เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Monkey's Life -- อะไรๆ ก็ลิงimonkey7th
"หลับตาสิที่รัก ในวงแขนของฉัน จะไม่มีผู้ใด ทำร้ายเธอได้"

  • เคยกลัวอะไรอย่างแท้จริงไหมครับ?



         กลัวแบบที่ต้องหลั่งน้ำตา คล้ายนั่งเดียวดายกอดเข่าในความมืด เหนือน้ำนิ่ง มีแรงกระเพื่อมเล็ก ๆ สะท้อนเงาแสงไฟบาง ๆ  ความอ้างว้างปกคลุมกว้างไกล ไร้คำพูด ไร้ความคิด
    บีบคั้นจน ณ ขณะหนึ่ง ก็เกิดความรู้สึก


    -อยากตาย-


    -1-     


    ในวันที่แดดเกือบห้าสิบองศาแผ่ปกคลุมการใช้ชีวิตของมนุษย์ตาดำๆอย่างพวกเรา แน่นอนย่อมส่งผลถึงอารมณ์ ความรู้สึกไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง"คนครัว"ที่ทำงานอยู่หน้าเตาไฟ ลูกค้าทะลักเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ลูกน้องไม่มาทำงานตามปกติของช่วงเทศกาลงานบุญ พวกเราง่วนทำงานกันแต่เช้า      ผมปล่อยให้ลูกชายนั่งกดมือถือตั้งแต่ตื่น เพราะไม่มีเวลาไปจัดการเจ้าลิงน้อยมากนัก หาเวลากินข้าวยังยาก กระนั้นก็ยังพอเจียดเวลา มาอาบน้ำแต่งตัวและป้อนข้าวได้ 
         ผ่านช่วงเที่ยงที่ลูกค้าเยอะไป ความเหนื่อยล้า อากาศร้อนต่างช่วยกันโยนฟืนเข้าไปในอารมณ์ให้ระอุเดือดอย่างห้ามไม่ได้ ผมเปิดประตูเข้าไปในร้าน เจอลูกน้อยยังกดเกมอย่างเมามัน


         "ไอโฟน พ่อบอกกี่ครั้งว่าอย่าเล่นมือถือเยอะ!!"     

    เด็กน้อยกุลีกุจอวางมือถือวิ่งมายืนทำตาเศร้า เพราะรู้ในความผิดและกลัวถูกทำโทษ ผมบอกให้เจ้าลิงไปหาแบบฝึกหัดมาหัดเขียน ก่อนเจ้าตัวน้อยจะวิ่งเท้าเปล่าออกไปด้านหลังบ้าน 
    ผมยืนในร้านตากความเย็นสักพักเพื่อลบอารมณ์ฉุน ทั้งจากอากาศ ลูกน้อง ลูก และความกลัดกลุ้มในตัวผมเอง
    -2-     

    ผมยืนมองภรรยากำลังกล่อมลูกสาวคนเล็กนอนกลางวัน ผมยืนคิดสองสามเรื่องตามที่หัวทึมทึบของผมจะพาไป ก่อนเดินออกมาดูว่าลูกชายตัวดีทำอะไร ผมเดินเข้าไปในห้องนอนไม่เห็น ความโมโหครุกรุ่นขึ้นอีกครั้ง ควันอารมณ์ลอยล่อง ผมหยิบไม้แขวนผ้า เดินตามหาทุกซอกมุมของบ้าน จนกระทั่งเห็นเจ้าตัวน้อยยืนอยู่ประตูหลังบ้าน(เป็นประตูเลื่อนบานใหญ่)

         "ไอโฟน มาทำอะไรที่นี่ เข้ามาเดี๋ยวนี้นะ!" เด็กน้อยทำหน้าเศร้า เดินมาหาผม ก่อนพูดงึมงำในลำคอ     
         "พูดอะไร พูดดัง ๆ !! " ผมถาม     

