เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เจ็ดสหายผจญภัยวิ่งไล่แสงเหนือผู้พลาดพลั้งแห่งวันศุกร์
เฉียดตายในพายุหิมะ ภายใต้แสงเหนือที่มองไม่เห็น

  • อ้าวงง!!! เฮ้ย ฟูจิซังมาได้ยังไง

    ...ขอเล่าแป๊บบ


    ปีที่แล้วผมไปเที่ยวญี่ปุ่นช่วงกุมภาพันธ์มา เนื่องจากตั้งแต่ลืมตาดูโลกมายังไม่เคยเห็นหิมะมาก่อน การไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งนั้นผมเลยตั้งใจจัดทริปตะลุยหิมะ ทาคายาม่า ชิราคาวาโกะ บินต่อไปที่ ฮาโกะดาเตะ งานเทศกาลน้ำแข็งที่ซัปโปโร และโอตารุ แน่นอนว่าไปช่วงกลางหน้าหนาวแบบนั้น หิมะหนำใจมาก

    ช่วงท้ายของทริปผมนั่งรถไฟไปเที่ยวแถวทะเลสาปคาวากูชิโก่ะ มาถึงปุ๊บผมก็เดินไปซื้อตั๋วรสบัสนำเที่ยว มีคุณป้าหน้าญี่ปุ๊นญี่ปุ่นใส่แว่นเป็นพนักงาน

    “สวัสดีครับ ผมขอซื้อตั๋วรสบัส 2 ใบครับ”
    “ห๊ะ!?” คุณป้าทำหน้าตกใจ
    “อะโน~~ เอ่อ ตั๋วรสบัส 2 ใบครับ” พร้อมชู 2 นิ้ว และส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้

    คุณป้าชี้ออกไปข้างนอก ผมหันกลับไป ...ป้าชี้อะไรของแกวะ
    “ซะโนวว โน่ะ บัสซึ" ป้าบอก


    ผมต่อรองกับคุณป้าอยู่นาน ช่วงแรกผมก็ไม่เข้าใจหรอกครับ อ้าวทำไมล่ะหิมะที่ซัปโปโรก็ตกหนักทำไมพอมาแถวนี้ตกก็ไม่หนักมากทำไมถึงขั้นรถจะไม่วิ่งเลยเหรอ

    ด้วยความดื้อ (โคตรๆ) ของข้าพเจ้า... โอเค ป้าไม่ขาย ผมก็ไม่ง้อป้าหรอก!!!

    นั่งรถบัสธรรมดาไปเที่ยวเองก็ได้ งอนป้าแล้ว ผมโบกรถบัสไปจอดที่ Music forest museum เจอนักท่องเที่ยวอยู่ไม่ถึงสิบคน! พนักงานที่ยืนถือร่มกวาดพื้นยังเยอะกว่าแขกเสียอีก ครึ่งชั่วโมงผ่านไปพนักงานเดินมาแจ้งว่ารถบัสทุกสายหยุดให้บริการเพราะหิมะตกหนักมาก และเขาจะเรียกแท๊กซี่ไปส่งนักเที่ยวที่โรงแรมของตัวเอง ผมคอตกและจำใจเดินขึ้นแท๊กซี่อย่างว่าง่าย ระหว่างอยู่บนรถคุณลุงคนขับก็บ่นพึมพำเป็นภาษาญี่ปุ่นตลอดเวลา ผมเดาเอาว่าน่าจะบ่นเรื่องหิมะ หลังจากจ่ายเงินเกือบพันบาท (แพง สมคำร่ำลือ) ผมก็วิ่งเข้าไปสอบถามสถานการณ์จากเจ้าหน้าที่ของเรียวกังที่พอจะพูดภาษาอังกฤษได้

    เขาบอกผมว่าหิมะตกหนักมาก เคลียร์ถนนไม่ได้ ตอนนี้ไม่สามารถเดินทางเข้าและออกจากบริเวณทะเลสาป และพวกเราก็ถูกตัดขาดจากภายนอก เขาเองก็ไม่รู้ว่าทุกอย่างจะกลับสู่ภาวะปกติเมื่อไหร่

    พอได้ฟังคำตอบผมก็อึ้งไป ถามคุณพี่เขาต่อไปว่า นี่มันเป็นปกติของแถบนี้ไหม
    อีกฝ่ายส่ายหัว “No!! this is UNUSUAL” เขาบอกว่า ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นหิมะแถวนี้ตกหนักแบบนี้มาก่อนเลย

    นั่นแหละครับผมถึงเข้าใจว่าตอนนี้ผมแปลงร่างจากนักท่องเที่ยว เป็นผู้ประสบภัยพายุหิมะอย่างเต็มตัว ผมโทรเลื่อนตั๋วเครื่องบินไปสามรอบ แถมต้องลางานเพิ่มอีกหลายวัน ผมติดอยู่ข้างในทะเลสาปคาวากูชิโกะอยู่ 3 วันเต็มๆ บางคนไปญี่ปุ่นอากาศไม่ดีฟูจิซังไม่ยอมปรากฎตัวให้เห็น แต่ผมนี่นอนมองทั้งวันทั้งคืน จะไปไหนก็ไปไม่ได้ สุดท้ายผมเอาตัวรอดด้วยการตัดสินใจไปขอเกาะรถทัวร์กรุ๊ปพี่คนไทยฝ่าฟันหิมะออกมาได้ด้วยเวลาเกือบ 10 ชั่วโมง

    หลังจากกระเสือกกระสนพาตัวเองกลับไทยมาได้โดยสวัสดิภาพ ข่าวความซวยของผมก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาในหมู่เพื่อนฝูง ขนาดอาจารย์ในที่ทำงานยังเดินมาถามเลยว่าติดหิมะเป็นยังไงบ้าง ด้วยความที่ผมมักจะเป็นคนดวงเยิน เวลาเข้าเวร คนไข้ก็มักจะทะลักมาเยอะผิดปกติ (ซึ่งผมว่าไม่จริงหรอก คิดไปเองกันทั้งนั้น) พอเจอเรื่องติดหิมะเข้าไปอีก เพื่อนบางคนเลยอัพเกรดผมให้เป็นตัวซวยระดับนานาชาติ ไปประเทศไหน มีอันได้เรื่อง


