คืออย่างนี้ค่ะ
คนเราไม่ได้อ้วนเพราะกินเยอะ และไม่ออกกำลังเสมอไป
และไม่ได้สามารถผอมลงด้วยการกินน้อยลงและออกกำลังกายมากขึ้นเสมอไป
แน่นอนว่าจะมีคนที่ผอมลงเพราะกินน้อยลงและออกกำลังกาย แต่ไม่ใช่ทุกเคส และจำเป็นต้องบอกด้วยว่า การลดนั้นยากง่ายไม่เท่ากันในแต่ละคน
ถามว่าทำไมถึงยากง่ายไม่เท่ากัน ก็ต้องบอกว่า มันไม่ได้อยู่ที่ความอดทน ความใจสู้ ความบลาๆ ทั้งหลายที่คนชอบเอามาผูกกับการลดน้ำหนัก
แต่มันอยู่ที่ปริมาณอินซูลินในเลือดน่ะค่ะ
เอาเป็นว่า ร่างกายคนเรามีอยู่สองภาวะ เรียกง่ายๆ ว่า “ภาวะกิน/เก็บ” กับ “ภาวะใช้” ก็แล้วกัน
ภาวะกินคือตอนที่กินอาหาร หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีรสหวาน (ต่อให้ 0 แคลอรี่ ถ้าหวานก็นับ ซึ่งจะอธิบายต่อไปว่าทำไม)
ในภาวะนี้ ร่างกายจะปลดปล่อยฮอร์โมนอินซูลินออกมา อินซูลินอันนี้มีหน้าที่คือ “เก็บรักษาพลังงาน” แปลว่ามันจะเปลี่ยนสารอาหารเป็นกลูโคสไปเก็บที่ตับ และถ้าตับเต็ม มันจะเปลี่ยนเป็นไขมันไปพอกไว้ตามจุดต่างๆ ของร่างกาย
ตราบใดที่มีอินซูลิน ร่างกายจะเก็บลูกเดียวไม่ใช้
พอเราหยุดกิน อินซูลินจะค่อยๆ ลดลง ถึงตอนนี้ร่างกายก็จะเริ่มเอาไอ้ที่เก็บไว้มาใช้ จึงเรียกว่า “ภาวะใช้”
ทีนี้ปัญหาก็คือ ที่คนอ้วนส่วนใหญ่เป็นเพราะอินซูลินมีปัญหาค่ะ
ปัญหานี้อาจจะเกิดเพราะยาที่กิน เพราะร่างกายเกิดเจ็บป่วย หรือเพราะจิตใจเกิดเจ็บป่วยจนกินมากผิดปรกติ หรือเพราะอะไรก็ตามเถอะ แต่ในคนอ้วนเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะที่มีไขมันพอกที่ท้องมาก เกิดเพราะในเลือดของท่านมีอินซูลินเยอะเกินไปตลอดเวลาค่ะ
เมื่อมีอินซูลินเยอะเกินไป ร่างกายก็เลยไม่เคยเอาไอ้ที่เก็บไว้มาใช้เลย แปลว่าถึงท่านมีไขมันเต็มไปหมด ร่างกายก็ทำเหมือนไม่เคยมีไม่เคยเห็นไขมันพวกนั้น....
เมื่อมองไม่เห็นไขมัน ร่างกายจึงใช้แต่พลังงานที่ดึงมาใช้ง่ายที่สุด คือกลูโคสในตับ
บางคนแค่กลูโคสในตับ มันยังหาไม่ค่อยจะเจอ ท่านเลยมีแรงเฉพาะตอนได้กินอาหารเท่านั้น (ที่คนชอบพูดกันว่า “น้ำตาลในเลือดหมด” “ต้องเติมน้ำตาล” นั่นแหละ)
เมื่อเป็นอย่างนี้ คนอ้วนก็เลยพลังงานต่ำ หิวง่าย
และเพราะในเลือดมีอินซูลินเยอะ กินเข้าไปก็เลยมีแต่จะยิ่งเก็บ กลายเป็นไขมันเพิ่มอยู่ตลอดเวลา ดึงมาใช้ไม่ได้
พูดง่ายๆ คือร่างกายของท่านมี glitch มันเลยเก็บลูกเดียว ใช้ไม่เป็น
นี่คือความเจ็บป่วยค่ะ ไม่ใช่ความเกียจคร้าน ไม่ออกกำลังกาย ความบาปกรรมทั้งหลายที่อาจจะมีคนโทษท่านมาตลอดชีวิต ไม่ว่าเขาจะพูดด้วยปากหรือไม่ก็ตาม
###
เมื่อมีอินซูลินมาก วิธีรักษาที่ดีที่สุดก็คือการลดอินซูลิน
วิธีลดอินซูลินที่ดีที่สุด ก็คือ “ไม่กิน”
การไม่กินจะทำให้อินซูลินลดลงต่ำต่อเนื่องตลอดเวลา เมื่อถึงจุดหนึ่ง ร่างกายจะค่อยๆ หาไขมันเวรกรรมที่สะสมไว้ชั่วกาลนานเจอ และนำมาใช้
เมื่อมันหาไขมันเจอ และนำมาใช้ ท่านจะ
- สูญเสียไขมัน (แน่ละ)
- มีแรงขึ้นมาเยอะมาก เพราะไขมันครึ่งกิโล มีพลังงานราวๆ 3,500 แคลอรี่ พูดอีกอย่างคือแรงดีกว่ากลูโคสหลายเท่า
- เมื่อมีแรงขึ้นมาเยอะมาก ท่านจะอยากออกแรงเองเพราะพลังล้น
ท่านจะไม่ผอมเร็วค่ะ โดยเฉพาะคนที่อ้วนติดต่อกันนาน เพราะร่างกายท่านต้องรักษาตัวเองจนกว่าอาการอินซูลินล้นจะหาย