          "ไม่อยากอยู่บ้านแล้ว" ลูกชายตัวดีบอกผม กระตุ้นให้ดวงตาผมมืดบอด      
          
          "มึงไปเลย ออกไปข้างนอกเลย ไม่ต้องเข้ามานะ" ผมตะคอกรุนแรง     

    ไอโฟนหันหลังร้องไห้จ้า ผมสบัดไม้แขวนผ้าดัง ควับ ๆ ขู่เจ้าตัวน้อย ก่อนมองเท้าที่เปล่าเปลือยของเขาวิ่งออกนอกบ้านไป 


        " มึ ง ไ ป เ  ล ย ! ! ! "


    -3-     

    สภาพหลังบ้านผมเป็นซอยเล็ก ๆ เลนเดียว สำหรับเดินกับขี่มอ'ไซค์ มีบ้านน้องปลื้มเด็กที่ไอโฟนชอบไปเล่นด้วยอยู่ตรงข้ามประตูรั้ว คือเปิดออกไปเจอเลย      ด้านซ้ายมีที่จอดรถยนต์ เลยไปเป็นป่าหญ้า ที่มีบ้านคนสลับไปมา มีซอยเล็ก ๆ ด้วย ตรงไปสักร้อยเมตรเป็นถนนใหญ่ ด้านขวาเป็นกำแพงบ้านคนทอดยาวไปห้าสิบเมตร จะมีสามแยก ทางขวาไปถนนใหญ่ ทางซ้ายเข้าซอยลึกไปอีก มีหอพัก บ้านร้าง ถ้าเลยไปสุดเป็นคลอง        โดยปกติไอโฟนเวลาโกรธ น้อยใจ มักจะวิ่งออกมาแล้วเข้าบ้านน้องปลื้ม ที่เป็นหอพัก ไม่งั้นก็อยู่แถว ๆรถที่จอดอยู่ ตรงนั้นจะมีกองของเก่าวางอยู่เล็กน้อย มีร่มเงาไม่ร้อน ผมคิดว่าคงเหมือนทุกครั้ง เลยเดินเข้าไปในบ้านลดอุณภูมิใจลง ภรรยาถามหาลูก      
        
          "ไปไหนก็ช่างมัน" ผมตอบด้วยโมโห สิบห้านาทีผ่านไป ผมออกมาหลังบ้านอีกครั้งตะโกนร้องหาเจ้าเด็กดื้อ 
        
    ไร้เสียงตอบรับ     

    ผมเดินไปในห้องก่อนเพราะคิดว่าหายโกรธก็คงกลับเข้ามาดูการ์ตูน ต่อด้วยหาในห้องเก็บของ ห้องนอนอีกห้อง ก่อนออกไปส่องดู ที่จอดรถ กองของเก่า เมื่อไม่เห็น จึงข้ามถนนในซอยไปบ้านน้องปลื้ม ถามหากับแม่น้องปลื้ม
         ไม่เจอ    

            "เด็กห้าขวบ มันจะไปไหนได้" ผมคิดพร้อมกลับมาบ้านหาไม้เรียวสักอันติดมือ ก่อนเดินออกไปค้นหาเจ้าเด็กดื้ออีกครั้ง 

    -4-       


           "ไอโฟน!"     
           ผมตะโกนพร้อมกับเดินสอดส่อง เริ่มจากเดินไปทางซ้าย รื้อกองของเก่า ปากตะโกน ไอโฟนแบบแข็งกร้าว ในหัวคิดจะทำโทษอย่างไร ตีหรือไม่ตีดี จากกองของเก่า เลยไปเป็นป่าหญ้า ชะโงกมองซ้ายขวาตามซอกหลืบกำแพง ส่องดูพร้อม ๆ ตะโกน ปกติไอโฟนจะชอบซ่อนให้หาอยู่แล้วจึงไม่แปลกมากนักที่หาตัวได้ยาก แต่ก็ไม่เคยเกินความสามารถของผม      