    ก่อนจะมาไอซ์แลนด์ก็มีข่าวภูเขาไฟระเบิด ตอนที่เห็นข่าวซึ่งแชร์ต่อกันทาง social network โทรศัพท์ผมแทบพัง เปิดข้อความอ่านก็มีแต่ ‘แกใช่ไหม!!!’ ‘แน่ๆ!’ ‘เอ็งนี่แหละตัวการ’ ‘สรุปว่ายังไปได้ไหม’ ‘ทริปจะล่มป่ะ’ ... เออเอาเข้าไป

    ช่วงสามวันก่อนเดินทางจริง ผมเปิดเวปเช็คพยากรณ์อากาศทุกวัน ปรากฎว่าฟ้าใส แดดดีเป็นส่วนใหญ่แต่พอเครื่องบินแตะรันเวย์ปุ๊บ หิมะก็เริ่มตกทันที!!

    เฮ้ยยยย… ไม่ต้องหันมามองตาเขียวใส่เลยนะ


  • เข้าเรื่องกันดีกว่าครับ

    พอรับกระเป๋าเสร็จ ทุกคนก็เดินไปพบกับ แอนดี้ สมาชิกคนสุดท้ายซึ่งบินมาจากฟิลาเดียเฟีย เฮียแกไปเรียนต่อที่อเมริกาแต่แอบเนียน (เอ๊ย.. ปลีกเวลา) มาเที่ยวด้วยกัน ความรู้สึกตอนนี้มันเหมือนกำลังเล่นเกม RPG รวบรวมสมาชิกผู้กล้าครบแล้ว อุปสรรคขวากหนามก็มาพร้อม และเรามีบอสใหญ่เป็นแสงเหนือ ที่ยังขาดคือพาหนะ


    ผมกับแอนดี้จัดการจองรถมาล่วงหน้าหลายเดือน (ได้ส่วนลดหลายยูโร) ตอนแรกผมก่ะว่าจะเช่า Camper Van ขับไปเรื่อยค่ำไหนนอนนั่นเหมือนคนอื่น แต่ทั้งกลุ่มมี 7 คนบวกกระเป๋ายักษ์อีกหลายใบ ถ้าจะเช่า Camper Van ก็ต้อง 2 คัน ค่าน้ำมัน (อันแพงบรรลัย) ก็ต้องคูณสอง แถมสาวๆ ปวดท้องอยากห้องน้ำก็จะลำบาก ไม่เหมือนชายหนุ่มที่วิ่งไปยิงกระต่ายโป้งๆ ข้างทางได้หากสถานการณ์ฉุกเฉินจริงๆ พอคิดจะเปลี่ยนไปเช่ารถบ้านก็ดันไม่มีใครขับเกียร์กระปุกเป็นอีก

    ผมเลยลองเข้าไปเช็คราคา​ Hostel กับ Guesthouse ในไอซ์แลนด์ ปรากฎว่าราคาไม่ได้แพงเว่อร์อย่างที่คิด แต่อาจต้องจองล่วงหน้านานหน่อย นอกจากนี้ไอซ์แลนด์ยังมี Sleeping bag Accommodation ความหมายคือที่พักธรรมดาเนี่ยแหละ แต่เขาจะลดราคาให้หากเราเอาถุงนอนไปเอง (มีเตียงมีหมอนให้ แต่บางที่ไม่มีผ้าเช็ดตัว) ที่ถูกลงเพราะเขาลดต้นทุนในการซักพวกผ้าปูที่นอนกับปลอกหมอน โดยเฉลี่ยแล้วในไอซ์แลนด์ค่าที่พักจะตก 1000-1500 บาทต่อคนต่อคืน ฉะนั้นพวกเราเลยตกลงว่าจะเช่ารถมินิแวนสักคัน ส่วนกลางคืนก็นอนโฮสเทลเอา

    ระหว่างที่เพื่อนคนอื่นไปแลกเงินยูโรเป็น Iceland Krona ผมกับแอนดี้รับอาสาไปเอารถขับวนมารับ ในเวปไซต์บริษัทเช่ารถเขียนเข้าไว้ว่า “Few minutes walk from terminal” แต่พอก้าวเท้าผ่านประตูออกไปข้างนอกลมหนาวยะเยือกก็กรูกันเข้ามาปะทะร่าง

    “ร้านมันอยู่ไหนอ่ะพี่”

    ผมมองตามนิ้วชี้แอนดี้ ผ่านทุ่งน้ำแข็งสูงท่วมเข่า ไปยังตึกที่มีป้ายสีส้มซึ่งอยู่ไกลลิบๆ


    ... Few minutes บ้านเอ็งสิ!

    “แค่ไม่กี่นาที” ผ่านไป ผมกับแอนก็ยืนลิ้นห้อยอยู่หน้ารถตู้ฮุนได สตาร์เรกซ์ ที่ได้รับการอัพเกรดฟรีๆ จากพนักงาน ซึ่งนับว่าโชคดีมากเพราะหันไปดูขนาดรถ Chrysler Town and Country มินิแวนที่จองไว้ ดูยังไงก็ไม่น่ายัดมนุษย์ 7 คนกับกระเป๋าทั้งหมดเข้าไปพอ

    ตอนแรกผมก่ะจะให้แอนดี้เป็นคนขับรถหลัก เพราะคิดว่าไปอยู่อเมริกามาน่าจะชินพวงมาลัยซ้ายมากกว่าคนอื่น แต่อาเฮียสารภาพระหว่างทางขับกลับไปรับสมาชิกคนอื่นที่สนามบินว่า “พี่ก็ไม่เคยขับรถที่นู่นเหมือนกัน” สรุปว่าทุกคนมีสกิลเท่าเทียมกัน ผมเองซ้อมขับพวงมาลัยซ้ายมาจากในเกมส์ Grand Theft Auto ภาค V มาเหมือนกันนะครับ แต่กลัวบอกไปเพื่อนจะไม่ยอมให้ผมขับ ผมเลยเก็บเงียบเอาไว้


    โอเค!

