เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เจ็ดสหายผจญภัยวิ่งไล่แสงเหนือผู้พลาดพลั้งแห่งวันศุกร์
สวัสดี โฮจิมินท์ โดฮา ออสโล ไอซ์แลนด์
  • รู้จักเพจ “อาแปะ” กันใช่ไหมครับ นั่นแหละ... ผมเป็นคนบ้าเที่ยว ส่วนอาแปะเป็นคนบ้าโปร (โมชั่น) หลังจากกดไลท์เพจอาแปะไปได้สักพัก รู้ตัวอีกทีผมก็มี e-mail ticket confirmation เป็นตั๋วเครื่องบินไปกลับ นอร์เวย์, ออสเตรเลีย และโอซาก้า มานอนกองแอ้งแม้งอยู่ใน inbox เป็นที่เรียบร้อยประหนึ่งถูกสะกดจิต ฉะนั้นการวางแผนค่าใช้จ่ายในทริปแรกของปีจึงจำเป็นต้องทำอย่างรัดกุม

    ผมเริ่มต้นการเดินทางด้วยสัจธรรมแห่งชีวิตที่กล่าวเอาไว้ว่า “ตั๋วถูกย่อมแวะหลายที่"
    ฉะนั้นการจะไปให้ถึงไอซ์แลนด์ในราคาที่เป็นมิตรกับสลิปเงินเดือน ผมเลยต้องไปเริ่มต้นที่ โฮจิมินท์ หรืออดีตไซง่อนแห่งเวียดนาม สิ่งที่ขาดคือตั๋วราคาถูกที่จะพาผมร่อนจากไทยไปเวียดนาม ผมนั่งเฝ้าเพจโปรตั๋วเครื่องบินอยู่ทั้งวันทั้งคืน กด Refresh และใช้ความพยายามแหกขี้ตานอนตีสามตีสี่อยู่หลายรอบเพื่อฝ่าฟันเหล่าขุนศึกนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาประลองยุทธในสมรภูมิรบหางแดงแห่งแอร์เอเชีย การจะได้ตั๋วราคาโปรมาครอบครองนั้น นอกจากจะต้องมีวรยุทธแก่กล้าแล้ว ยังต้องพกดวงเฮงๆ มาอีกหลายกระบุง แต่จนแล้วจนรอดผมก็หาตั๋วราคาถูกไปโฮจิมินท์ไม่ได้ สุดท้ายเลยต้องกัดฟันควักบัตรเครดิตรูดตั๋วหางแดงราคาปกติบินตรงสู่โฮจิมินท์


    สัจธรรมแห่งชีวิตข้อที่สอง “ไหนๆ จะต้องเสียเงินแล้ว กูต้องเอาให้คุ้ม!”

    ผมเลือกหางแดงรอบเช้าสุดและร่อนลงเตะรันเวย์ตอนช่วงสายๆ เพื่อจะได้เดินเที่ยวในเมืองโฮจิมินท์จนหน่ำใจก่อนจะกุลีกุจอกลับมาจับเครื่องรอบหัวค่ำ

    หลังจากทุกคนฝากเป้แบ๊คแพ๊คและกระเป๋าเดินทางใบยักษ์เอาไว้ที่สนามบิน ผมก็คว้าเป้ใบเล็กซึ่งบรรจุกล้องคู่ใจกับเลนส์อีกสองตัวสะพายพาดบ่า พาเพื่อนๆ เดินสบายตัวไปขึ้นรถเมล์สาย 152 ที่อยู่ด้านหน้าสนามบิน ผมใช้เงิน 5000 ดองและเวลาอีกครึ่งชั่วโมงในการเข้าตัวเมือง แว่บแรกที่รถเมล์สัญชาติเวียดนามเคลื่อนตัวผมก็สัมผัสถึงจิตวิญญาณแห่งรถเมล์ไทยได้ แม้สกิลคนขับรถจะยังห่างชั้นกับสาย 8 บ้านเราอยู่อีกไกล แต่แอร์อันแสนจะแผ่วเบา รวมทั้งสภาพรถดั่งผ่านสงครามโลกมานั้นละม้ายคล้ายคลึงสมกับเป็นประเทศเพื่อนบ้านกัน

