1
สีแดง...คือนิยามของท้องฟ้าในยามนี้
ร่างเล็กร่างหนึ่งนั่งอยู่บนขอบยอดตึกสูง ที่ซึ่งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกชั้นยอดชายผ้าคลุมสีดำสนิทปลิวไสวไปกับสายลมแรง ห้อยขาลงอย่างไม่เกรงกลัวต่อแรงโน้มถ่วงโลกที่นั่งแสนหมิ่นเหม่ที่หากเขาขยับพลาดแม้นสักนิด ทั้งร่างเขาคงร่วงลงมากระแทกกับพื้นถนนแหลกเละจนสิ้นลมหายใจเป็นแน่
แน่นอนเขาไม่กลัวเลยสักนิดว่าจะตกตาย
หาใช่เพราะมั่นใจว่าตนจะไม่ตกลงไปแต่เพราะตกลงไปก็ไม่มีทางตายได้ต่างหาก
ยมทูตชุดดำเช่นเขาไม่สามารถตายซ้ำสองได้ด้วยเหตุนี้เขาจึงเลือกที่จะนั่งชมวิวยามพลบค่ำบนยอดตึกที่สูงที่สุดของเมืองราวกับเป็นที่นั่งชั้นพรีเมี่ยมราคาแพง
จวบจนแสงสีแดงใกล้จะจากไปเขาทิ้งตัวลงจากตึกไม่ต่างจากทิ้งตัวลงบนฟูกหนานุ่ม แหวกอากาศดิ่งลงสู่ผืนดิน
ได้เวลาทำงานแล้ว
2
ผู้ส่งวิญญาณ คือชื่อเรียกในโลกของเขาโลกวิญญาณ...เขามีหน้าที่รับส่งวิญญาณที่สูญสิ้นร่างเนื้อจากโลกมนุษย์ไปสู่โลกอีกโลกหนึ่งที่ซึ่งเรียกว่าโลกวิญญาณ หรือบางคนจะรู้จักกันในชื่อโลกหลังความตาย
ผู้ส่งวิญญาณเอง ก็ไม่ต่างจากยมทูตตามชื่อเรียกของพวกมนุษย์
เด็กหนุ่มผมดำสนิทพร้อมกับเสื้อคลุมสีดำตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าลักษณะสำคัญที่บ่งบอกว่าเขาคือผู้ที่ทำหน้าที่ตรงนี้ นำพาวิญญาณต่อวิญญาณมาสู่โลกที่ต้อนรับเพียงแต่ดวงจิต
คงเป็นสาเหตุที่ใครหลายคนมักเจอเรื่องลี้ลับในช่วงนี้
ทว่าหลังผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปแล้วหากมีมนุษย์คนใดสูญเสียร่างเนื้อของตน กลายมาเป็นดวงวิญญาณในช่วงหลังพระอาทิตย์ตกดินก็มีแต่ต้องรอให้ถึงเย็นวันใหม่เท่านั้น ระหว่างนั้น...ก็คงต้องรอเป็นวิญญาณเร่ร่อนกันไปก่อน
ถึงอย่างนั้นผู้ส่งวิญญาณอย่างเขาไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงช่วงเย็นความสามารถพิเศษของอาชีพนี้คือสามารถเข้าออกระหว่างโลกมนุษย์และโลกวิญญาณได้ทุกเมื่อตามความต้องการทั้งนี้เป็นเพราะจ้าวนรกไม่ต้องการให้ผู้ส่งวิญญาณว่างงานผู้ส่งวิญญาณทุกตนสามารถเฝ้าจับตามองเหยื่อของตนได้ตามต้องการ
ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าผู้ส่งวิญญาณทุกตนจะสามารถบังคับดวงวิญญาณได้ทุกดวง