    ขึ้นรถพร้อมกันแล้วทุกคน ณ ตอนนี้ก็บ่ายสี่โมงเย็นแล้ว เป้าหมายแรกของวันนี้คือบ่อน้ำร้อน Blue lagoon อันโด่งดัง


    ตอนแรกผมตัดสินใจว่าจะรวม Blue Lagoon เข้ามาในแผนเที่ยว เพราะอ่านจากหนังสือ และตามอินเทอร์เน็ต จะเจอจั่วหัวที่กล่าวหาว่า 'Blue Lagoon is TOURIST TRAP’ เยอะมาก แต่หลังจากดูรูป บวกกับสอบถามจากเพื่อนที่ไปมา ผมก็ตัดสินใจว่าชีวิตนี้ขอไปสักครั้งเหอะวะ แพงก็ยอม จะมีคนตราหน้าว่าถูกหลอกก็ยอม

    ซึ่งนั่นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมาก อันนี้พูดเลย!
    ขับรถจาก Keflavik Internation airport เพียงครึ่งชั่วโมงเราก็มาจอดหน้าทางเข้า Blue lagoon เดินเข้าไปอีกนิดนึงก็ถึง Reception ที่ซึ่งเราต้องเลือก Package ว่าจะเอาราคาเท่าไหร่ และแน่นอนว่าร่ำรวยกันขนาดนี้ พวกเราเลือกเอาอันที่ถูกสุด แบบ Standard ราคา 35 Euro (ประมาณ 1300 บาท) ไม่มีอะไรให้เลย ชุดว่ายน้ำกับผ้าขนหนูต้องเตรียมมาเอง ผมได้บอกทุกคนไว้ล่วงหน้าแล้วว่าให้เตรียมชุดว่ายน้ำมาด้วย ตอนจัดกระเป๋ายังโดนแม่ด่าอยู่เลยว่าจะไปลุยหิมะแล้วแกจะเอากางเกงว่ายน้ำไปทำไม (ฮึ แม่ไม่เข้าใจหรอก!)

    Package แพงๆ อย่างอื่นเขาจะแถมผ้าขนหนู ร้องเท้าแตะ เครื่องดื่ม สกินแคร์ชุดเล็กๆ มาให้ ซึ่งราคาก็กระโดดเป็น 50, 65 จนถึง 165 Euro กันเลยทีเดียว พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงบอกว่ามันเป็น Tourist Trap แต่หลอกกรูไม่ได้หรอก! กรูจน!!

    จ่ายเงินเสร็จ ทุกคนจะได้สายรัดข้อมือซึ่งมีแถบแม่เหล็กเอาไว้เข้าประตูและสำหรับใช้ล๊อคเกอร์ ก่อนจะเข้าไปในบริเวณแช่ตัว แขกทุกคนต้องอาบน้ำก่อน และต้องอาบแบบแก้ผ้าหมด จะมาเหนียมอายใส่กางเกงว่ายน้ำอาบไม่ได้ เขาถือว่าไม่สะอาด โชคดีหน่อยที่ยังพอมีห้องแยกสำหรับชาวเอเชียผู้ขี้อายอย่างเราๆ แต่เนื่องจากห้องมันมีน้อย ผมเลยยึดหลักเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เดินหามุมสงบแก้ผ้าอาบมันซะเลยเร็วดี ขี้เกียจต่อคิว ข้างๆ ผมเป็นคุณพ่อที่พาลูกชายวัยกำลังซนสองคนมาอาบน้ำ ไอ้คนพี่ก็โคตรแสบดีดกระจู๋น้องแล้ววิ่งหนีไปทั่วห้องอาบน้ำจนหกล้มน้ำตาเล็ดโดนพ่อดุเสียงดัง

    ช่วงระยะทางระหว่างเปิดประตูจนเอาตัวไปแช่ในน้ำนี่วัดใจมาก กางเกงว่ายน้ำตัวเดียว ต่อสู้กับอุณหภูมิ -6 องศาที่ด้านนอก ผมใส่ตีนหมาวิ่งพรวดลงน้ำไปด้วยความเร็วแสง

    แต่พอตัวลงไปอยู่ในน้ำแล้วมันฟินนนนนมากครับ
    หลังจากขึ้นเครื่องบินมา 4 ต่อ ไม่ได้อาบน้ำมาเกิน 24 ชั่วโมง การแช่น้ำอุ่นนี่มันสบายตัวสบายขาจริงๆ วิวก็กำลังดี หิมะพรมมาเบาๆ ฟ้าสีน้ำเงินเข้ม ส่วนน้ำที่แช่อยู่สีฟ้าอ่อน ไกลออกไปเห็นภูเขาอยู่หลายลูก แถมนักท่องเที่ยวบางตากว่าที่คิดไว้มาก ฟินครับฟินนนน ข้างบ่อที่แช่จะมีจุดให้เราตักโคลนซิลิกาสีขาวมาพอกหน้าได้ฟรี ตอนแรกตกใจนึกว่าดินสอพอง (ดีนะที่อ่านรีวิวมาก่อน) ผมแนะนำให้โป่ะอย่างเดียว อย่าไปขัดถูที่หน้านะครับ ผมลองแล้ว ผลปรากฎว่าหน้าทั้งแสบทั้งแดง

    อุณหภูมิของน้ำที่นี่จะไม่ร้อนเท่าออนเซ็นที่ญี่ปุ่น นอนแช่ครบชั่วโมงได้สบาย ที่ญี่ปุ่นนี่อย่างเก่งสิบนาทีก็ต้องลุกออกมาตั้งหลักแล้ว ไข่จะสุกเอา บรรยากาศของบ่อน้ำร้อนที่นี่ก็ดูสบายกว่า ใส่ชุดว่ายน้ำมาลงเล่นน้ำกัน สาวๆฝรั่งจะลงน้ำทีก็วิ่งส่งเสียงกรี๊ดดังลั่น (เพราะมันหนาวมากๆ) ที่ญี่ปุ่นจะแช่ก็ keep look นิดนึง กระโตกกระตาก ครึกครืนมากไม่ค่อยจะได้ เกรงใจคนญี่ปุ่นที่เขาแช่กันเงียบๆ ดูมีสกุลรุนชาติ

