เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Do not let the death love youRaccool
Don’t kick the chair

  •  

    เลือดสีแดงเข้มจากต้นคอสาดกระจายเต็มพื้นห้องใบมีดตัวการร่วงหล่นลงพื้น ร่างกายผมโรยรินกำลังจะสูญสิ้นลมหายใจ กลไกลร่างกายกระเสือกกระสนหอบหายใจเอาอากาศเพื่อพยุงให้ร่างกายอยู่รอดนานกว่านี้อีกหน่อยตามสัญชาตญาณการอยู่รอดของมนุษย์

    ยังตายไม่ได้

    แต่จะอยู่ไปเพื่ออะไร

    ผมล้มลงหลับตาลมหายใจจากเคยหอบสั่นกำลังแผ่วลงทุกวินาที

    หลับตาเถิด...แล้วเราจะได้หลุดพ้นเสียที

    ผมลืมตาขึ้นมาเพราะนาฬิกาปลุกที่หวีดร้องลั่นห้องบ่งบอกว่าวันพรุ่งนี้มาถึงแล้วผมนอนแผ่ให้เสียงน่ารำคาญดังอย่างต่อเนื่องเพื่อพักหายใจใบหน้าหงายขึ้นมองเพดานห้อง มีแสงยามเช้าเล็ดรอดมาจากม่านที่คลุมหน้าต่างเสียงนกร้องเจื้อยแจ้ว แสดงถึงโลกที่หมุนไปตามกาลเวลาปกติ

    พรุ่งนี้มาถึงแล้ว

    และกลายมาเป็นคำว่าวันนี้

    ส่วนคำว่าพรุ่งนี้ก็จะไม่มีอยู่จริงต่อไป

    ผมเอื้อมตัวไปปิดเสียงปลุกจากนาฬิกาเพื่อกลับมานอนคิดถึงฝันเมื่อคืนอีกครั้ง...หรืออันที่จริงน่าจะเรียกว่าเป็นฝันในยามเช้ามากกว่า

    เขาว่าฝันในช่วงใกล้เช้ามักจะเป็นจริง

    ถ้าเช่นนั้น ผมภาวนาให้มันเป็นจริงตามที่เขาว่าทีเถอะ...

    หายใจเข้า... เหนื่อยหน่ายกับชีวิตประจำวันซ้ำซากจมดิ่งอยู่กับความรู้สึกเหี้ยๆ วนเวียนอยู่อย่างนั้น ไม่มีทางออกสักที

    หายใจออก...ช่างแม่งเถอะ

    ยังหายใจอยู่นี่

    ผมยันตัวลุกจากเตียงเตรียมพร้อมกับกิจวัตรประจำวันน่ารำคาญนี่อีกครั้ง และอีกครั้ง...

    ขาขวาก้าวออกจากหอพักพร้อมกับใบหน้าที่ปั้นยิ้มน่าคลื่นไส้ ส่งยิ้มให้ใครต่อใครที่สบตาทำตัวราวกับเป็นพวกมนุษยสัมพันธ์ดีนักหนา ผมเดินไปยังป้ายรถเมล์เพื่อรอรถเมล์มารับตัวไปยังบริษัทหรือที่ทำงาน

    สถานที่ที่อุดมไปด้วยมิตรภาพมากมาย และไม่มีรอยยิ้มใดที่สามารถไว้วางใจได้เลย

    ผมรอรถเมล์อยู่บนฟุตบาทบนถนนที่มีรถราวิ่งแล่นเต็มไปหมด บ้างวิ่งเร็ว บ้างช้าส่วนใหญ่มักจะวิ่งเร็วกว่ากฎหมายกำหนด เป็นเพราะชั่วโมงเร่งด่วนสองขาผมก้าวออกไปยังถนน เดินไปกลางเส้นทาง เพื่อรอให้มีรถสักคนที่พุ่งเข้ามา และเมื่อคนขับรถเห็นผมก็จะสายไปเสียแล้วที่จะเหยียบเบรกหรือหักพวงมาลัยไม่ให้รถสวยเข้าปะทะกับร่างเนื้อเน่าหนอน