วิญญาณบางตนไม่ยอมรับว่าตัวเองตายไม่ยอมให้ความร่วมมือเดินทางไปกับผู้ส่งวิญญาณ ทางพวกเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้ผู้ส่งวิญญาณไม่สามารถบังคับดวงวิญญาณได้ และแน่นอนว่ามีดวงวิญญาณหลายดวงที่ยังคงเจ้าคิดเจ้าแค้นมีพันธะติดพัน แม้ตนตายไปแล้วแต่ยังละเรื่องทางโลกไม่ได้ไม่ยินยอมที่จะไปยังโลกวิญญาณ คอยสิงอยู่ที่โลกมนุษย์กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน พวกนี้
สวรรค์...หรือคือที่ซึ่งไม่ต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิดยังโลกมนุษย์อีก
หมายเลข 41370
ตัวเลขจำนวนเยอะขนาดนี้แน่นอนว่าพวกเขามีเยอะอย่างที่ไม่ต้องคาดจำนวนผู้ส่งวิญญาณมากมายเพียงพอที่จะรองรับวิญญาณจากโลกมนุษย์ที่เสียชีวิตวันต่อวันได้อย่างสบายๆ
และวันนี้เขาก็ทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยมอีกเช่นเคย เมื่อทิ้งตัวดิ่งลงมาจากยอดตึกสูงหมายเลข 41370 พลิกตัวกลางอากาศร่อนลงมายังพื้นดินอย่างง่ายดาย เดินตัวลอยไปยังอุบัติเหตุทางถนนที่มีซากรถยนต์และรถบรรทุกประสานงากันคนขับรถบรรทุกและคนขับรถยนต์รวมถึงทุกคนในรถเสียชีวิตคาที่ ยืนเป็นวิญญาณล่องลอยวนเวียนอยู่รอบๆนั้น
เขาตรงไปแนะนำตัวอย่างไม่รอช้าก่อนพาดวงวิญญาณจำนวน 4 ดวงเดินทางไปยังโลกวิญญาณ
แล้วแสงอาทิตย์สุดท้ายของวันก็หมดลง
3
ชีวิตประจำวันผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่ายเขาเฝ้ามองคนตายในเขตตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า วันแล้ววันเล่าทำหน้าที่รับส่งวิญญาณไปเรื่อยๆ ความตายเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องปกติสำหรับเขายิ่งกว่าเห็นคนธรรมดามีชีวิตเสียอีกร่างเนื้อแหลกละเอียด กลิ่นคาวเลือด กลิ่นไหม้ของเนื้อ กลิ่นเน่าเหม็นของซากศพทุกความตายอย่างผ่านมือเขาหมดแล้วทั้งนั้นไม่มีความตายรูปแบบไหนที่ทำให้เขาแปลกใจได้อีก
เพียงแต่งานครั้งนี้ค่อนข้างหนักมือหมายเลข 41370 เกลี้ยกล่อมให้วิญญาณสาวตรงหน้าเข้าใจและยอมตามเขาไปยังโลกวิญญาณเหมือนที่เคยทำปกติเสียแต่ครานี้ หญิงสาวกลับไม่ยอมทำตามคำกล่าวของเขาสาวสวยยืนยันว่าจะอยู่โลกมนุษย์ต่อไป หล่อนต้องการแก้แค้นชายผู้เคยเป็นที่รักผู้ซึ่งลงมือฆ่าตนอย่างแยบยล
แน่นอนว่าหมายเลข 41370
เด็กหนุ่มในชุดคลุมดำได้แต่มองร่างหญิงสาวลอยจากไปช้าๆวันนี้เขาพลาดเก็บวิญญาณไปแล้วหนึ่งดวง...