  • พอฟ้ามืดเราก็เดินตัวเบาออกจาก Blue Lagoon แล้วขับรถเข้า Rekjavik ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ที่พักของเราอยู่ไม่ไกลจากถนน Laugavegur ซึ่งเป็นถนนช้อปปิ้งเส้นหลักของเมือง ...ตอนไปถึงเป็นเวลาสองทุ่มครึ่ง แต่ร้านอาหารปิดกันเกือบหมดแล้ว

    ผมงัดแผนสำรองมาใช้ด้วยการพาเพื่อนไปกิน Hotdog ที่ได้ชื่อว่าอร่อยที่สุดของเมือง “Baejarins Beztu Pylsur” (Baejarins = เมือง, Beztu = ที่สุด, Pylsur = Hotdog) หนังสือพิมพ์ The Guardian เถียงด้วยการบอกว่านี่มันอร่อยที่สุดในยุโรป! แต่บางคนว่าอร่อยที่สุดในโลก!!! อร่อยขนาดบิล คลันตัน อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐยังต้องแวะมากิน โห.. อวยกันขนาดนี้ ไอ้เราก็นึกว่าร้านจะใหญ่โต หิวจนกระเพาะจะทะลุ เปิดแผนที่ขับวนหาอยู่ 3-4 รอบ ปรากฎว่าร้านเป็นแผงเล็กมาก มีโต๊ะที่พอกพูนไปด้วยหิมะตั้งอยู่ 1 โต๊ะ แต่ท่าทางของเขาจะอร่อยจริง เพราะขนาดหิมะตก ยังมีคนทนอากาศหนาวเหน็บยืนต่อแถวรออยู่เต็มหน้าร้าน


    ด้วยความหิวโหย พอถึงคิวปุ๊บ ผมสั่งทันที “เอา hot dog 14 อันคับ”
    คนขายตกใจ “ลื้อจะเอากี่อันนะ?”
    “สิบสี่อัน!!!”
    พนักงานยังคงหน้างง จนผมต้องยืนยันความหิวของตัวเอง “เยสสส ไอ ว้อน โฟร์ ทีน ฮ๊อต ดอก พรีสสสสสสส”

    คุณน้องฮิปสเตอร์หน้าหนวดทำหน้าสะพรึงก่อนจะเร่งมือผลิต Pylsur จำนวน 14 อันตามคำขอ ผมรับของตัวเองมาปุ๊บกัดกร่วมๆ แป๊บเดียวหมด ยืนรออันที่สองต่อเลย อร่อยดี กัดเข้าไปเจอไส้กรอกแน่นๆ มีหอมทอดเพิ่ม texture ความกรุบ แล้วซอสที่คล้ายกับมายองเนสบวกกับรสเผ็ดนิดๆ จากมัสตาร์ดก็เข้ากันดี อิ่มท้องในราคา 800 Ikr

    กลับมาถึงที่พัก คืนนั้นผมเปลี่ยนชุดนอนกระโดดขึ้นเตียง หัวถึงหมอนปุ๊บหลับเป็นตาย

  • ผมตื่นมาอีกทีตอนเจ็ดโมงเพราะนาฬิกาปลุก พออาบน้ำเสร็จก็เดินออกมาเจอแซนวิซแฮมที่ดูไฮโซมาก น้ำตาจะไหล การมีสาวแม่บ้านแม่เรือนมาร่วมทริปนี่มันดีอย่างงี้นี่เอง

    พอจัดการข้าวเช้าเสร็จ พวกเราก็แพ๊คของขึ้นรถ ผมพาทุกคนไปเดินเล่นในเมืองก่อน ถึงแม้ Rekjavik จะดำรงตำแหน่งเป็นถึงเมืองหลวงของไอซ์แลนด์ แต่ผมก็รู้สึกว่ามันเล็กมากอยู่ดี แทบจะไม่เห็นตึกสูงระฟ้าเหมือนอย่างเมืองหลวงอื่นๆ ที่ผมเคยไปเยือน ห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ นี่ไม่ต้องพูดถึงเลย เท่าที่เห็นมีแต่ Supermarket ขนาดใหญ่ประมาณ BigC บ้านเรา



    สถานที่แรกซึ่งพวกเราแวะไปคือ Sun Voyager อลูมิเนียมหน้าตาแปลกคล้ายกับเรือไวกิ้งนี้จริงๆ แล้วมันเป็นเรือแห่งจินตนาการที่สร้างขึ้นเพื่อสรรเสริญพระอาทิตย์ครับ เนื่องจากมีทฤษฎีที่เชื่อว่าในยุครุ่งเรืองของ Alexander the great พระองค์ได้ส่งขุนพลที่เก่งกาจ ไปทั้งทิศเหนือ ตะวันออก ตะวันตก และทิศใต้ กองทัพที่เดินทางไปทางตะวันออก ก็เคลื่อนทัพตามดวงอาทิตย์ขึ้นที่ขอบฟ้าไปเรื่อยๆ จนมาเจอมองโกเลีย พวกเขาก็ตั้งรกรากกันที่นั่น หลายร้อยปีผ่านไป ก็มีคนไปเจอบันทึกของ Scribe ซึ่งทำหน้าที่จดบันทึกการเดินทางเพื่อนำกลับไปให้ Alexander พอทุกคนล่วงรู้ถึงต้นกำเนิดของตัวเอง พวกเขาก็เก็บข้าวของและออกเดินทางมุ่งหน้ากลับปิตุภูมิของตัวเอง ในบันทึกกล่าวว่าพวกเขาใช้เวลาหลายปีเดินทางไกลตามพระอาทิตย์ตกไปเรื่อยๆ ทั้งเดินเท้า ขี่ม้า ล่องเรือ ข้ามน้ำข้ามทะเล จนมาสิ้นสุดที่มหาสมุทร หลังจากนั้นพวกเขาก็สร้างเรือลำใหญ่ขึ้น และแล่นเรือมาลงหลักปักฐานที่ไอซ์แลนด์


    ฉะนั้นตอนแรกชาวไอซ์แลนด์อยากจะวางรูปปั้นนี้ให้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ให้ตรงกับ concept แต่ติดเรื่องผังเมือง สุดท้ายจึงมาตั้งหันหน้าไปทางทิศเหนืออย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ครับ