    -ยกเว้นคราวนี้-


         ผมเดินตะโกนกร้าวชื่อลูกน้อยจนทะลุถนนใหญ่ฝั่งซ้าย ก่อนย้อนกลับมาไปด้านขวา ทะลุไปอีกฝั่งก่อนวนไปหน้าบ้าน เข้าร้านด้านหน้าเดินเลยย้อนไปถามภรรยา ไอโฟนกลับมาหรือยัง ก่อนเธอจะงัวเงียขึ้นมาตอบ ไม่เห็น ผมกัดฟัน ยืนลดอุณภูมิอีกสักห้านาที

     
    ผมเดินผ่านเธอมาไปหลังบ้านเริ่มต้นหาใหม่ตามขั้นตอนเดิม แต่ความรู้สึกเปลี่ยนไป จังหวะที่ผมเดินผ่านประตูรั้วหลังบ้านมาอีกรอบ

     
    เหมือนเดินผ่านเข้าไปอีกโลก โลกที่สั่นไหว โลกที่รู้สึกว่า มันไม่ใช่โลกเดิม



    -5-    

    "ไอโฟน ออกมาเถอะลูก"     

    เสียงอ่อนกึ่งออดอ้อน ร้องระงมของผม ภรรยา และอีกหลายคนที่บ้านที่ช่วยกันออกตามหา กว่ายี่สิบนาทีที่เจ้าลิงหายไป นานเกินไป เกินกว่าที่ใครจะคาดการณ์ เกินกว่าหัวใจของพ่อแม่จะรับไหว    

    เสียงของภรรยาผมสั่นเครือ ตาแดงก่ำ เริ่มร่ำไห้ ผมควบมอ'ไซค์ ออกหาตามจุดต่าง ๆ เข้าซอยเล็กซอยน้อยทั่วบริเวณหลังบ้าน ทะลุออกถถนใหญ่ จอดเป็นจุด ๆ ตามหาทุกซอกมุม     

    มือเริ่มสั่นควบคุมรถไม่ถนัด เหมือนมีอะไรมาจุกอัดที่ลำคอ อึดอัด ขาดความมั่นใจ มนุษย์เราสร้างเรื่องราวในหัวเป็นภาพนิ่ง เป็นช๊อต ๆ เรียงร้อยต่อเป็นเรื่องราว ภาพของวันพรุ่งที่นี้เริ่มฉายแว่บออกมาเป็นช่วง ๆ แบ่งเป็นห้วง ๆ          

    ภาพที่ไร้เงาของเด็กน้อย เราจะทำยังไงดี จะไปทำงานดีไหม จะเกิดประโยชน์อะไรกับการจะไปทำหรือไม่ไป ภาพของเด็กน้อยถูกใครพาขึ้นรถแว่บขึ้น ไปไหน ใครพาไป หลบล่อซอกซอยมุมไหน นั่งจ่อมจมร้องไห้ตรงไหนบนโลกนี้ หรือวิ่งวุ่นตกคลองหลังบ้าน ภาพจมผุดจมโผล่ลอยล่อง      

    จากภาพไม่กี่ตารางเมตรที่วาดไว้ว่าเขาจะอยู่ เริ่มตีวงขยายออกไปเรื่อย เหมือนพื้นที่ค้นหาจะกินกว้างออกตามระยะเวลาที่เนิ่นนาน ดุจนิรันดร์   

    "เห็นเด็กห้าขวบ สูงประมาณนี้(ทำมือบอกความสูง) ใส่เสื้อสีส้มผ่านมาทางนี้มั้ยครับ" ผมถามทุกคนที่สามารถคุยด้วยได้ กระจายข่าวทั่วบริเวณที่พอจะเป็นไปได้ที่เด็กน้อยจะไปถึง การส่ายหน้า พร้อมสอบถามเล็กน้อย ทำหน้าห่วงใย สลับตกใจถูกส่งมาให้ผม ดึงให้จมสู่บ่อไร้ก้น     