    รถเมล์พาผมและพรรคพวกมาลงที่จุดจอดตรงข้ามกับตลาดเบนถั่น
    ถึงจะมีแค่ถนนกั้นกลาง แต่การข้ามถนนที่โฮจิมินท์นี่ไม่ได้ทำกันง่ายๆ นะครับ

    “รถมอไซค์มันไม่หยุดให้อ่ะ” เพื่อนคนหนึ่งบอก

    ผมสูดหายใจเข้าพยายามทำหน้านิ่งๆ อารมณ์เหมือนตอนเป็นนักศึกษาแพทย์โดนอาจารย์ยิงคำถามแล้วไม่มีใครตอบได้ (แต่บังเอิญอ่านหนังสือมาคนเดียวในกลุ่ม) “อะแฮ่มมม ผมอ่านในพันทิพย์มาเขาบอกว่าข้ามถนนที่นี่ ให้ข้ามไปเลยไม่ต้องกลัว เดี๋ยวมอไซค์เขาขับหลบเอง”


    ว่าแล้วก็เก๊กหน้าหล่อ ก้าวเท้านำคนอื่นสู่ทางม้าลายที่ทอดยาวตรงสู่ตลาดเบนถั่น
    ปี๊นนนนนนนนน ปี๊นนนนน ปื้นนนนนนนนนน!!! เสียงบีบแตรดังระงมสี่แยก

    แว้ก!! พวกมึงจะบีบทำไม๊

    ที่บ้านกูบีบแบบนี้ ถ้ายังดื้อข้ามต่อไปนี่อาจโดนทับแบนแต๊ดแต๋ กลายเป็นข่าวแกล้มกาแฟยามเช้าที่บ้านเกิดเมืองนอน จะถอดใจถอยกลับก็ไม่ได้ เสียฟอร์มระดับแม็กซิมั่ม อุตส่าห์แอ๊คคูลเอาไว้ ...เอาวะในเมื่อทำอะไรไปไม่ได้ก็จงเชื่อมั่นในพันทิพย์!! ถ้าตาย กูจะเป็นผีไปหลอกคนเขียนรีวิวคนก่อนๆ ฮือออออ
    แต่สุดท้ายก็รอดครับ ไม่มีส่วนใดบุบสลาย แขนขายังคงติดอยู่กับลำตัว

    “สุดยอดอ๊าา”
    เพื่อนๆ ก็ต่างส่งเสียงชมเชยแซ่ซ้องสรรเสริญ

    อยากบอกพวกเธอว่า.... ‘กูนึกว่าจะตายหมู่แล้วเห่อะ!’


  • เอาล่ะ ตัดกลับไปตลาดเบนถั่น

    เบนถั่น เป็นตลาดที่คุ้นตามาก ถึงแม้จะไม่เคยเหยียบมาก่อน แว่บแรกที่เห็นเพดานสูงๆ ผมนึกว่าตัวเองโผล่เข้ามาเดินกาดหลวงที่เชียงใหม่ เดินไปสักพักเจอร้านเสื้อผ้ารองเท้าเรียงรายติดกันหลายร้านก็นึกถึงจตุจักร เลี้ยวเข้าตรอกเจอนาฬิกาวางเกลื่อนเต็มตู้โชว์ก็คิดถึงคลองถม ออกมาปุ๊บเจอร้านขายกับข้าว..โอ้วนี่มัน อตก.ชัดๆ