    ร่างกายผมถูกแรงกระแทกบดขยี้กล้ามเนื้อและกระดูกบิดแตกไปคนละทาง เส้นเลือดแตกไปทุกส่วนกระจายสาดออกมาจากร่างกายผม ส่วนผมที่โดนแรงกระแทกก็จะปลิวจากจุดเดิมไปค่อนข้างไกลพร้อมกับตกลงมาเป็นร่างไร้วิญญาณ หรือไม่ก็หายใจรวยรินแนบพื้นถนน

    ...รถเมล์มาแล้ว...

    ผมเข้างานทันเวลา ไม่ขาดไม่สายดังเช่นทุกทียกยิ้มให้กับพนักงานทุกคนในบริษัทและนอกบริษัทไม่ยอมให้เสียชื่อตำแหน่งผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีและร่าเริงสดใสที่สุดของทีม ผมเอ่ยทักทุกคนที่เข้างานก่อนผมจนครบแล้วถึงได้นั่งลงประจำโต๊ะทำงานตัวเอง

    เปิดแล็ปท็อปหยิบเอกสารมาหนึ่งแผ่นไล่อ่านระหว่างรอแล็ปท็อปทำงาน เป็นอันเริ่มงาน

    ช่วงพักกลางวันเป็นเวลาที่อยากจะหนีออกไปให้พ้นจากโลกใบนี้มากที่สุดอยากย้ายไปอยู่ดาวอังคาร เมื่อคิดว่าต้องมานั่งปั้นยิ้มให้กับใครต่อใครอีกครา

    ชาวดาวอังคารจะมีที่เผื่อให้ผมหรือเปล่าผมที่มีเพียงร่างกายเปลือยเปล่าไร้ค่า และไร้ซึ่งเรื่องราวสนุกสนานในชีวิต

    หนุ่มโสดอย่างผมไม่มีปัญหาหรือเรื่องราวอะไรมากมายมานั่งเล่าในวงโต๊ะอาหารจึงทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดีพร้อมหัวเราะตามมุกตลกของใครสักคนหรือถ้ามีสักเรื่องให้เล่าก็คงไม่ใช่เรื่องสนุกหรือเรื่องที่ใครเขาอยากฟังกันหรอก

    ไม่มีใครอยากรู้หรอกว่าโลกนี้มันกำลังขดตัวเป็นเกลียวเชือกเพื่อมารัดคอผม

    ตราบใดที่ยังเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใสก็จะไม่มีใครสงสัยต่อชีวิตของผม แต่ในใจก็ได้แต่หวังลึกๆให้โลกห่าเหวรัดคอให้ผมหายไปเสียที

    กลับเข้าเวลางานครานี้หัวหน้าผู้มีปัญหากับทุกอย่างในชีวิตกำลังมาลงอารมณ์ที่ลูกน้องผู้เจียมตัวอย่างผมเพียงเพราะคิดว่าตนสูงศักดิ์ เป็นผู้อยู่บนยอดพีระมิดเบื้องบนและมีสิทธิ์เหยียบย่ำพวกมนุษย์ต้อยต่ำใต้บัญชา

    ลองเถียงกูสิเดือนนี้กูจะหักเงินเดือนมึงให้แม่งไปแดกข้าวกับหมาข้างเซเว่น

    ครับ...ครับ...ทราบแล้วครับ

    อันที่จริง...หมาข้างเซเว่นอาจจะมีชีวิตที่ดีกว่าผมก็ได้

    เย็นวันนี้ผมทำโอที เพราะถูกแก้งานตามคาดทุกคนในบริษัทกลับบ้านไปหาลูกหาเมียกันหมดแล้ว และผมคงเซ็งเป็นบ้าถ้ามีเมียเหมือนชาวบ้านแต่ไม่ได้รีบกลับไปพบหน้าสุดที่รักอันที่จริงมันก็เคยมี...เมียที่ท้องกับชู้ก่อนจะหนีตามกันไปพร้อมหอบสมบัติผมไปด้วยเนี่ย