เมื่อปีก่อนเขาก็เพิ่งพลาดวิญญาณของชายแก่คนหนึ่งไป เพียงเพราะชายชรามีห่วงกับชีวิตลูกหลานไม่สามารถไปสู่อีกโลกได้หากลูกหลานเขายังไม่ได้ดิบได้ดีเขาจึงจำเป็นต้องปล่อยให้ดวงจิตชราดวงนั้นเร่ร่อนอยู่บนโลกมนุษย์ไปซักระยะ ได้แต่หวังให้ลูกหลานของชายชราผู้นั้นได้เป็นไปตามความต้องการของชายแก่เสียที
วันหนึ่งผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่ายผู้ส่งวิญญาณไม่มีความรู้สึก ไม่หิว ไม่ร้อน ไม่หนาว ไม่ง่วง ไม่หลับได้แต่ล่องลอยไปมา สอดส่องหาดวงวิญญาณที่ตนเองรับผิดชอบไปเรื่อยๆทำหน้าที่วนไปเช่นนี้นานนับร้อยปี เฝ้าดูยุคสมัยที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงและอารยธรรมของมนุษย์ที่เกิดขึ้นและดับไปอย่างทำอะไรไม่ได้นอกจากรับรู้และทำหน้าที่ของตนเอง
ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากนักมีบ้างที่ในตอนแรกรู้สึกอิจฉา อยากลองใช้ชีวิตในอารยะธรรมใหม่ๆ นี้ดูบ้างยุคสมัยใหม่ที่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมายเช่นนี้คงสามารถช่วยทำให้ชีวิตเขาตอนยังเป็นมนุษย์มีสีสันไม่น้อย
แต่แน่แท้เขาไม่สามารถทำได้ เขาไม่สามารถสัมผัสอะไรก็ตามในโลกมนุษย์ได้
ถึงแม้จะมี
กระนั้นเขาก็ไม่เคยทดลองทำตามข่าวลือที่ว่านั้นเลยสักครั้ง
ไม่ว่าตำนานจะเป็นจริงหรือไม่เขาไม่ต้องการฆ่าใคร ลำพังแค่ชดใช้บาปที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็มากพอแล้ว
4
ชีวิตประจำวันแสนน่าเบื่อหน่ายของผู้ส่งวิญญาณลำดับ41370 ผ่านไปอย่างน่าเหนื่อยหน่ายแม้นเด็กหนุ่มจะเคยท่องโลกมาจนทั่วแล้ว แต่ก็แค่นั้นเขาสามารถท่องไปยังขั้วโลกเหนือเฝ้ารอดูปรากฏการณ์ธรรมชาติที่มีเชื่อเรียกว่าออโรร่า แน่แท้มันสวยงามเกินจะบรรยาย ถึงอย่างนั้นความงามที่ปรากฏมันก็แค่นั้น
ในเมื่อเขาไม่สามารถนำมันไปเล่ากล่าวขานให้ใครได้ฟังได้
เหล่าวิญญาณที่เขาต้องเข้าไปพูดคุยด้วยทุกวันนั้นคงไม่มีตนไหนต้องการจะรู้ถึงความงามของออโรร่านักหรอก
นอกเหนือจากนั้น เขาท่องไปทั่วทุกมุมโลกในช่วงแรกของการเป็นผู้ส่งวิญญาณฝึกหัดในตอนนั้นเขาบินไปทุกหนแห่งเมื่อว่างจากงาน รู้จักทุกเส้นทางถนนทั้งหมดบนโลก ทั้งหมู่บ้านลึกลับที่ไม่ปรากฏบนแผนที่เกาะปริศนาที่ไม่มีใครรู้จัก ชนเผ่าโบราณจำนวนน้อยนิดที่ซ่อนตัวอยู่ตามซอกเขาสัตว์สายพันธุ์ประหลาดที่ไม่เคยมีใครค้นพบ พืชพันธุ์ที่ไม่มีอยู่ในตำรา สงครามที่ไม่มีที่สิ้นสุดรวมไปถึงปริศนาของการลอบสังหารผู้นำประเทศแห่งหนึ่ง
ทุกอย่างล้วนไร้ค่าเมื่อเขาไม่สามารถพูดคุยเรื่องนี้กับใครได้เลย
คุยกับวิญญาณไปแล้วได้อะไรอย่างไรเสียพวกนั้นก็ไม่ได้ต้องการจะรู้หรือหากรู้แล้วความทรงจำตอนเป็นวิญญาณก็จักต้องหายไปอยู่ดีเมื่อต้องไปเวียนว่ายตายเกิดในร่างเนื้ออื่นๆ
ผู้ส่งวิญญาณไม่ได้มีความสามารถในการพูดคุยกัน...