    ฉะนั้นโดยรวมๆ แล้วผมไม่ได้ประทับใจมากมายอะไรกับเบนถั่น แต่ใครจะไปเยือนไซง่อนตลาดนี้มันอยู่ตรงทางลงรถเมล์ แวะไปเดินเล่นหลบแดดร้อนสักครึ่งชั่วโมงก็ไม่เสียหาย


    เดินตลาดเสร็จพวกผมก็เริ่มเหงื่อไหลไคลย้อย เนื่องจากกคาดว่าต้องไปเผชิญอากาศอันหนาวเหน็บของไอซ์แลนด์ทำให้ทุกคนจัดเต็มเสื้อผ้าและอุปกรณ์กันหนาวกันมาเต็มอัตราศึก โดยลืมไปว่า โฮจิมินท์มันร้อน!

    อาจจะไม่เผาไหม้เท่ากรุงเทพ แต่มันก็ร้อน จากตอนแรกจะกินเฝอ ทุกคนเปลี่ยนใจเลี้ยวเข้าร้านไอติมซอฟครีมทันที ตอนแรกเขาให้กดไอติมมาก่อน แล้วก็ไปเลือกท้อปปิ้งอีกตู้นึง ไอ้เราก็งงว่าทำไมท้อปปิ้งมันไม่แปะราคาไว้ หรือว่าจะฟรี!!! แหม่ โป่ะเข้าไปเต็มสิครับ (ในรูปนี่คือกินท้อปปิ้งไปเกือบหมดแล้ว) พอเดินมาจ่ายเงิน พนักงานจับถ้วยไว้วางบนตราชั่งน้ำหนัก “5 หมื่นดองค่ะ” ส่วนของเพื่อนคนละสองหมื่นกว่าดอง น้ำตาจะไหล

    ครึ่งชั่วโมงผ่านไป หลังจากใช้ WIFI และแอร์ในร้านจนคุ้ม ผมก็พาเพื่อนออกมาเดินเล่นชมตึกรามบ้านช่อง อาคารบางหลังเหมือนยกมาจากที่ยุโรปเลย คงเป็นเพราะโฮจิมินท์เคยตกอยู่ใต้การปกครองของฝรั่งเศสมาก่อน

    ที่แรกที่เราเตร็ดเตร่ไปเจอก็คือ ไซง่อนโอเปร่าเฮ้าส์ ซึ่งมีสถาปนิกผู้ออกแบบเป็นชาวฝรั่งเศส และมีรูปร่างคล้ายกับ Opéra Garnier ในกรุงปารีส (ที่พิมพ์มานี่... ผมก็ยังไม่เคยไปนะครับ ฮาา)


    เดินเรื่อยๆ ต่อมาก็เจอ Ho Chi Minh city hall

    เป้าหมายถัดไปผมก่ะว่าจะพาเพื่อนๆ ไปหลบแดดใต้ร่มเงาต้นไม้ที่จตุรัสกลางเมือง เพื่อสักการะอนุสาวรีย์ลุงโฮจิมินท์ แต่ดันปิดซ่อมเสียได้ ไอ้เราก็พาเพื่อนเดินพาเหรดหาจตุรัสอยู่ตั้งนาน... เอ๋~ มันก็น่าจะอยู่ตรงนี้นี่หว่า เปิด ipad จิ้มดูแผนที่เกาหัวแกรกๆ อยู่ร่วมสิบนาที เพื่อนที่เริ่มลิ้นห้อยก็พากันส่งสายตาอาฆาตจนผมต้องรีบพาเพื่อนแว๊บไปหาอะไรกระแทกปากที่ร้านเฝอ 2000 พออาหารเข้าปากบวกกับได้แอร์เย็นๆ ทุกคนก็ดูจะอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด (ถึงแม้รสชาติจะไม่ถูกปากสักเท่าไหร่) 