    เมียเวรอย่างนี้ไม่มีเสียก็ได้เสียเวลาไปตั้งเจ็ดแปดปี

     ไฟในบริษัทเหลือเพียงแค่บริเวณโต๊ะผมที่ส่องสว่างอยู่หลอดไฟฟลูออเรสเซนท์แขวนเรียงรายด้วยเส้นเหล็กแกร่ง

    ผมเหลือบขึ้นมองมัน

    หยิบเชือกเส้นหนึ่งมาขดเป็นบ่วงปีนเก้าอี้เพื่อพาดปลายเชือกให้คล้องกับเส้นเหล็กแกร่งที่ใช้แขวนหลอดไฟกะระยะให้บ่วงเชือกลอยอยู่สูงจากพื้นมากกว่าหนึ่งช่วงตัวก่อนขมวดให้มันเป็นปมแน่นหนามากพอที่จะไม่หลุดออกจากกัน

    หลังจากที่ทดสอบความแข็งแกร่งของเชือกเสร็จสรรพแล้วผมทำการมุดหัวตัวเองเข้ากับห่วงเชือก บ่วงเชือกคล้องได้พอดีกับลำคอจนพอใจ

    เตะเก้าอี้ออกไป

    ขาลอยจากพื้น ปล่อยให้บ่วงเชือกทำหน้าที่ของมันเชือกเส้นหนารัดคอริดรอนอากาศหายใจ ร่างกายตะกุยตะกายไขว่คว้าอากาศเพื่อหวังมีชีวิตรอดตามกลไกเอาตัวรอดของมนุษย์ แขนขาปะป่ายมั่วซั่วไร้ทิศทางขาผมอาจเตะโดนอะไรสักอย่างจนล้มเสียงดังโครมคราม แต่ใครเล่าจะสนเมื่อทั้งตึกนี้มีแค่ผมอาศัยอยู่แค่คนเดียว

    จนในที่สุดร่างกายก็จะแน่นิ่งเพราะขาดอากาศหายใจคอพับไปที่ไหล่สักข้าง ส่วนลำตัวห้อยโตงเตงหมุนไปมาโดยมีเชือกยึดลำคอไว้อยู่

    พรุ่งนี้ถึงจะมีคนมาพบสภาพน่าอนาจของผม

    “พี่ยังไม่กลับเหรอครับ?”

    ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์หันเก้าอี้ไปยังต้นเสียงปริศนา ภาพตรงหน้าปรากฏเป็นชายหนุ่มที่ดูเด็กกว่าผม  สวมเสื้อเชิร์ตตามกฏของบริษัท เพียงแต่ผมไม่รู้จักเขา จึงเอ่ยตอบมันไปพร้อมรอยยิ้ม

    “ทำโอทีน่ะ แล้วทางนั้นล่ะ ดึกดื่นป่านนี้ทำไมยังไม่กลับ”

    “ผมก็ทำโอทีเหมือนกัน”

    “น่าเศร้าเป็นบ้าเลยว่ามั้ย”

    “นั่นสิครับ แต่ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่รีบกลับกรุงเทพตอนกลางคืนก็สวยดีด้วย กลับดึกๆ รถจะได้ไม่ติดอีกต่างหาก”

    ไอ้คนเด็กกส่าที่ผมไม่รู้จักแม้แต่ชื่อตอบกลับพร้อมยิ้มร่าความคิดเชิงบวกของมันทำผมขนลุก

    “แล้วไม่ไปทำงานต่อหรือไง”

    ผมถาม คิดว่ามันน่าจะทำงานอยู่อีกห้องไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้มันมาเจอผมที่ห้องนี้

    “มาเดินเล่นหน่อยน่ะครับ ปวดคอ กลัวผีด้วยดีนะเจอพี่พอดี มีคนอยู่เป็นเพื่อน”

    เจ้าตัวร่าเริงยังคงว่าเสียงใสพร้อมกลั้วเสียงหัวเราะในลำคอ

    “ทำถึงกี่โมงล่ะ” ผมว่าเอ่ยคล้ายไล่ให้มันกลับไปทำงานจะได้รีบๆ กลับไปเสียที

    “เรื่อยๆ น่ะครับ พี่ล่ะ”

    “...เรื่อยๆ เหมือนกัน...”