    ตอนถ่ายรูป Sun voyager ฟ้าใส และแดดเปรี้ยงมาก พวกเราก็ดีใจว่าในที่สุดพายุเมื่อคืนก็ผ่านไปแล้ว แต่พอถ่ายรูปไปสัก 15 นาที หิมะดันตก!! ฟ้าเน่าขึ้นมาทันใด พวกเราเลยล่าถอยไปเที่ยว Hallgrimskirkja โบสถ์ชื่อดังที่ถือเป็น Landmark ของเมือง Rekjavik (Kirkja = โบสถ์) มีรูปร่างคล้ายกับกระสวยอวกาศ ผมอยากให้สังเกตว่าโบสถ์ชื่อดังที่นี่เขาออกแบบกันหลุดโลกมากจริงๆ ผู้ออกแบบบอกว่าอันที่จริงเขาตั้งใจจะให้เหมือนกับการเรียงตัวที่เป็นเอกลักษณ์ของหินบะซอลล์ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของไอซ์แลนด์


    รูปปั้นด้านหน้าโบสถ์คือคุณ Leif Erikson ที่อเมริกาทำให้เป็นของขวัญวันครบรอบ 1000 ปี รัฐสภาของไอซ์แลนด์ ส่วนคุณ Leif Eriskson คือนักสำรวจที่ค้นพบ ทวีปอเมริกาเหนือเป็นคนแรก ก่อนหน้า Christopher Columbus เกือบ 500 ปี บริเวณที่เชื่อว่าเขาขึ้นบกคือรัฐ Newfoundland ของแคนาดา



    ผมก่ะจะไปถ่ายรูปหอประชุม Harpa อันยิ่งใหญ่อลังการ แต่ด้วยหิมะตกหนักขนาดนี้ คงเห็นอะไรไม่มากนัก พวกเราเลยตัดสินใจมุ่งหน้าออกจาก Rekjavik ไปตาม Ring road พอถึงเมือง Borganes ก็เลี้ยวขวาขับอ้อมนิดนึงเพื่อไปเที่ยว "Deildartunguhver" บ่อน้ำพุร้อนที่มี Flow rate สูงที่สุดในยุโรป (วินาทีละ 180 ลิตร) ตอนที่พวกเราไปถึงนี่ไม่มีนักท่องเที่ยวสักคนเลยครับ เห็นแต่ควันพุ่งขึ้นมา


    เอาเข้าจริง Deildartunguhver เล็กกว่าที่คิดเอาไว้ พวกเราใช้เวลาที่นี่ไม่นาน ก่อนจะขับต่อไปที่น้ำตก Hraunfossar (Hraun = ลาวา, fossar หรือ foss = น้ำตก) ที่เห็นเป็นหินดำๆ นั่นคือทุ่งหินลาวาครับ


    เดินต่อไปอีกนิดเราจะเจอ Barnafoss ซึ่ง Barna แปลว่าเด็ก มีตำนานเล่าว่า สามีภรรยาคู่หนึ่งมีลูกชายด้วยกัน 2 คน วันหนึ่งทั้งคู่ต้องออกจากฟาร์มไปทำธุระที่โบสถ์ใกล้ๆ เด็กทั้งสองได้รับคำสั่งให้อยู่ในบ้านห้ามออกไปไหน แต่ทั้งคู่เกิดเบื่อและออกเดินทางตามพ่อแม่ไปโดยใช้เส้นทางลัด ระหว่างข้ามสะพานหินที่อยู่เหนือน้ำตก เด็กทั้งคู่เกิดเวียนหัวแล้วพลัดตกลงไป พอกลับจากโบสถ์ไม่เจอลูก พ่อกับแม่ก็เลยออกตามหา สุดท้ายมาพบว่าลูกทั้งสองจมน้ำเสียชีวิต ผู้เป็นแม่เสียใจและโกรธแค้นมาก เธอเลยร่ายคำสาปให้ใครก็ตามที่พยายามจะข้ามน้ำตกแห่งนี้ ต้องตกลงมาและจมน้ำตายเช่นเดียวกันกับลูกของเธอ (คุณแม่โหดมาก)



    เนื่องจากหิมะหยุดตกพอดี และน้ำตกก็สีสวยมาก พวกเราเลยใช้เวลาไปกับ Barnafoss นานพอควร คราวนี้พอกลับขึ้นมาบนรถปรากฎว่ารถติดหล่ม!! พวกเราก็งงว่าเฮ้ย จอดไว้เฉยๆ ตอนแรกก็ยังดีๆ อยู่ รถมันจะตกหล่มได้ยังไงวะ แอนดี้พยายามเร่งเครื่องเดินหน้าถอยหลังแต่ก็ไม่เป็นผล ล้อหลังด้านขวามันหมุนฟรี ผมลงจากรถมาเพ่งใกล้ๆ ปรากฎว่าเวลาแค่ชั่วโมงเดียวแต่หิมะตกหนักมากจนมาท่วมล้อที่อยู่ด้านหลังแล้วก็เริ่มจับตัวเป็นน้ำแข็ง พวกเราหยิบอุปกรณ์เท่าที่หาได้มาเซาะน้ำแข็งที่ล้อหลังออก ขุดเข้าไปคนละไม้คนละมือ พอน้ำแข็งถูกขุดออก พวกเราก็สามารถหลุดจากประสบการณ์ตกหล่มในหิมะครั้งแรกได้อย่างไม่น่าเชื่อ

    ในรถทุกคนเม้าท์กันกระจาย เนื่องจากความตื่นเต้นจากรถติดหล่มเมื่อสักครู่ โดยพวกเราไม่รู้เลยว่ามันยังเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นของอภิมหาความซวยที่กำลังจะเกิดขึ้น!!