    หลังจากนั้นผมชวนเพื่อนก้าวเท้าเดินต่อไปที่ War Remnants Museum แปลตรงๆ ตัวคือพิพิธภัณฑ์เศษซากที่เหลืออยู่ของสงครามเวียดนาม สำหรับคนที่ยังไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับสงครามครั้งนี้ ผมจะพยายามเล่าเท่าที่ทราบนะครับ

    "
    สมัยที่เวียดนามตกอยู่ในการปกครองของฝรั่งเศส ประชาชนเวียดนามก็โดนกดขี่ เอารัดเอาเปรียบกันตามระเบียบ ชาวเวียดนามคนหนึ่งชื่อลุงโฮจิมินท์ก็ก่อตั้งกองกำลังทหารนามว่าเวียดมินท์ขึ้นมาต่อสู้กับฝรั่งเศส เรื่องมันไม่จบง่ายๆ เพราะตอนนั้นโลกกำลังตกอยู่ในสงครามเย็น โดยมีสองขั้วอำนาจนั่นคือ ฝั่งประชาธิปไตย และฝั่งคอมมิวนิสต์ คราวนี้ลุงโฮแกอยู่ฝั่งคอมมิวนิสต์ อเมริกาเองก็กลัว เขามีทฤษฎีว่าหากประเทศใดกลายสภาพเป็นคอมมิวนิสต์ ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคก็จะเปลี่ยนตามเป็นโดมิโน่ คราวนี้ถ้าเอเชียทั้งหมดเปลี่ยนเป็นคอมมิวนิสต์ อเมริกาต้องถึงคราวซวยเป็นแน่แท้ ภาพของกองทัพนาซีเยอรมันที่ขยายอาณาเขตไปทั่วยุโรปยังคงติดตรึงอยู่ในใจ

        ฉะนั้นอเมริกาเลยให้ความช่วยเหลือฝรั่งเศสต่อสู้ สุดท้ายจบลงที่แยกประเทศเป็นเวียดนามเหนือซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์ และเวียดนามใต้ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของฝรั่งเศสและอเมริกา

         ต่อมาไม่กี่ปีอเมริกาอ้างว่าเรือของเวียดนามยิงขีปนาวุธใส่เรือของพี่มะกันที่กำลังลาดตระเวณอยู่ในอ่าวทองคิน (บางคนออกมาบอกว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นจริงหรอก) แต่ไม่ว่าจะเป็นข้ออ้าง หรือเรื่องจริงเหตุการณ์นี้ก็ทำให้คุณพี่มะกันเปิดฉากสงครามเวียดนามอย่างเต็มเหนี่ยว

         ในพิพิธภัณฑ์เราจะได้เห็นความโหดร้ายทารุณของสงคราม อาวุธเคมีชื่อดังอย่างเช่น Agent Orange หรือฝนเหลือง ที่เป็นยาฆ่าแมลงซึ่งปนเปื้อนกับสารพิษ ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพ และยังก่อให้เกิดความพิกลพิการของทารกในครรถ์ มีการใช้ระเบิดนาปาล์มที่ลุกไหม้เป็นไฟปลดปล่อยความร้อนนับพันองศาเผาคร่าชีวิตชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ รวมถึงมีการสังหารหมู่อย่างเลือดเย็นเกิดขึ้นหลายครั้ง

        ผมเห็นชาวอเมริกันหลายคนยืนทึ่งอยู่กับรูปและเรื่องราวโหดร้ายที่รัฐบาลในอดีตของพวกเขาเป็นผู้จุดชนวน และได้ยืนเสียงพึมพำว่า oh my god ดังขึ้นหลายรอบ