    ผมกลับบ้านทุก ๆ 5-10 นาที พร้อมกับความหวังที่ซ้อนท้ายมาด้วย หมายมั่นทุกครั้งว่าเปิดประตูบ้านไปจะเห็นภาพ เด็กน้อยกอดกันอยู่กับแม่ แต่ไม่เลย ไม่มีภาพนั้น ความหวังตกแตก หกเรี่ยราด และลดน้อยลงทุก ๆ ครั้งที่กลับบ้าน มีเพียงน้ำตาของภรรยาที่อาบแก้ม เดินหาทั่วทั้งที่ ๆ เคยหาแล้วหรือซอกหลืบที่อาจมองข้ามไป ผมควบรถออกมาอย่างเร็ว ไม่อยากเห็นภาพนั้น ไม่อยากข่มน้ำตาไว้มากกว่านี้ แต่ก็ไม่อย่างเปล่งปล่อยให้ไหลออกมาทำลายกำลังใจและความหวังของภรรยา           

    ลมร้อนแผดเผาใบหน้า ระเหิดระเหยริ้วน้ำตาของผมไม่ให้ใครสังเกตเห็นได้ แต่ใบหน้าที่บิดเบี้ยวของผม ไม่อาจโกหกใครได้อีก 

    "ลูกพ่อ"

    -6-     

    ผมนั่งสั่น มือถือแก้วน้ำสภาพเก่ามีคราบเปื้อนอยู่บนสถานีตำรวจ น้ำตาตอนนี้อาบแก้มกลั้นไม่ได้ ทำได้แค่เพียงไม่มีเสียงโฮออกมาจากปากอย่างน่าเกลียดเท่านั้น     

    ผมทำได้เท่านั้นจริง ๆ ...     


    หลังจากตาหากันชั่วโมงกว่า ผู้คนทั้งบ้านไม่มีใครไม่มีน้ำตา สีหน้าบอกบุญไม่รับ ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ที่บ้านของเรา ผมส่ายสายตามองไปรอบกาย ภาพเด็กน้อยวิ่งเลือนหายไปในแต่ละจุด อากัปกิริยาของลูกชายที่ผมจำได้ผุดเวียนผุดว่ายให้ผมกล้ำกลืน     

    แกว่งไกวไขว่คว้าเจ้าตัวน้อยได้เพียงอากาศ ภาพไอโฟนวิ่งมาหาเรียก ป๊ะป๋า ๆ โผเข้ากอดผมรับลูกน้อยพร้อมอุ้มมาดอมดม ค่อย ๆ สลายไปเหมือนคว้าเอาน้ำสีที่ค่อย ๆ หลบไหลลงตามง่ามนิ้วและเหือดหายไป 

        "เค้าจะไปสถานีตำรวจนะ เผื่อมีใครพาไปส่ง กับให้ข้อมูลเจ้าหน้าที่ไว้ถ้าหากมีคนพามา" 

    ผมบอกคนที่บ้านแล้วบึ่งรถออกมา ตาเหลือบมองที่เข็มน้ำมันคอตก กังวลว่าอาจหมดและไม่สามารถตามหาลูกรักได้ แล้วก็เป็นจริง ก่อนถึงสถานีตำรวจสองร้อยเมตร น้ำมันรถก็หมด รถกระตุก ๆ จะดับไม่ดับแหล่ แต่สติผมดับไปแล้ว         

    "ฮื้อ.อ.อ." 

    ผมร้องออกมาอย่างไม่อายใคร ทำอะไรไม่ถูก จอดรถตั้งขาตั้ง แขนซ้ายขวาปาดป่ายเช็ดน้ำตา สะอึกอื้นร้องระงมอย่างหยุดไม่ได้ อะไร? ทำไม? เกิดอะไรขึ้น? โลกนี้มันจริงหรือเป็นเพียงฝัน ผมขาดสติชั่วขณะ นั่งบนเบาะที่จอดกลางแดด ปล่อยให้มันเผาร่างผมอยู่อย่างนั้น อยากจะมอดไหม้และสลายไปกับไอระอุ สายตาผู้คนเหลือบมอง
     