แม้จะมีผู้ส่งวิญญาณมากมายนับแสนเกิดขึ้นกระนั้นพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้สื่อสารกันได้ด้วยคำพูดอย่างดีที่สุดก็มีเพียงพยักหน้าทักทายกันเมื่อบังเอิญพบกันระหว่างทางเท่านั้น
ทุกสิ่งมหัศจรรย์และน่าตื่นตาของโลกกลายเป็นเรื่องไร้ค่า
กระทั่งเขาได้รู้จักกับวิญญาณสาวตนหนึ่ง
5
หล่อนตายในเขตที่เขาดูแลเป็นเหตุให้ผู้ส่งวิญญาณหมายเลข 41370
ร่างวิญญาณของหญิงสาวลอยอยู่เหนือร่างเนื้อตัวเองที่นอนจมกองเลือดชิ้นเนื้อแหลกเละ กระดูกหักบิดเบี้ยวไปคนละทิศละทางเครื่องในบางส่วนหลุดออกมาจากร่างกายบอบบาง เศษสมองกระจายตัวอยู่รอบๆ ศีรษะ
หล่อนฆ่าตัวตายอย่างไม่ต้องสงสัย
การตายในกรณีนี้ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้น...
...เพราะเขาเอง...ก็ตายไม่ได้แตกต่างจากนี้เช่นกัน
6
ผู้ส่งวิญญาณทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ที่สิ้นหวังในตัวเองมนุษย์ผู้โง่เขลาและอ่อนแอ ที่สุดท้ายยอมคร่าชีวิตของตัวเองเพื่อความสุขเห็นแก่ตัว
คือคำจำกัดความของพวกมนุษย์ที่เข้มแข็งและชาญฉลาด...
อาจจะจริงหรืออาจจะไม่ อย่างไรเสียสมองของมนุษย์ก็ไม่ได้มีเพียงแค่มิติเดียว คนหนึ่งมีความคิดเป็นแสนเป็นล้านไม่มีความคิดไหนที่กล่าวได้ว่าเป็นเลือกถูกต้อง
กระนั้นการคร่าชีวิตตัวเองเป็นเรื่องเดียวที่ทำให้เทวดาบนฟ้าต้องปวดใจพวกเขาล้วนพยายามสรรค์สร้างร่างกายมนุษย์ขึ้นมา เพื่อให้มนุษย์ได้ใช้ชีวิตบนโลกใบเล็กๆนั้นอย่างเต็มที่ มีความรู้สึก มีหัวใจ ไม่ต้องอยู่ไปวันๆเหมือนคนบนฟ้าที่ไม่มีเรื่องทุกข์ใจ ไม่มีเรื่องสุขใจ ไม่ต้องกิน ไม่ต้องนอนล่องลอยไปวันๆ อย่างไร้ความกังวล
หากแต่ไม่ได้หมายความเทวดาจะไร้ความคิด
ในเมื่อข้าพยายามสร้างเจ้าออกมาด้วยความรักเสียขนาดนี้...
แล้วเหตุใดเล่าเจ้าจึงทำร้ายตัวเอง...
จากความคิดของเหล่าเทวดาจึงนำสู่การพิพากษาให้มนุษย์ทุกคนที่กระทำตนเช่นนี้รับผิดชอบโดยการเป็นผู้ส่งวิญญาณรับใช้จ้าวนรกในการนำพาวิญญาณจากโลกมนุษย์มาสู่โลกหลังความตายเฝ้าดูการตายของมนุษย์ไปจนกว่าจะได้รับการให้อภัย...
ใช่...เขาจบชีวิตตนเองจากการฆ่าตัวตาย
...ด้วยเหตุผลที่ว่าทำไมคนเราถึงเลือกวันตายเองไม่ได้...
