มติดูจะอึ้งไปสักพักเหมือนกัน  แล้วเขาก็เงยหน้ามองฟ้าบ้างคล้ายจะคิดหาดูว่าจะตอบอย่างไรดีกับเรื่องนี้

    “ที่จริง ข่าวที่ออกไปก็มีทั้งเรื่องจริงบ้างไม่จริงบ้างนะครับ”

    ปริมจึงอดถามออกไปอีกไม่ได้  “แล้วเรื่องนี้จริงรึเปล่าล่ะคะ?”

    เขาชั่งใจครู่หนึ่งก็ตอบ  “ถ้าอาบอกว่าเป็นเรื่องจริง?”

    ปริมเงียบ รอให้เขาอธิบายมาทว่าเขาไม่ยอมอธิบายแต่ไพล่ถามเธอกลับ

    “น้องปริมจะผิดหวังในตัวอาเพราะเรื่องอาตีกับเขาหรือเพราะเรื่องส.ส.วารุรีล่ะครับ?”

    ปริมเห็นเขายืนเอามือไขว้หลังและกัดริมฝีปากขณะเงยหน้ารอฟังคำตอบจากเธอที่ทำเอาปริมต้องเงยหน้ามองดาวอีกครั้งก่อนบอก

    “ไม่นี่คะ ปริมไม่ผิดหวังทั้งสองเรื่อง อาม่อนตีกับใครเรื่องอะไรก็ไม่เกี่ยวกับปริมเสียหน่อยทำไมปริมจะต้องผิดหวังในตัวอาม่อนด้วย ”  

                    ตอบเสร็จก็แลลงมองดูเขาที่เงยหน้าคลี่ยิ้มออกมาให้เธอเห็น

    “ ส.ส.วารุรีแต่งงานแล้วครับ น้องปริม”

    เหมือนเอาน้ำเย็นมาราดตัวปริมให้ยืนมือเย็นอยู่ตรงนั้น

    ....เขามาบอกเธอทำไมกัน ปริมไม่ได้ถามซักคำ

    “เพียงแต่ส.ส.วารุรียังใช้คำว่านางสาวนำหน้าชื่อเท่านั้น  สามีก็เป็นเพื่อนอาม่อน” มติอธิบายต่อ“ส.ส.วารุรีเป็นส.ส.ที่อยู่พรรคเดียวกับอา ถือว่าเป็นเพื่อนผู้หญิง และน้องสาวของอา  ถ้าหากมีคนใส่ร้ายพูดจาดูหมิ่น ไม่ให้เกียรติ และล่วงเกินเขา อาก็ต้องปกป้องและน้องปริมก็รู้นี่ว่าอาไม่ชอบคนที่ไม่ให้เกียรติผู้หญิง  เขาเป็นคนที่ใช้วาจาล่วงเกินเพื่อนผู้หญิงของอาแถมยังใส่ร้ายป้ายสีเธอให้เธอเสื่อมเสียชื่อเสียง อาจะยอมได้ยังไง   ที่อาพูดน้องปริมพอจะเข้าใจอาไหมครับ?” 

    ปริมเงียบ ขณะที่ยืนมองเขายืนถือโทรศัพท์แนบหูจ้องขึ้นมาที่เธอ

    “น้องปริมตอบอาม่อนหน่อยครับ  น้องปริมเข้าใจที่อาม่อนอธิบายใช่ไหมครับ?”

    ปริมนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบเขาไปว่า “แต่ปริมไม่เข้าใจว่าทำไมอาม่อนต้องใช้กำลังตอบคนนั้นด้วยล่ะคะ”

    ว่าแล้วเธอก็พูดต่อ“อาม่อนเคยสอนปริมเองว่าอาม่อนไม่ชอบแก้ปัญหาด้วยวิธีการใช้กำลัง เอะอะๆก็ตีกัน  ที่ปริมไปตีกับน้องที่โรงเรียน อาม่อนก็ยังเคยโกรธปริม  แต่นี่ อาม่อนกลับใช้กำลังปกป้องเพื่อนอาม่อนปริมว่ามันไม่เห็นจะถูกต้องเลยค่ะ ถึงอาม่อนจะบอกว่าเค้ามาตีอาม่อนก่อนก็เถอะ”

    คุณอามติของปริมนิ่งงันไป

    “อารู้ตัว” ในที่สุดเขาก็พูดออกมา“อารู้ว่าน้องปริมจะเห็นข่าวอาจากข่าวแน่ๆ อาถึงได้ขับรถจากกรุงเทพฯตรงมาที่นี่ทันทีที่เกิดเรื่อง เพราะอาอยากจะรู้ว่า  ตกลงน้องปริมผิดหวังในตัวอาไปแล้วหรือยัง?”

    มือปริมที่กำลังถือโทรศัพท์เย็นเฉียบเพราะชักจะงงว่าเขาพูดเรื่องอะไรกันแน่

    “คุณพ่อน้องปริมคงนึกว่าอาสติแตกเพราะเรื่องชกต่อย  ท่านก็เลยเมตตาให้อาค้างที่นี่” เขาพูดต่อ “แต่อาว่าตอนนี้ท่านคงจะรู้แล้วล่ะว่าอามาที่นี่ทำไม  ตกลงน้องปริมจะตอบอาได้รึยังครับว่าผิดหวังในตัวอารึเปล่า?”

    ปริมเงยหน้ามองดาวอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะตอบ

    “ถ้าปริมบอกว่าไม่เคยผิดหวังในตัวอาม่อนเลย   อาม่อนจะอยู่ที่นี่ถึงวันไหนคะ?”

    รัฐมนตรีช่วยเริ่มยิ้มที่มุมปาก

     “อันนี้ต้องถามคุณพ่อน้องปริมแล้วล่ะว่าท่านจะเมตตาให้อาอยู่ได้นานแค่ไหน”

    ถ้าเป็นเรื่องนั้น ปริมก็รู้แล้วว่าคำตอบจะเป็นอย่างไรเพราะคุณพ่อและคุณแม่ของเธอต่างก็ลงมติเป็นเอกฉันท์แล้วว่าจะยอมอุปถัมภ์เขาไปอีกนานไม่ว่าเขาจะยังเป็นรัฐมนตรีอยู่หรือไม่

    “ดึกแล้ว น้องปริมไปนอนเถอะครับ  อาจะรบกวนเท่านี้  พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน” เขาบอกลา

    ส่วนปริมก็เดินเข้าห้องไปแบบงงๆเพราะยังลงมติไม่ได้ว่า จริงๆแล้วที่เขาพูดมาทั้งหมดนั้นเกี่ยวกับเรื่องอะไรกันแน่แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกเพราะถึงอย่างไรเธอก็จะยังมีเวลาคุยกับเขาอีกหลายวันกว่าจะสามารถลงมติได้ว่ามันเป็นเรื่องอะไรจริงๆ   

    ********************


     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    �� G�W�u
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in