    . . .
  • หิมะหยุดตกแล้ว รถทำความเร็วไปตามกำหนด พวกเรารู้สึกผ่อนคลายขึ้น แต่ก่อนจะถึงเมือง Borganes ลมเริ่มแรง ถนนด้านหน้ามีหิมะปลิวเป็นริ้วๆ ดูสวยแปลกตา


    “นี่เราอยู่บนโลกจริงเหรอเนี่ย” ปลาพูดขึ้น ผมกับคนอื่นในรถก็หัวเราะ
    “เฮ้ยอยากถ่ายรูปอ่ะ พี่แอนดี้” ผมเสนอ... ถนนบ้านเรามีแต่หลุมบ่อ น้ำขัง มาเจอถนนสภาพแปลกแบบนี้ก็อยากจะลั่นชัตเตอร์เก็บบรรยากาศเอาไว้

    “เอาจริงป่ะล่ะ” แอนดี้ถาม
    “จริงดิพี่”
    “งั้นจอดตรงไหล่ทางเลยนะ”


    ครืดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!

    เนื่องจากลมมันแรงมาก และถนนที่เพิ่งมีหิมะตกลงมาก็ลื่น รถของพวกเราเสียหลักไถลตกไหล่ทางลงไป ผมตกใจ เชื่อว่าทุกคนในรถก็ตกใจ พวกเราตั้งสติแล้วออกจากรถเพื่อประเมินสถานการณ์ ปรากฎว่ารถตกเอียงลงไปในองศาที่ไม่น่าจะขึ้นได้ด้วยตัวเองแถมไหล่ทางก็ชัน ผมหยิบโทรศัพท์กด 112 ซึ่งเป็นเบอร์ฉุกเฉินของไอซ์แลนด์ ตอนอ่าน Lonely Planet ไม่คิดว่าจะต้องใช้หรอก แต่ตอนนี้รู้สึกดีใจที่จำเบอร์นี้เอาไว้


    เสียงผู้หญิงปลายสายถามว่าเกิดอะไรขึ้น ผมอธิบายว่ารถพลัดตกลงไปข้างถนน เธอโอนสายต่อให้กับผู้ชายอีกคน ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นตำรวจ ผมอธิบายอีกครั้งว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผมไม่แน่ใจว่าอีกฝั่งฟังภาษาอังกฤษไม่เข้าใจหรือว่าเสียงลมมันดังมาก แต่ผมไม่สามารถสื่อสารกับอีกฝั่งได้ และใจของผมก็หล่นลงไปอยู่ตาตุ่มเมื่อ ได้ยินแต่ภาษาไอซ์แลนด์แปร่งหูที่ปลายสาย สุดท้ายผมก็วางหูโทรศัพท์ หันไปหาเพื่อนๆ แล้วส่ายหน้า

    จังหวะเดียวกันมีชาวไอซ์แลนด์ขับรถผ่านมา ปลากับแอนดี้เข้าไปขอความช่วยเหลือ เขาบอกพวกเราว่าจะไปตามคนในฟาร์มให้มาช่วย และก็ขับออกไป

    เกือบสิบนาทีผ่านไปแต่ทุกอย่างยังคงว่างเปล่า ไม่มีรถผ่านมาสักคัน เวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ ผมเริ่มเครียดเพราะอีกร้อยกว่ากิโลกว่าจะถึงที่พัก และด้วยอากาศแบบนี้ผมไม่อยากจะต้องขับรถในเวลากลางคืนเลย

    สิบห้านาทีผ่านไปผมเริ่มหมดหวังกับความช่วยเหลือจากคนท้องถิ่น ผมลองโทรหาบริษัทเช่ารถซึ่งคำตอบที่ผมได้รับคือ “ให้โทรหา 112” ผมเลยติดต่อกลับไปหา 112 อีกครั้ง คราวนี้ปลายสายที่เป็นตำรวจคุยกับผมได้รู้เรื่อง ผมพยายามบอกจุดที่รถเสียให้ละเอียดที่สุด ถึงขนาดเดินฝ่าลมแรงกลับไปดูชื่อสะพานเล็กๆ ที่เพิ่งผ่านมา จนอีกฝ่ายบอกว่า “OK I know exactly where you are” ผมถึงวางใจ

    ตำรวจแจ้งว่าให้อยู่กับรถและรอ แต่คงต้องใช้เวลานานอาจจะเป็นชั่วโมงเพราะสภาพอากาศเลวร้ายมาก และคนของเขาก็มีไม่พอ ผมถอนหายใจ ในหัวตอนนั้นมีแต่เรื่องแย่ๆ เต็มไปหมด ผมอยากด่าตัวเอง จริงๆ มันก็แค่ถนน จะอยากถ่ายรูปไปทำไมนักหนาวะ... แล้วดูสิ เดือนร้อนกันไปหมด

    ผมเดินเซ็งๆ มุ่งหน้ากลับมาที่รถ แต่ภาพตรงหน้าทำให้ผมมีความหวังและยิ้มออก



    รถแทรกเตอร์คันยักษ์ที่ไม่บอกก็รู้ว่าคงมาจากฟาร์มใกล้ๆ นี้ กับรถกระบะอีกคันจอดอยู่ด้านข้าง มีชาวไอซ์แลนด์ใจดี 3-4 คนลงมาช่วยเอาเชือกคล้องกับตะขอหน้ารถและขับรถแทรกเตอร์ดึงรถของพวกเรา ท่ามกลางความลุ้นระทึกของพวกเรา คุณลุงเร่งเครื่องรถแทรกเตอร์ แต่รถตู้ของพวกเราก็ยังไม่ยอมขยับอยู่ดี ในที่สุดชาวไอซ์แลนด์ทั้งหมดก็มาสุมหัว รัวภาษาไอซ์แลนด์ปรึกษากันอีกรอบ โดยมีพวกเรายืนให้กำลังใจอยู่ พวกเขาลองเปลี่ยนมุมดึงของรถแทรกเตอร์ดู เสียงเร่งเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม รถตู้ค่อยๆ ไต่ขึ้นมา ล้อหน้าผ่านแล้ว (สู้เขาลูกพ่อออ ผมลุ้นมาก พูดเลย) ล้อหลังค่อยๆ ตามมา และความพยายามครั้งที่สองก็สำเร็จ!!