    “งั้นผมเอางานมาทำข้างพี่ได้มั้ย กลัวผีอะ แถมห้องพี่วิวสวยกว่าด้วย”

    “...”

    “พี่ครับ?”

    “ตามใจสิ”

    ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจเพราะเหนื่อยที่ต้องปั้นยิ้ม ยิ่งพอคิดว่ามันจะมานั่งข้างๆผมอีกยิ่งเหนื่อย คิดว่าไอ้เด็กนี่คงแปลกใจที่จู่ๆ ผมก็เลิกยิ้มขึ้นมา กูเหนื่อยจะตายอยู่แล้วที่จะต้องปั้นยิ้มทั้งวันเพราะงั้นตอนนี้กูขอเถอะ เลิกงานแล้วก็ให้กูได้ทำสีหน้าตามใจบ้าง

    ไอ้ตัวเล็กวิ่งไปหยิบแล็ปท็อปมันมานั่งข้างๆพร้อมเอกสารทั้งหลายแหล่ จากนั้นมันก็ชวนคุยไม่หยุดจนน่ารำคาญ ผมตอบบ้างไม่ตอบบ้างหนวกหูก็จริง แต่เสียงใสของมันคงเพราะกว่าความเงียบเพราะมันทำให้ผมอมยิ้มได้หน่อยๆ เสียงเจื้อยแจ้วคล้ายเสียงนกในยามเช้าแต่กลับได้ฟังในตอนฟ้ามืด ตลกดีเหมือนกัน

    เรานั่งหลังขดหลังแข็งทำงานจนนาฬิกาชี้เวลาเที่ยงคืนกว่าผมเสร็จงานแล้ว และเหมือนคนข้างๆ เองก็เช่นกัน เมื่อชั่วโมงก่อนมันไม่ได้แตะงานตัวเองต่อเอาแต่หมุนเก้าอี้เล่น ชวนคุยเสียงดังเอิ้กอ้ากจนผมปวดหัว

    “พี่เสร็จแล้วหรือ”

    “อืม กลับกัน”

    ผมว่าพร้อมบิดขี้เกียจสองสามทีให้พอหายเมื่อยน้ำเสียงราบเรียบและไม่มีรอยยิ้มเหมือนทุกทีถึงมันจะพูดมากแต่ก็ไม่ได้เอ่ยทักอะไรที่มนุษย์ร่าเริงอย่างผมกลับมีสีหน้าซังกะตายเป็นเรื่องเดียวที่ไม่น่ารำคาญ

    “เดินเล่นริมแม่น้ำด้วยกันหน่อยมั้ยพี่”

    “ไม่เอาอ่ะ”

    “หน่า ผ่อนคลายไง”

    ตอนนี้รถขนส่งหมดรอบแล้วและถ้าโบกแท็กซี่ตอนนี้จะราคาค่อนข้างแรง แต่เอาเถอะจะโบกตอนนี้หรืออีกสองชั่วโมงจากนี้ก็คงไม่ต่างกันนักหรอก

    จึงตอบตกลงตามคำชวนของไอ้เด็กหน้าอ่อนนี่มันพาผมลัดเลาะไปตามทาง มองเห็นตึกฝั่งตรงข้ามเปิดไฟยามค่ำคืนประปรายตอนกลางคืนทำให้ดูโดดเดี่ยวแต่สวยงามเมื่อชีวิตประจำวันของมนุษย์ส่วนใหญ่จำเป็นต้องใช้ยามค่ำคืนเพื่อพักผ่อน ทำให้ช่วงเวลาในตอนนี้เหมือนมีแค่ผมคนเดียวที่ครอบครองมัน