    แรกเริ่มอเมริกาเองคิดว่านี่เป็นสงครามที่ชิวๆ น่าเอาชนะได้ในเวลาอันสั้น เพราะมั่นใจในแสนยานุภาพและเทคโนโลยีทางทหารของตัวเอง แต่เอาเข้าจริงทหารอเมริกันกลับต้องสู้รบอย่างยากลำบาก เพราะกองกำลังแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติเวียดนามใต้ หรือเวียดกง ใช้ความคุ้นเคยพื้นที่ซึ่งเป็นป่าดิบชื้นซ่อนตัว และทำการรบแบบกองโจรมากกว่าจะใช้กำลังทางทหารเข้าต่อสู้กันแบบปกติ แถมยังขุดเครือข่ายอุโมงค์ขนาดใหญ่เอาไว้หลบซ่อนตัว, ส่งเสบียง ถึงขนาดมีโรงพยาบาลอยู่ในอุโมงค์กันเลยทีเดียว อุโมงค์กู๋จี (Cu Chi tunnel) เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายซึ่งรัฐบาลเวียดนามได้อนุรักษ์และเปิดให้เยี่ยมชมได้ หากใครมีเวลามากกว่าหนึ่งวันที่โฮจิมินท์ ผมแนะนำให้ลองไปเที่ยวดูครับ

    เวลาผ่านไป สงครามยืดเยื้อกว่าที่คิด และชาวอเมริกันเองก็สูญเสียจากการโจมตีของเวียดกงไปไม่น้อย ประชาชนเริ่มรวมกลุ่มประท้วงและเรียกร้องให้ยุติสงคราม ตามมาด้วยการกดดันจากสื่อโทรศัพท์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ และสุดท้ายรัฐบาลก็เริ่มถอนกำลังทหารออกจากเวียดนามใต้ โดยคาดการณ์ว่ามีทหารอเมริกันเสียชีวิต 58,000 คน และจำนวนชาวเวียดนามผู้เสียชีวิตสูงถึง 1-3 ล้านคน

    อเมริกาถอนกำลังทหารไปเวียดนามเหนือก็บุกยึดเวียดนามใต้และรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จ"

    . . .

    ผมไม่ได้ถ่ายภาพที่อยู่ใน Museum นี้เลย เดินดูแล้วรู้สึกหดหู่เอามากๆ คิดว่าเดี๋ยวจะไปขอรูปเพื่อนคนอื่นมาทำรีวิว แต่ทุกคนก็ดันรู้สึกเหมือนกัน เลยไม่มีใครถ่ายรูปมาเลยสักคน



  • พอออกมาจาก War remnants museum ดวงอาทิตย์ก็เริ่มคล้อยตัวหลบไปอยู่ข้างหลังตึกสูง พวกเราเลยขึ้นรถเมล์กลับไปที่สนามบิน และบอกลาโฮจิมินท์ เพื่อเดินทางไปแวะพักที่โดฮา ด้วยสายการบิน Qatar airline ทุกอย่างดูดี ที่นั่งกว้างพอที่จะยืดขานอนได้แม้จะเป็นชั้นประหยัด ถึงแม้จอสกรีนข้างหน้าจะอัดแน่นมาด้วยหนังเป็นสิบเรื่องแต่เครื่องยังไม่ทันเทคออฟพวกผมก็หลับคอพับคออ่อนกันด้วยความเพลีย จะตื่นก็ตอนแอร์โฮสเตสหน้าคมเดินมาถามว่าจะเอาเนื้อหรือไก่ และด้วยความเคารพ... ถ้าใครกินเนื้อได้เลือกเนื้อเถอะครับ

    หลังจากหลับๆ ตื่นๆ มาโดยตลอดเนื่องจากคุณลูกของผู้โดยสารท่านอื่น ส่งเสียงร้องไห้ตลอดเวลา บางทีร้องเดี่ยว บางทีร้องคู่ ประสานเสียงกันดังลั่นสนั่นเคบิน แอร์โฮสเตสพยายามสุดความสามารถในการกล่อมให้นอนแต่เจ้าหนูก็ยังคงร้องเสียงดีไม่มีตก ผมเอา Ear plug อุดหู นอนบิดซ้ายบิดขวา รู้ตัวอีกทีกัปตันก็ประกาศว่ากำลังจะถึงโดฮา ประเทศกาต้าร์