    ทั้งคนไทยคนไอซ์แลนด์ส่งเสียงเฮกันดังลั่น

    ผมนี่อยากกระโดดกอดคุณลุงเจ้าของรถแทรกเตอร์คันนั้นจริงๆ เนื่องจากคุณลุงพูดอังกฤษไม่ได้ ผมเลยพูดแต่ Thank you ไปซ้ำๆ และคุณลุงก็คงเข้าใจ ผมหันไปขอบคุณคนอื่นๆ ที่เหลือ พวกเขาบอกว่าไม่เป็นไร และอวยพรให้พวกเราเดินทางปลอดภัย

    . . .

    หลังจากร่ำลากันเสร็จ ผมรีบโทรไปยกเลิก 112 กลัวว่าเขาจะมาเสียเที่ยว พวกเราขับเข้าเมือง Borganes เพื่อทุกคนจะได้พักเบรคจากเรื่องขวัญหนีดีฟ่อที่เพิ่งผ่านไปเมื่อสักครู่ และจะได้หาอะไรใส่ท้องสักหน่อย เพราะนี่ก็บ่ายสามแล้วแต่ทุกคนยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่แซนวิชตอนเช้า

    เนื่องจากบางส่วนของ​ Borganes เป็นเนินสูง และพวกเราก็กำลังมองซ้ายมองขวาหาร้านอาหารกันอยู่ แอนดี้จึงขับรถเร็วมากไม่ได้ และสุดท้ายก็ไปหยุดล้อฟรีอยู่กลางเนิน (โอ้ย อะไรมันจะโชคร้ายรัวๆ ขนาดนั้นนะ) พวกเราจะขับขึ้นเนินก็ไม่ได้ พอจะให้ไถลลงรถก็ปัดจนกลัวจะไถลไปชนบ้านคนอื่นเขา

    ทุกคนลงจากรถอีกรอบ เจี๊ยบวิ่งเข้าไปในร้านขายของที่ระลึก แล้วฉกตัวคุณลุงในร้านออกมา พอเปลี่ยนคนควบคุมพวงมาลัยเป็นคนในพื้นที่ทุกอย่างก็ดูง่ายดาย แค่แป๊บเดียวรถก็ไถลตัวลงไปจอดนิ่งอยู่ที่ต้นเนินอย่างสวยงาม

    พวกเราตัดสินใจแวะทานอาหารที่ปั๊มใน Borganes เพื่อเพิ่มพลัง หลังจากอกสั่นขวัญหายมาสามรอบติดภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ผมเลยเสนอให้เปลี่ยนตัวคนขับรถ แอนดี้จะได้พักบ้าง (คือไม่ได้ขับเหนื่อยหรอกนะ แต่มันเครียด!) ผมเองยังคงต้องทำหน้าที่เป็นนาวิเกเตอร์เพราะเป็นคนรู้เส้นทางดีที่สุด ผู้ชายที่เหลืออยู่คนเดียวก็คือเอก หมอฟันคนเดียวในสมาชิกทั้งหมด

    อย่าโดนลุคทันตแพทย์ใสๆ หลอกเอาได้ เห็นตัวเล็ก หน้าเด็ก เหมือนจะขับรถไม่แข็ง แต่ความเป็นจริงแล้ว เอกเป็นคนที่ขับรถทางไกลบ่อยกว่าใครเพื่อน (คอนโดอยู่กรุงเทพ แต่บางทีเฮียแกไปออกตรวจแถว นครปฐมบ้าง อ่างทองบ้าง) วันๆ เอกขับรถร่วมร้อยโล


    ถึงแม้จะเป็นผู้ที่มีสกิลการขับรถที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม แต่ก็ยังต้องตกที่นั่งลำบาก เมื่อเอกกำลังจะเจอกับสภาพถนนอันเลวร้ายที่สุดในชีวิต

    มันเป็นเวลาเย็นมากแล้วตอนที่เรามุ่งหน้าออกจาก Borganes พอขับออกนอกเมืองได้ไปสักพักจากหิมะที่ตกหนัก ก็เปลี่ยนความรุนแรงเป็นพายุหิมะเต็มขั้น จากประสบการณ์ของคนที่เคยติดอยู่กลางพายุหิมะมาก่อน ผมบอกเลยว่านี่มันเลวร้ายกว่าที่ญี่ปุ่นจนเทียบชั้นกันไม่ติด ตัวการที่ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงมากคือลมครับ ภูมิประเทศในไอซ์แลนด์ไม่ค่อยมีต้นไม้ ลมที่ไอซ์แลนด์เลยแรงมาก... ผมหมายถึงแรงมากมากกกกกก!!! พวกเราที่นั่งอยู่ในรถรู้สึกได้เลยว่ารถโคลงเคลง เอกบอกว่าเวลาขับจะถือพวงมาลัยตรงไม่ได้ ต้องกินไปทางฝั่งที่ลมพัดมา เวลาเลี้ยวนี่ลำบากมากเพราะลมเปลี่ยนทิศ บางช่วงอาการหนักถึงขนาดไม่เห็นอะไรด้านหน้าเลย สิ่งเดียวที่ทำให้เรายังไม่ตกถนนคือคือพลาสติกสะท้อนแสงสีเหลืองซึ่งปักอยู่ตรงไหล่ทางเท่านั้น

    “ด้านขวานี่เป็นอะไรอ่ะ” เอกถาม ท่ามกลางความเครียดของทุกคน
    ผมดูแผนที่ก่อนจะตอบ “ทะเลน่ะ"

    “หมายถึงมหาสมุทรเลยเหรอ”
    “ใช่... ถามทำไมวะ”


    เอกตอบว่า “อ๋อ ก็ถ้าตกถนนจะได้เลือกฝั่งถูก!!!”


    เงียบกันทั้งรถ!!!