    ถ้าไม่นับคนข้างๆ น่ะนะ

    ผมมองไปยังแม่น้ำที่เป็นสีดำสะท้อนผืนฟ้าที่มืดสนิท คลื่นแม่น้ำซัดเป็นระลอกตามแรงลมและคนข้างตัวยังคงพูดเจื้อยแจ้วอยู่อย่างนั้น

    ผมปีนข้ามราวกันตก กระโจนตัวออกจากพื้นดินตกลงสู่ผืนน้ำ ก่อนจะปล่อยให้กระแสน้ำพัดพาร่างไป สายน้ำซัดสาดเข้าร่างกายกดทับให้ผมจมดิ่งลงไปใต้แม่น้ำมืดมิดและกว้างใหญ่ปลายเท้าไม่สามารถหาผืนดินให้ยึดยืนได้มือและขาผมอาจจะตะกายสู้แรงน้ำเล็กน้อยเพื่อไขว่คว้าอากาศหายใจเหนือผิวน้ำก่อนจะถูกคลื่นน้ำกลบและดันให้ตัวจมลงไปลึกกว่าเดิม

    ลึกลงลึกลงจนกระทั่งไร้เรี่ยวแรงต่อต้านสายน้ำเชี่ยวจากธรรมชาติ

    จมดิ่งสู่ผืนน้ำที่ไม่มีจุดสิ้นสุดสายน้ำเชี่ยวจะคอยกระชากอากาศหายใจของผมจนหมด และสุดท้ายผมจะกลายเป็นศพลอยอืดในวันต่อมา

    “พี่...อย่าโดดนะ...”

    “...”

    ผมคงจมอยู่กับความคิดตัวเองลึกไปหน่อยถึงได้ไม่รู้ตัวว่ามีมืออุ่นจับข้อแขนผมแน่นขาทั้งสองข้างของผมยังตรึงอยู่กับพื้นขอบฝั่งสายตาที่จับจ้องแม่น้ำก่อนหน้านี้เบนไปหาต้นเสียงใส

    ผมยกยิ้ม

    “ไม่ได้จะโดดสักหน่อย บ้าเหรอ”

    “สายตาพี่บอกอย่างนั้น”

    “...บอกอะไร”

    “...ทุกข์ใจ สิ้นหวังเหมือนทุกคนรอว่าพี่จะล้มลงเมื่อไหร่ ไม่มีใครที่พี่จะไว้ใจได้เลยแม้แต่รอยยิ้ม”

    “...”

    “พี่เป็นคนบอกผมอย่างนั้น”

    “บอกตอนไหน”

    “ตอนนี้...”

    “...”

    “และจากทุกวันที่ผมสังเกตพี่มา...พี่ยิ้มแต่ตาพี่ไม่ยิ้มตามเลยรู้ไหมมันเศร้าและว่างเปล่าจนผมเป็นห่วง”

    ผมถอนหายใจไม่รู้ว่าคนตรงหน้าลอบสังเกตผมตอนไหนจึงได้เอ่ยถาม

    “...ต้องการอะไร”

    “ให้พี่มีชีวิตอยู่ต่อไป”

    “เพื่ออะไร?”

    มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ในเมื่อทุกวันผมตื่นขึ้นมาเพื่อภาวนาว่าตัวเองจะได้หลับไปตลอดกาลทุกครั้งแต่ในใจกลับกู่ร้องให้ฟังเด็กคนนี้เหตุผลในการมีชีวิตที่ผมเพียรหามาตลอดปีและไม่เคยเจอเลยสักวัน

    “ไม่รู้สิ” คำตอบของมันทำให้ผมผิดหวัง“...เพื่อเป็นวันพรุ่งนี้ให้ผมล่ะมั้ง”

    ก่อนจะบังเกิดความสงสัย

    “พรุ่งนี้ไม่มีอยู่จริงเสียหน่อยพอตื่นมา...ก็กลายเป็นวันนี้แล้ว อยากให้พี่เป็นคนที่ไม่มีอยู่จริงหรือ”

    “ตอนนี้ก็ไม่มีอยู่จริงเหมือนกันถ้ามองปัจจุบันเป็นวินาที ตอนนี้ก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว”

    “...”