         แต่จะแคร์อะไรเล่าเมื่อโลกนี้ไม่เหลืออะไรให้ผมแคร์     

    ผมนั่งร้องไห้อยู่ราวห้านาที ก่อนเริ่มเดินไปสถานีตำรวจเพื่อถามไถ่กับร้อยเวร เดินพลางเช็ดน้ำตา ตาพร่ามัว ทางเดินเบื้อหน้าแบ่งเป็นสองสาย      

    โลกแห่งความฝัน และนรกแห่งความจริง

        "ไม่มีใครพาเด็กมาครับ"    
    ร้อยเวรบอกผม ปากผมสั่นมือค่อย ๆ จดรายละเอียดของเด็กน้อยให้เจ้าหน้าไป คอแห้งเป็นผงพูดอะไรไม่ออก ก่อนกระซวกน้ำที่สถานีไปสามแก้วใหญ่ ผู้คนทั้งคนดีและผู้ต้องคดีมองผมด้วยสายตาเคลือบความสงสาร ผมไหว้ร้อยเวรแล้วขอตัวออกมา เดินผ่าแดดไปที่รถ คลังน้ำตาผมถูกเติมเต็มด้วยน้ำสามแก้ว ก็ค่อย ๆ เริ่มผลิแล้วร่วงหล่นอีกครั้ง เดินไปโดยที่ไม่ยกแขนปาดมัน ปล่อยให้มันไหลอย่างกับจะไม่วันหมดสะอย่างนั้น

         ผมจูงรถไร้น้ำมันด้วยร่างกายที่ไร้แรง ทุกอย่างเคลื่อนไปแบบไร้สำนึก ความคิดหยุดนิ่ง เหมือนตัวลีบเล็ก พรุ่งนี้จะทำอย่างไร เสียงของเด็กน้อยเรียกผมแว่ว ๆ ในส่วนลึกของจิตใจ
     
    อยากตาย จะอยู่ทำไม กูทำอะไรลงไป 
    อยากตาย กูจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้อย่างไร
     อยากตาย กลับมาเถอะลูก 

     พ่อขอโทษ พ่อจะไม่ทำอีกแล้ว 
    รู้ว่าร้องไปก็ไร้ประโยชน์อันใด 
    แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง 
    จะก้าวผ่านช่วงเวลานี้ได้อย่างไร
     
     อยากตาย อยากตาย 
    อยากตาย 


    -7-           


    ผมเดินกลับถึงบ้าน ดึงเสื้อขึ้นมาเช็ดความอ่อนแอออกจากใบหน้า ไม่อยากให้กำลังใจของทุกคนถดถอยกว่านี้ กอรปกับร่างกายได้ระบายมันออกมาบ้างแล้วตอนเดินฝ่าแดดระอุกลับมาบ้าน

     
          "เจอแล้ว!!! อยู่หลังบ้านกับแม่มันแล้ว" 

    ผมเปิดเข้ามาบ้าน เสียงน้าร้องออกมา แจ้งข่าวดีผม


          เหมือนยกกระสอบข้าวที่หนักอึ้งบนบ่าวางลงพื้น ดุจร่างกายลอยละลิ่วขึ้นมาสู่อีกโลก เหมือนตื่นจากฝันร้ายที่มีปีศาจยืนเหยียบยอดอกตลอดคืน 

    ผมไม่พูดอะไรเดินผ่านน้าไปหลังบ้าน เห็นภรรยาร้องไห้ อาบน้ำให้ไอโฟน เจ้าตัวน้อยมองมาที่ผม ตัวสั่น ตาละห้อยเกรงโทษร้ายแรงจากการกระทำของเขา ผมเดินผ่าน ทั้งสองคนไร้เสียงใด ๆ เข้าไปในห้องนอน หยิบผ้าเช็ดตัวมาทาบที่ใบหน้า ร้องสุดเสียงเช่นทารก เกิดใหม่อาจจะเป็นคำบรรยายผมได้ดีที่สุดตอนนี้ ไม่มีดีกว่านี้แล้ว ไม่มีมากกว่านี้แล้ว แค่นี้พอแล้ว