7
เขาก้าวออกมาแสดงตัวต่อหน้าดวงวิญญาณหญิงสาวหล่อนยืนมองซากศพของตัวเองท่ามกลางผู้คนที่หวีดร้องมุงอยู่รอบๆ ร่างไร้ชีวิตของเธอแววตาสิ้นหวังแน่นอนล่ะ...เธอคงไม่ได้เป็นสุขกับการใช้ชีวิตบนโลกมนุษย์เสียเท่าไหร่
หล่อนเห็นเขาแล้ว แต่ไม่ยักเงยมามองหน้า
เขาเอ่ยแนะนำตัวไป ก่อนบอกให้หล่อนตามตัวเองมาตะวันใกล้ลับขอบฟ้า เขาเกรงว่าจะไม่ทันประตูปิด
ร่างวิญญาณของหญิงสาวยอมทำตามแต่โดยดี เงยหน้าเชิดมองตรงเดินตามเขาไปอย่างแน่วแน่และไม่คิดจะหันหลังกลับ
...เจ้าหล่อนถูกบันทึกว่าเป็นผู้ส่งวิญญาณในเขตหนึ่งที่ซึ่งห่างไกลจากเขตของเขา ห่างไกลจากบ้านเกิดหญิงสาว แน่แท้ผู้ส่งวิญญาณไม่สามารถเลือกสถานที่ทำงานให้ตนเองได้เมื่อได้รับการจดทะเบียนว่าเป็นวิญญาณจากการตายประเภทไหนแล้วก็จะถูกส่งไปตามสถานที่ที่ได้จัดไว้
จนกระทั่งชี้แจงเรื่องหน้าที่จนหมดเจ้าหล่อนก็ทำเพียงพยักหน้ารับ ก่อนเดินจากไปตรงไปสู่จุดมุ่งหมายที่ตนเองจำต้องชดใช้
มนุษย์จะคงรูปลักษณ์ในช่วงอายุที่ตนสิ้นอายุขัยไว้ผู้ส่งวิญญาณหมายเลข 41370 จึงปรากฏรูปลักษณ์เป็นเด็กหนุ่มวัยสิบหกปีส่วนหญิงสาวตรงหน้าอยู่ในช่วงอายุ ยี่สิบสองปี
เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอ แม้เจ้าหล่อนจะมีรูปร่างงดงามเพียงแค่แปลกใจที่นานๆ ทีจะเจอคนตายที่มีอายุไล่เลี่ยกัน แม้หล่อนจะตายด้วยวิธีเดียวกันกับที่ตนเองทำแต่ก็ใช่ว่าต้องปฏิบัติตนให้พิเศษมากขึ้น เขาแค่ชี้แจง บอกรายละเอียดส่งมอบหน้าที่ให้เธอ ก่อนที่เธอจะแปรเปลี่ยนไปเป็นผู้ส่งวิญญาณหมายเลข
ในระหว่างที่ผู้ร่วมงานคนใหม่เดินจากไปช้าๆเขาก็ทำได้เพียงแค่มองเธอจากไปเท่านั้น
8
หลังจากนั้น ชีวิตประจำวันของผู้ส่งวิญญาณหมายเลข
ในช่วงแรก เขาใช้ชีวิตตามปกติของผู้ส่งวิญญาณเพียงแต่พอเวลาผ่านไป เด็กหนุ่มสังเกตเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่มายังจุดเกิดเหตุของหญิงสาวผู้คร่าชีวิตตัวเองต่อหน้าเขาคนล่าสุดมันคงจะไม่ใช่เรื่องแปลก หากชายหนุ่มดังกล่าวไม่ได้มาที่นี่ทุกวัน และมาในเวลาเดียวกันกับช่วงเกิดเหตุ
หมายเลข
จากการเฝ้ามองเปลี่ยนเป็นการติดตาม
จนได้รู้มาว่า ชายหนุ่มคนนี้คือคนรักเก่าของหญิงสาวผู้คร่าชีวิตของตัวเองเมื่อครานั้นความรักช่างหอมหวานและเจ็บปวดราวกับกลืนยาพิษทั้งเป็น