    “พรุ่งนี้ไม่มีอยู่จริง ตอนนี้ไม่มีอยู่จริงแต่อดีตมีอยู่จริง อดีตอาจจะทำร้ายพี่ แต่อดีตของพี่ช่วยผมไว้...”

    “ยังไง”

    “อดีตของพี่ทำให้ผมมีวันพรุ่งนี้” มันยิ้มเจิดจ้าเสียจนนึกว่าเป็นตอนเช้า สดสว่างกว่าพระจันทร์หรือดวงดาวดวงไหนในค่ำคืนนี้

    “พี่ทำให้วันพรุ่งนี้ของผมมีอยู่จริงเพราะวันพรุ่งนี้ของผมคือพี่”

    “...”

    “เพราะงั้น...อย่ากลายเป็นอดีตของผมเลยนะ”

    “พี่ไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อไปทำไม...”

    “แค่อยู่เพื่อหาวันพรุ่งนี้ของพี่ให้เจอไง”

    “พรุ่งนี้ก็เหมือนทุกวันนั่นแหละ”

    “ไม่เหมือนหรอก เพราะพรุ่งนี้ของพี่จะมีผม”

    จบคำตอบพร้อมรอยยิ้มสายลมเย็นเยียบยามค่ำคืนพัดผ่านตัวผมพร้อมละอองน้ำจากริมแม่น้ำ

    “วันนี้พี่อาจจะยังไม่มีความสุขแต่ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้อาจจะมีก็ได้”

    “...”

    “ถ้าไม่เชื่อ เดี๋ยวผมจะทำให้ดู”

    ผมจำไม่ได้หรอกว่าเคยไปทำอะไรให้มันไว้เหมือนกับที่ใครต่อใครก็ไม่รู้ว่าเคยทำอะไรให้ผม จะอย่างไรเสียก็ไม่สำคัญเท่ากับที่มันทำให้ผมเชื่อว่าอยากลองค้นหาวันพรุ่งนี้ของตัวเองดู

    ในที่สุดสองเท้าผมก็ก้าวออกจากยอดตึกสูง ครานี้ไม่มีใครห้ามหรือฉุดรั้งผมได้อีกต่อไประดับความสูงทำให้ผมโบยบินได้ดั่งนกเพียงชั่วเดียวก่อนจะแหวกว่ายกรีดอากาศตกกระแทกลงมา ร่างกายบดขยี้กับพื้นถนนจนใบหน้าแหลกเละเครื่องในและสมองกระจายเกลื่อนเต็มพื้น พร้อมด้วยน้ำเลือดที่เจิ่งนองย้อมถนนที่ให้เป็นสีแดง

    วันนี้ของผมจบลงแล้วและจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีกต่อไป

    ชื่อของผมจะจารึกเป็นอดีตและหายไปจากความทรงจำของใครต่อใครในที่สุด

    “พี่ เช้าแล้ว”

    ผมเปิดเปลือกตาลืมตาตื่นเมื่อแสงอาทิตย์แยงเข้าตาเต็มๆ พร้อมกับเสียงใสของใครบางคนเอ่ยเรียกผมวันนี้ไม่มีเสียงนาฬิกาปลุกน่ารำคาญและไม่ได้นอนเหม่อมองเพดานห้องอย่างไร้ค่าอีกแล้ว

    เมื่อผมชันตัวลุกขึ้นสบตากับคนในห้องที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วไม่ขาดสายรอยยิ้มเจิดจ้าแข่งกับแสงอาทิตย์ยังคงส่งมาให้ผม มือเล็กๆนั่นรวบผ้าม่านขึ้นเพื่อให้แสงแดดยามเช้าสาดเข้ามาในห้องอย่างโจ่งแจ้งไม่ต้องแอบเล็ดลอดลักเข้ามาเหมือนวันก่อนๆ

    สวัสดีวันพรุ่งนี้

     

    Don’t kick the chair

    It’s gonna get better

    You could be better all by yourself


    -End-





    PAGE
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in