เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกเรื่อยเปื่อยpunpun_lawit
Body Shaming
  • บอดี้เชมมิ่ง คือการล้อเลียนรูปร่างหน้าตาของคนอื่นให้ได้อายค่ะ ที่เห็นบ่อยๆ เช่นบอกว่าอ้วน ผอม ใส่แว่น สิวเยอะ ดำ ฯลฯ

    ช่วงก่อนนี้มีน้องคนหนึ่งบ่นบนวอล เรื่องถูก body shaming เราเลยคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา

    พูดตามตรง ตั้งแต่เด็กมาจนวันนี้ เราที่น้ำหนักเกินมาตลอดก็ถูก body shaming เรื่อยๆ และรู้ดีว่าเป็นยังไง คนที่ body shaming คนอื่นนั้น เท่าที่คิดดูแล้ว ก็มักจะเป็นคนที่มีปมด้อย (โดยเฉพาะคนที่กังวลเรื่องหุ่นของตัวเอง เพราะคนเรากังวลเรื่องอะไร ก็จะเห็นสิ่งเดียวกันในตัวคนอื่น คนอื่นก็แค่กระจกสะท้อนเราเท่านั้นแหละค่ะ) นอกจากนั้นก็มีคนที่อยากเป็นมิตร แต่ไม่รู้จะเข้าหายังไง ก็เลยพยายามดึงสิ่งที่ตัวเองเห็นชัดที่สุดมาเริ่มบทสนทนา 

    คนที่เป็นห่วงเราจริงๆ ก็มี แต่จะบอกว่า คนที่ห่วงจริงๆ นั้นพูดแล้วเราจะรู้ เราจะไม่โกรธ แต่คนที่พูดกระทบเหน็บแนม ทำให้เรารู้สึกไม่ดี แม้จะบอกว่าหวังดี คนพวกนี้ทุกคน กังวลบางเรื่องในตัวตนของตัวเองอยู่ทั้งนั้นแหละค่ะ เช่นกลัวว่าตัวเองจะอ้วนเหมือนกัน กลัวว่าตัวเองจะไม่ได้แต่งงาน กลัวว่าตัวเองแก่แล้วจะป่วย

    คนเราก็อ่อนแอแบบนี้แหละค่ะ

    มีคนบอกว่าคนไทยมักจะเป็นแบบนี้มากกว่าฝรั่ง (ซึ่งก็จริงในบางแง่ แต่ไม่ได้แปลว่าฝรั่งจะไม่คิดในใจหรอกนะ) คนที่ “ขัดเกลา” มาแล้วจะพูดออกมาและพูดในเชิงทำร้ายน้อยกว่าคนที่ “ไม่ได้ขัดเกลา” (ไม่เกี่ยวกับการศึกษาหรือยากดีมีจน อยู่ที่จิตใจและ empathy ล้วนๆ) 

    นอกจากนั้นที่น่าสนใจคือฝ่ายที่ถูก shaming มักจะถูกคาดหมายว่าต้องรับได้ ต้องอดทน และรับเป็นเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง เป็นการ “ล้อเล่น”

    เราคิดเรื่องนี้มาตลอดว่าทำไม ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ กลไกอะไรในตัวพวกเราที่ทำให้เป็นแบบนี้ (นอกจากคำว่า “โหดร้าย” ดาดๆ) แล้วเราก็คิดว่า น่าจะเพราะเราเป็นสัตว์ฝูงละมัง

    เมื่ออยู่รวมกันเป็นฝูง สัตว์ที่ต่างจากตัวอื่นๆ โดยเฉพาะตัวที่ดูจะ “ถ่วง” ฝูง จะถูกมองไม่ดี นี่เป็นสัญชาตญาณที่ฝังอยู่ลึกมากในตัวเราตั้งแต่สมัยดีกดำบรรพ์ เหมือนหมาป่าที่จะขับตัวบาดเจ็บและตัวแก่ออกจากฝูง ไม่ใช่เพราะมันโหดร้าย แต่เพราะฝูงจะไม่รอด

    ถูกแล้วค่ะ เราพัฒนามาจากตรงนั้นแล้ว แต่ส่วนที่ดิบนั้นไม่มีวันหายไปหรอกค่ะ โดยเฉพาะเวลาที่เราไม่รู้ตัวว่าอะไรกันแน่ที่ควบคุมความคิดจิตใจของเราอยู่

    ความไม่รู้ตัวคือความโง่ คืออวิชชา ซึ่งนำไปสู่ความโหดร้ายที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุชัดเจน (ถามจริงๆ เถอะ เราจะไปเดือดร้อนทำไมถ้าคนที่รู้จักกันอ้วนหรือดำ? และถ้าไม่เดือดร้อน ทำไมต้องโหดร้าย? และทำไมพอคนอ้วนหายอ้วน คนไม่สวยสวยขึ้น เราจึงพลอยรู้สึกว่าเป็นเรื่องดี?)

    เราคิดว่าสังคมไทยมีความเป็นปัจเจกน้อยกว่าสังคมฝรั่ง การอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนกว่า และจำเป็นต้องพึ่งพากันเองมากกว่า (เพราะบางทีส่วนกลางหรือ “ระบบ” ก็พึ่งพาไม่ได้) เป็นเหตุให้เกิดสิ่งที่คนอาจจะเรียกว่า “เสือกเรื่องชาวบ้าน” การเสือกนี้ เมื่อตัดทุกอย่างออกไปแล้ว ไม่ความซับซ้อนหรือกิเลสตัณหา สุดท้ายก็คือสัญชาตญาณของสัตว์ฝูง 

    วิธีเอาตัวรอดแบบหยาบๆ ของคนที่ “แตกต่าง” ก็คือถ้าไม่สามารถแก้ไขที่รูปร่าง ความพิการ ฯลฯ คนคนนั้นก็ต้อง “มีประโยชน์” ถ้าอ้วนแต่ฉลาด ทำงานเก่ง อ่อนโยน ตลก ก็จะสามารถเป็นส่วนหนึ่งของฝูงต่อไป เพราะสภาพสังคมของมนุษย์อนุญาตให้สมาชิก contribute ได้มากกว่าแค่การใช้แรงและความคล่องแคล่วแบบโบราณ

    ทั้งหมดนี้อาจจะถูกหรือไม่ก็ได้ แต่เราคิดอย่างนี้ มันอาจจะฟังดูโหด แต่สำหรับเราแล้ว ความเข้าใจและการหาสาเหตุที่ลึกกว่าแค่สิ่งที่เห็นตรงหน้า เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะมันทำให้เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรเพราะอะไร และเราจะคอนโทรลมัน มีสติกับมันได้แค่ไหน

    นอกจากนั้น มันก็ทำให้เราเห็นคุณค่าของการเข้าใจความแตกต่าง และมองให้ลึกกว่าสิ่งที่เห็นด้วยตา

    ไม่มีใครอยากอยู่ในตำแหน่งที่ถูก body shaming หรอกค่ะ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราไม่รู้ว่าสิ่งที่โดนมาตลอดชีวิตนั้นกระทบจิตใจเราแค่ไหน ทำให้มันบิดเบี้ยวไปแค่ไหน จนกระทั่งเราเริ่มเข้าใจว่าจริงๆ มันเกิดอะไรขึ้น และเราจะจัดการกับสภาพที่เราเป็นได้ยังไง

    แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่จะเขียนต่อไปทีหลังน่ะนะ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in