เขาทำใจกับการสูญเสียคนรักไม่ได้
ปวดใจเมื่อตนไม่สามารถช่วยเหลือหัวใจตนเองได้
หญิงสาวผู้เป็นที่รักสุดหัวใจกลับต้องตกตายร่างกายแหลกละเอียดพร้อมด้วยข้อความก่อนตายที่ไม่ได้มีส่วนไหนบ่งบอกว่ารักเขาเลยแม้นเพียงนิด
เขารู้ตัว...รู้มาเสมอว่าหล่อนไม่คิดมีใจให้ตนเลย
เขาก็แค่...ช่วงชิงความเปราะบางของเจ้าหล่อนยามสูญเสียคนรักที่แท้จริงจากอุบัติเหตุแทรกตัวเข้ามาชีวิตหล่อน ก่อนสถาปนาให้ตัวเองเป็นคนรักคนใหม่ด้วยหวังว่าตนจะทำให้หญิงสาวกลับมาร่าเริงได้อีกครั้ง
อนิจจา ความรักกลับไม่หอมหวานเมื่อเจ้าหล่อนไม่คิดจะเปิดรับเขาผู้ปรารถนาดีกับเธอเสมอมาเลยสักนิด
เขารู้อยู่เสมอว่าหญิงสาวไร้ความรักมอบให้เขามีแต่คิดคะนึงถึงคนรักเก่า เพียงแต่ไม่เคยคิดว่าหล่อนจะเลือกจบชีวิตเช่นนี้คิดจะจากเขาไปหาคนรักเก่าเช่นนั้นหรือ
ความรักของมนุษย์นั้นช่างซับซ้อน...ผู้ส่งวิญญาณหมายเลย
เพียงแค่สายตาที่ว่างเปล่าของชายหนุ่มผู้ซึ่งสูญเสียความรักคนนี้ช่างดึงดูดเขาเหลือเกิน
ยมทูตตัวน้อยเปลี่ยนกิจกรรมจากการทัวร์รอบโลกยามว่างมาทำตัวเป็นวิญญาณตามติดชายหนุ่มผู้สิ้นหวัง
เขาชักอยากรู้เสียแล้วว่าเรื่องเล่าที่กล่าวขานถึงการสัมผัสมนุษย์ของผู้ส่งวิญญาณจะเป็นจริงไหม...
9
เหตุการณ์เมื่อครานั้นถูกลบเลือนไปจากกาลเวลาชายหนุ่มยังคงมายังพื้นถนนที่ซึ่งรองรับร่างกายแหลกเละของหญิงสาวที่ตนรักทุกวันทั้งยังขึ้นไปยังบนดาดฟ้าที่กลับมาเปิดใหม่อีกครั้งเขานั่งจุดเดียวกับที่หญิงสาวกระโดดลงไป ห้อยขาอยู่บนตึกสูงสูบควันบุหรี่ก่อนพ่นออกมาเป็นควันเจือจาง ลอยไปตามแรงลม
ข้างกายของชายหนุ่มมีร่างของผู้ส่งวิญญาณหมายเลข
จวบจนพลบค่ำ ผู้ส่งวิญญาณต้องทำหน้าที่ของตนผละจากชายหนุ่มผู้น่าสนใจออกไป
แต่เป็นทุกวันที่เขาจะต้องพาตัวเองมาพบกับชายหนุ่มคนนี้ในจุดเดิม ที่ซึ่งเขาจ้องจนเบื่อ หากแต่คนข้างกายกลับไม่คิดเช่นนั้นชายหนุ่มจ้องมองภาพวิวเดิมๆ ท้องฟ้าและอาคารตรงหน้าราวกับเป็นวิวชั้นยอด
เมื่อบุหรี่หมดมวนก็จะหมดหน้าที่ของชายหนุ่ม เขาชันตัวลุกขึ้น เดินจากดาดฟ้าของตึกสูงออกไป ตามด้วยร่างวิญญาณชุดคลุมดำของผู้ส่งวิญญาณหมายเลข
เป็นเช่นนี้ วันแล้ววันเล่า...