    ผมไม่เคยได้ยินชื่อ สนามบินฮามาดมาก่อนเลย เอาจริงๆ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าประเทศกาต้าร์นี่มันอยู่ตรงไหนของแผนที่โลก ตอนแรกไม่กล้าบอกแม่ด้วยซ้ำว่าจะต้องมาแวะเมืองชื่อแปลกแบบนี้ แต่พอเดินเข้ามาข้างในผมถึงกับตะลึง สนามบินดูใหม่ โอ่โถง และทุกอย่างดูสะอาด การตกแต่งก็คุมให้อยู่ในโทนเดียวกัน

    ผมชอบและก็ภูมิใจในสุวรรณภูมิบ้านเรานะครับ (ถึงจะรู้ว่ามีข้อเสียอยู่บ้าง) แต่ถ้าเทียบกับฮามาดแล้ว คงยอมรับว่าสุวรรณภูมิแพ้กระจุย ที่ไม่ชอบอย่างเดียวคือเจ้าหมียักษ์สีเหลืองหน้าโหดซึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลาง Duty free ผมไม่รู้ว่านี่มันเป็นหมีที่น่ารักในแบบฉบับของตะวันออกกลางหรือเปล่า แต่สำหรับผมแล้วนี่มันน่าสะพรึงมาก ผมว่าคนไทยเราแพ้ทางความคาวาอี้ในแบบฉบับของชาวญี่ปุ่นมากกว่า ลองจินตนาการเปลี่ยนหมีตัวนี้เป็นริลัคคุมะหรือตัวคุมะมงเอานะ


    จุดที่ผมชอบที่สุดในสนามบินฮามาดคือ Quiet Area ให้เราได้เข้าไปเอนหลังงีบหลับฟรีๆ นับเป็นสิ่งดีงามที่อยากให้สุวรรณภูมิมี ผมคิดว่าอาจจะมีบริการแนวเดียวกันนี้ที่สนามบินอื่นแต่นี่เป็นที่แรกที่ผมเจอ พวกเรานัดเจอกันในอีกหนึ่งชั่วโมงแล้วสองหนุ่มกับสี่สาวก็แยกย้ายไปพักใน Quiet Area ก่อนจะเดินขึ้นเครื่องบินเพื่อบินสู่ออสโล ประเทศนอร์เวย์

    คราวนี้ระหว่างทางพวกเราหลับสนิทครับ คงเพราะเพลียกันมาทั้งวัน พอถึงสนามบินออสโล การ์เดอร์มอนก็เริ่มเดินสำรวจหากาแฟและอาหารเช้าลงท้อง ผมเลี่ยง Starbuck เพราะคิดว่าราคาคงจะแพงน่าดู แต่หลังจะเดินจนรอบปรากฎว่า Set อาหารเช้าที่มีครัวซองกับกาแฟของ Starbuck ดูจะเข้าท่าที่สุด

    กิจกรรมต่อมาคือการเดินเล่นยืดเส้นยืดสาย อัพสเตตัสเฟซบุ๊ค โทรบอกที่บ้านว่ายังอยู่ดี เสียวไส้จะโดนรถชนไปหลายครั้งตอนอยู่โฮจิมินท์แต่ก็รอดชีวิตมาได้ พวกเราก็ต่อเครื่องรอบที่ 4 ซึ่งเป็นรอบสุดท้าย ด้วยสายการบิน ไอซ์แลนด์แอร์ บินตรงสู่ Keflavik Internation Airport เพื่อเริ่มต้นการผจญภัยค้นหาไอ้เจ้าแสงประหลาดแสนสวย ต้นเหตุของการเดินทางมาครึ่งโลกในครั้งนี้



    . . .

    พบกันใหม่ในตอนต่อไปนะครับ
    つづく
    ผู้พลาดพลั้งแห่งวันศุกร์

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in