    เพราะรู้ว่านี่ไม่ใช่มุข แต่เอกหมายถึงอย่างนั้นจริงๆ


    ผมถามตัวเองว่าจะหยุดพักก่อน หรือไม่ก็ถอยกลับไปตั้งหลักดีไหม แต่ในช่วงที่พายุเลวร้ายถึงขั้นสุด พวกเราอยู่เลยครึ่งทางไปแล้ว ถ้าหยุดรถก็ไม่รู้ว่าพายุจะหยุดเมื่อไหร่เกิดรถเสียขึ้นมาท่ามกลางอากาศแบบนี้ได้มีแข็งตายกันแน่ เมืองที่อยู่ใกล้ที่สุด ก็คือที่โรงแรมนั่นแหละ ฉะนั้นพวกเราเลยไม่มีทางเลือกนอกจากค่อยๆ ขับฝ่าความมืดและพายุไปเรื่อยๆ

    ทั้งรถเงียบกันหมด มีบทสนทนาสอดแทรกขึ้นมาประปราย แต่ผมสัมผัสได้ว่าทุกคนเครียด และอยากให้ถึงโรงแรมเร็วๆ หลังจากฝ่าพายุหิมะอันโหดร้ายและนั่งสวดมนต์มาเป็นเวลาเกือบ 4 ชั่วโมง ในที่สุดเอกก็พาพวกเรามาถึงที่พักของเราในคืนนี้ได้สำเร็จโดยยังไม่มีส่วนใดบุบสลาย ที่พักของเราเป็นโฮสเทลที่มีชื่อเข้ากับสถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างมาก "The FREEZER hostel" ผมเคาะประตูเสียงดัง หญิงสาวผมบลอนด์ที่ออกมาเปิดประตูทำตาโตประหนึ่งเห็นผี พลางร้องเสียงหลง


    “OH MY GOD!!!! How did you get HERE!!”

    (เฮ้ย พวกมึงมากันได้ยังไงเนี่ย!!!)

    แหม ช่างเป็นคำทักทายที่น่าประทับใจจริงๆ
    พวกเราขนของเข้ามาด้านในโฮสเทล พนักงานที่นี่มีทั้งหมด 3 คนเป็นนักท่องเที่ยวเหมือนกัน แต่พวกเขามาทำงานที่โฮสเทลแลกกับที่พักฟรี เธอบอกว่าพวกเราเป็นแขกกลุ่มเดียวที่นี่ในคืนนี้ เพราะคนอื่นๆ ยกเลิกการเข้าพักทั้งหมด เธอยังคงซักไซ้ผมต่อว่าขับมากันยังไง

    ผมอธิบายเส้นทางที่พวกเราใช้ เธอถามเสียงดัง “นี่พวกคุณ ขับเส้นที่ตัดผ่านภูเขามาเหรอ!!!”
    ผมพยักหน้า เธออ้าปากค้างก่อนจะบอกว่า “YOU GUYS ARE CRAZY!!!” เธอเล่าให้ฟังว่าตอนหัวค่ำเธอขับรถไปเมืองข้างๆ ที่ห่างไปแค่สิบนาที เธอยังอยากจะกรี๊ดไปตลอดทางเพราะเธอมองไม่เห็นอะไรเลย เธออยู่ที่นี่มาตลอดช่วงฤดูหนาวสามเดือน แต่เธอไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนเลย

    ผมเริ่มตระหนักในเวลานั้นว่าพวกเราโชคดีมากแค่ไหนที่ไม่เกิดอุบัติเหตุตกเขาตกทะเลไประหว่างทาง
    พนักงานที่เหลืออีกสองคนพาพวกเราเดินชมพื้นที่ของโฮสเทล พวกเขาบอกว่าสมัยก่อนที่นี่เป็นโรงงานปลา แต่เจ้าของมารีโนเวทเป็นโฮสเทล


    The freezer มีส่วนกลางที่กว้างขวางน่านั่งเล่นมาก และในหน้าร้อน จะมีกิจกรรมตอนกลางคืนอยู่สม่ำเสมอ บางทีเป็นดนตรีอะคูสติก บางคืนก็เป็นการแสดง หรือไม่ก็จะแปลงร่างห้องว่างให้กลายเป็นโรงหนังขนาดเล็ก แต่ที่แน่นอนคือวันนี้ไม่มีกิจกรรมใดๆ


    พวกเราต้มมาม่าร้อนๆ กินกัน ช่างเป็นวันที่ยาวนานจริงๆ
    ประมาณเที่ยงคืนหิมะหยุดตก ผมเปิดดู Activity ของแสงเหนือ KP อยู่ที่ 2 ผมเลยชวนเพื่อนขับรถออกไปดูแสงเหนือกัน ซึ่งปรากฎว่าไม่เห็นครับ! น้ำตาจะไหล มันไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ถ้าตั้งกล้องถ่ายยังพอเห็นอยู่นิดหน่อย พวกเราถ่ายกันแค่ไม่กี่รูปแล้วก็กลับไปนอนเอาแรง ผมก่ะว่าเดี๋ยวสักตีสามจะลองใหม่อีกที


    ตีสามนาฬิกาปลุก ผมแซะเพื่อนออกมาจากที่นอนทีละคน
    แอนดี้ดูจะพักเต็มที่แล้ว พวกเราเลยเปลี่ยนเอกมาพักแล้วให้แอนดี้ขับช่วงสั้นๆ...

    ทุกคนขึ้นรถเรียบร้อย แอนดี้ใส่เกียร์แล้วเคลื่อนรถไปข้างหน้า
    ชั่วเวลาที่ผมละสายตาจ้อง ipad เพื่อหาจุดเหมาะๆ ไว้ดูแสงเหนือ

    ครืดดดดดดดดดดดดดดดดด

    อืม... เสียงและองศาเอียงๆ อันคุ้นเคย

    รถไถลตกไปข้างทางอีกแล้วครับ!!! (นับเป็นครั้งที่ 4 ของวัน)
    หิมะตกลงมาเยอะจนแยกไม่ออกว่าอันไหนถนน อันไหนเป็นไหล่ทาง ทุกอย่างที่พื้นมันขาวไปหมดเลย สมาชิกทุกคนยอมแพ้แล้วล่าถอยกลับไปนอน

    เป็นการจบวันแรกของการผจญภัยได้อย่างไม่รู้ลืม


    . . .

    การผจญภัยยังไม่จบ
    พบกันใหม่ในตอนต่อไปนะครับ
    つづく
    ผู้พลาดพลั้งแห่งวันศุกร์

    . . .

    ปล.
    นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา... แอนดี้ไม่ยอมขับรถอีกเลยจนจบทริป
    ...ขอกำลังใจให้แอนดี้หน่อยคับ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in