10
เด็กหนุ่มกำลังเรียนรู้กับความรู้สึกที่ไม่เคยรู้จัก
เขาคิดว่าผู้ส่งวิญญาณทุกตนต้องไร้ความรู้สึกแน่นอนมันเป็นเช่นนั้นมาตลอดจนได้พบกับเขา เมื่อได้พบกลับเกิดความรู้สึกคันยิบๆตรงกลางหน้าอกอย่างน่ารำคาญใจ
ทว่าหนีไปไหนไม่ได้เด็กหนุ่มไม่สามารถไม่เจอหน้าชายหนุ่มได้ เขาจำต้องมาพบชายหนุ่มคนนี้ทุกวันที่เดิมเพื่อทำให้ความรู้สึกน่ารำคาญใจนี้สงบลง
แต่ยิ่งนานวันเข้าความรู้สึกนี้กลับยิ่งทวีคูณความน่ารำคาญมากกว่าเก่า เมื่อเด็กหนุ่มหนีไปที่ไหนก็ต้องมีใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้นวนเวียนอยู่ในหัวราวกับวิญญาณอาฆาตแค้น วันไหนยอมกลั้นใจไม่ไปหา วันนั้นในอกเขาจะทรมานดั่งไฟเผาสิ่งเดียวที่จะหยุดความรู้สึกได้คือการได้ไปนั่งอยู่ใกล้ๆ ชายหนุ่มผู้นั้นแม้จะมีอาการคันยิบๆ แถวหน้าอกแต่ก็ไม่ได้หนักหนาหากเทียบกับการไม่มาเจอหน้า
ผู้ส่งวิญญาณหมายเลข
แน่แท้ ยมทูตหนุ่มเพียงไม่รู้จักความรัก
11
ความรู้สึกยิ่งเพิ่มมากขึ้นทวีคูณเมื่อได้เข้าใกล้ชายหนุ่มหัวใจที่เต้นอย่างแห้งแล้งมานานกลับส่งเสียงเป็นจังหวะหนักหน่วงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเขาเคยถามวิญญาณยายเฒ่าตนหนึ่งถึงอาการเช่นนี้ หญิงเฒ่าหัวเราะพร้อมกล่าวว่า
เจ้ากำลังมีความรัก
นิยามของความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนทำให้หัวใจเขาตื่นเต้นอย่างบ้าคลั่งกว่าเดิมหญิงเฒ่าสอนถึงอะไรหลายๆ อย่างให้เขาระหว่างที่เดินทางไปยังโลกวิญญาณ ครานี้ผู้ส่งวิญญาณหมายเลข 41370 รู้ตัวแล้วว่าแม้เป็นวิญญาณก็ยังมีความรู้สึกได้
เขาเฝ้าตามติดชายหนุ่มไม่ห่างน่าแปลก พอรู้สึกตัวแล้วกลับอยากเผยความในใจออกไปทว่ายิ่งต้องการให้ชายหนุ่มรับรู้มากแค่ไหนก็ทำไม่ได้ พวกเขาอยู่คนละโลกเสียงของเขาส่งไปยังโลกมนุษย์ไม่ได้ได้เพียงแต่รู้สึกอึดอัดและอัดอั้นอยู่อย่างนั้น
จนทรมาน
เด็กหนุ่มไม่ได้หวังไปมากกว่าได้กล่าวความในใจยมทูตเพิ่งริรักไม่เคยคาดฝันถึงการกระทำอื่น เพียงแต่เขาไม่สามารถทำลายกฎของธรรมชาติได้จึงได้แต่เฝ้ามองชายหนุ่มวันแล้ววันเล่า ชายหนุ่มยังคงรักหญิงสาวอย่างล้นใจ เขายังคงมาที่เดิมเพียงแต่ไม่ใช่ทุกวันเหมือนคราวก่อนแล้วเวลาเริ่มพรากความเศร้าในใจของชายหนุ่มไปทีละนิด
จากทุกวันเปลี่ยนเป็นทุกสองวันจากนั้นก็เริ่มเปลี่ยนเป็นอาทิตย์ละครั้ง จนมาถึงเดือนละครั้ง
ยมทูตตัวจิ๋วยังคงตามติดชายหนุ่มไม่ห่างเพียงแต่เขาเริ่มสังเกตการณ์เปลี่ยนไปของชายหนุ่มเมื่อเวลาผันผ่าน