แต่ถ้าทำต่อเนื่อง นี่จะเป็นวิธีรักษาที่ถึงรากของปัญหาที่สุดแล้วค่ะ
ทั้งหมดนี้ไม่ได้นั่งเทียนเขียนเอง ได้อ่านหนังสือมาประมาณ 10+ เล่ม ฟังคลิปที่หมอจริงๆ มาพูด และอ่านบทความตลอดจนบล็อควิชาการต่างๆ ถ้าอยากได้ลิสต์หนังสือที่ควรอ่านก็มาถามได้ ยินดีแชร์มาก แต่มันยังมีแต่ภาษาอังกฤษนะคะ
ปรกติการอดอาหารนั้น หนึ่งวันมี 24 ชม. ถ้าอดเพื่อสุขภาพเฉยๆ (เพราะการอดจะเพิ่ม growth hormone และการทำงานของระบบ autophagy ซึ่งมีหน้าที่ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ) แนะนำที่ประมาณ 12-13 ชม. รวมเวลานอน
ถ้าต้องการอดเพื่อช่วยรักษาอินซูลิน/ลดน้ำหนัก แนะนำให้อดประมาณ 16-24 ชม. รวมเวลานอน (มีรูปแบบการอดอย่างอื่น แต่เอาไว้แค่นี้ก่อน) แปลว่าวันหนึ่งให้กิน 1-2 มื้อ นอกนั้นให้ดื่มแต่น้ำเปล่า หรือชากาแฟที่ไม่หวาน
ไม่ค่ะ อดอาหารเช้าไม่ได้แย่ต่อสุขภาพ คนที่เผยแพร่ข้อมูลว่าอดอาหารเช้าไม่ดีต่อสุขภาพ คือบริษัทขายซีเรียลในประมาณยุค 70-80 (น่าจะเป็นเคลลอกส์) ที่มันไม่ได้แย่เพราะท่านไม่ได้ขาดอาหาร ท่านกำลังใช้ไขมันอยู่
(แต่ถ้าอายุต่ำกว่า 18 ปี หรือตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือป่วย ก็ยังต้องกินอาหารให้ครบสามมื้ออยู่นะคะ ร่างกายยังต้องใช้อยู่จ้า)
ที่ไม่ให้กินหวาน เพราะมีการทดลองมาแล้วว่า แค่อมน้ำหวานกลั้วในปากแล้วถุยออกมา อินซูลินก็ขึ้นแล้วค่ะ บางคนอาจจะไม่มีปัญหา แต่จะบอกว่าไม่ให้อินซูลินขึ้นเป็นดีที่สุด เพราะพอมันขึ้นจะหิว หิวแล้วยิ่งอดยากค่ะ
บางคนก็รู้สึกแย่ประมาณ 1-3 อาทิตย์แรก เพราะร่างกายกำลังปรับและยังหาไขมันไม่เจอ แต่เมื่อหาไขมันเจอแล้วก็จะไม่เป็นไร
น้ำหนักจะไม่ลงเร็ว หรือถ้าลงเร็ว ระยะแรกมักจะเป็นแค่น้ำ สิ่งที่เปลี่ยนก่อนคือรอบเอวและรูปร่าง นอกนั้นก็จะมีแรงขึ้น สติแจ่มใสขึ้น เดี๋ยวนี้ถ้าเราเกิดมีเหตุให้ต้องนอนน้อย เช่นแค่ 1-3 ชม. เราก็เฉยๆ ค่ะ ไม่จำเป็นต้องอัดกาแฟ ที่ยังดื่มกาแฟอยู่เพราะชอบกาแฟเฉยๆ
เรื่องนี้ก็มีอะไรต้องเขียนอีกยาว (เช่นทำไมทำ intermittent fasting แล้วถึงไม่เกิด starvation mode) คนอยากศึกษาเองก็แนะนำ Obesity Code ของ Dr. Jason Fung แต่นอกนั้นก็มีข้อมูลให้ดู อ่าน ฟัง อีกเยอะเลยค่ะ
ใช่ค่ะ มันลดช้า ไม่ผอมเร็ว แต่มีกรณีศึกษาที่ทำติดต่อกัน 50+ ปีโดยไม่มีปัญหาสุขภาพ ร่างกายแข็งแรง (หรือถ้านับการกินอาหารของพระภิกษุในศาสนาพุทธ ก็ควรบอกว่ามีกรณีศึกษาเป็นแสนๆ กรณีตั้งแต่สมัยพุทธกาล...) และมีคนที่ผอมจริงๆ ถ่ายรูปให้ดูเยอะมาก และมีคนที่หายเป็นเบาหวาน ความดัน ไทรอยด์ กระทั่งโรคผิวหนังยังมี
เพราะอย่างนี้เราถึงรู้สึกเหมือนตอนแนะนำ morning pages คือถ้าลองดู/ลองศึกษาแล้วรู้สึกไม่เวิร์คไม่อยากทำก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีปัญหาแนวๆ นี้ก็อยากให้ลองศึกษาดูก่อน
เราพูดแบบนี้ ตัวเราก็ไม่ได้อะไร (ก็เหมือนการพยายาม advocate morning pages) นี่ก็แค่พูดออกมาเพราะถ้ามันช่วยคนได้อีกสักคนก็จะดีใจน่ะค่ะ
อะแถมรูปให้ด้วย
ที่มา: https://therenegadepharmacist.com/benefitsoffasting/
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in