แม้ความเศร้าคล้ายจะจางแต่ไม่มีวันไหนที่ชายหนุ่มไม่เสียใจกับเหตุการณ์นั้นไม่มีวันไหนที่ชายหนุ่มไม่เคยกล่าวโทษตัวเอง ไม่มีวันไหนที่ชายหนุ่มเลิกรักหญิงสาว
แววตาของร่างเนื้อมีลมหายใจไร้ชีวิตมากขึ้นทุกทีไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน ก็ไม่สามารถลบเลือนความรักนี้ออกไปได้ ทุกการกระทำอยู่ในสายตาของเด็กหนุ่มเสมอ
จนกระทั่งมาถึงเดือนหนึ่งครบรอบวันที่ชายหนุ่มจักต้องมายังจุดเกิดเหตุแม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานแล้วสายตาว่างเปล่าของชายหนุ่มผู้ผิดหวังในรักเหม่อมองออกไปในครั้งนี้ไม่ใช่ท้องฟ้าหรือตึกข้างเคียงเหมือนทุกที
แต่เป็นพื้นถนนเบื้องล่างของตึกสูง
เป็นวันเดียวกันกับที่ความรู้สึกของยมทูตหนุ่มใกล้จะระเบิดออกมา
ผู้ส่งวิญญาณไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ได้ไม่สามารถตัดสินใจแทนใครได้
เพียงแต่...ถ้าตำนานมีจริง...เขาก็อยากพิสูจน์มันเสียตอนนี้
เด็กหนุ่มจ้องมองร่างชายหนุ่มข้างตนที่ยังคงยืนจ้องพื้นถนนแน่นิ่งฝ่ามือขาวขยับเอื้อมออกไป เขาไม่สามารถรู้ความคิดมนุษย์แต่อย่างไรถ้าหากชายหนุ่มยังไม่สามารถตัดสินใจได้แล้วล่ะก็
เขาอยากเป็นผู้ช่วยตัดสินใจ
จนกระทั่งฝ่ามือขาวซีดเอื้อมมือไปสัมผัสแผ่นหลังแกร่งปลายนิ้วทะลุร่างเนื้อตรงหน้าไป หัวใจยมทูตหนุ่มเต้นอย่างบ้าคลั่ง
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ร่างเนื้อของชายหนุ่มทิ้งตัวลงไปยังผืนดินตรงหน้า
ดำดิ่งแหวกอากาศลงไปเรื่อยๆ จนกายกระทบดิน
แหลกสลายดับสิ้นลมหายใจไปในที่สุด...
12
“สวัสดี”
“...”
“อย่างที่เห็น...คุณตายแล้ว และผมมีหน้าที่เป็นผู้นำทางคุณไปยังโลกวิญญาณ”
“อ่า เช่นนั้นหรือ”
ผู้ส่งวิญญาณหมายเลข 41370
เพียงเพราะมีความสุขล้นที่เสียงของเขาสามารถสื่อสารกับอีกฝ่ายได้แล้ว
ยมทูตหนุ่มยื่นมือให้คนตรงหน้า
“จับมือผมสิ”
ไม่มีความจำเป็นใดๆที่ผู้ส่งวิญญาณจะต้องแตะตัวร่างวิญญาณเพื่อการนำไปสู่อีกโลกหนึ่งเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่เขาทำเกินความจำเป็นเพียงเพราะต้องการตอบสนองความรู้สึกของตนเอง
ในเมื่อยามอยู่คนละโลก เราไม่สามารถสัมผัสกันได้ไม่สามารถสื่อสารถึงกันได้ ครานี้เราอยู่ในโลกเดียวกันแล้ว แม้นเพียงครู่เดียวแต่ขอให้เขาสัมผัสถึงความรักที่เกิดขึ้นมานานเพียงสักนิด
ชายหนุ่มยื่นมือส่งมา
ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินจับมือกันท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้า...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in