    สักสิบนาทีต่อมา ภรรยาผมพาเจ้าลิงน้อยเดินมาขอโทษผมเงยหน้าออกจากผ้า สวมกอดแล้วร้องไห้เหมือนลูกร้องไห้ให้พ่อ


    เจ้าชีวิตของพ่อ ผมคิด พ่อต่างหากที่ทำไม่ดี ไม่อีกแล้ว ทุกอย่างที่จะก่อแก่ลูกต้องผ่านการไตร่ตรองกว่านี้ ความเป็นพ่อไม่ใช่เจ้าชีวิต เราไม่สามารถบังคับใครได้ ลูกไม่ใช่สิ่งของที่จะกระทำการอะไรได้ เรามอบชีวิตให้เขา คำนี้หมายถึง เราให้เขาทั้งชีวิตจริง ๆ ไม่มากกว่าหรือน้อยกว่านี้ ไม่มีอะไรแทนเจ้าเซลที่แยกออกจากเราไปได้ ทุกความเชื่อของผมถูกล้มล้าง
     
    การทำให้เขากลัวก็ไม่ต่างจากเลี้ยงหมาแมวที่ขู่ เคียดแค้น เตะตีได้ หากรักเขาก็กระทำกับเขาเยี่ยงคนรัก การสั่งสอนมีหลายวิธี เลือกให้เหมาะ เรียนรู้ให้มาก อารมณ์ที่ขุ่นข้องโยนให้ใครก็ไม่มีใครอยากได้ 
    ผมกอดเขาอยู่สักพัก แล้วเงยหน้ามามองเขา ลูบหัวเขา
     
    ภรรยาผมยืนร้องไห้อยู่ข้างหลัง 

    "พ่อไม่ว่าเห็นมั้ยลูก"

    เธอบอกเจ้าตัวเล็กเพราะรู้ว่าผมคงพูดอะไรไม่ได้ ผมกลายเป็นคนอ่อนแอที่สุด กลัวที่สุด


    เด็กน้อยแอบไปหลบอยู่ในกล่อง เขาได้ยินเสียงเรา เขาก็จะปิดกล่อง เมื่อพวกเราไปก็จะเปิดออกมาเพื่อหายใจ เธอเล่าการหลบเลี่ยงของลิงน้อยให้ผมฟังหลังจากเจ้าลิงไปกินข้าวในร้าน การที่เขาใจแข็งไม่ออกมาหา หมายความได้อย่างชัดเจนว่า 

    ความกลัวไม่ใช่หนทางในการเลี้ยงลูก


    -8-


    "หลับตาสิที่รัก ในวงแขนของฉัน จะไม่มีผู้ใด ทำร้ายเธอได้"

    เสียงเพลง"ชูใจ"ของกอร์ฟ ดังคลอในหัวผม 

    ผมก้มลงหอมหน้าผากไอโฟน ที่ตอนนี้หลับไปแล้ว 

    "พ่อขอโทษ" ผมกระซิบใกล้ ๆหู เจ้าลิง


    ไม่มีอะไรที่สวยและมีค่ากว่าการเห็นเจ้ากินอิ่ม นอนหลับ ไม่มีอะไรสร้างแรงใจให้ได้เท่ากับรอยยิ้มของเจ้าไม่มีอะไรที่จะมอบให้เจ้าได้ดีเท่ากับชีวิตของผมไม่มีอะไรที่ต่อลมหายใจให้ก้าวต่อไปได้ดีกว่าเสียงเรียกของเจ้า



    ผมสัมผัสมันมาแล้วความกลัวที่แสนทรมาน 
    เกือบสองชั่วโมงที่เกิดขึ้นกับผมวันนั้น 
    คงติดค้างอยู่ในใจจนวันสุดท้ายของผม


    เคยกลัวอะไรอย่างแท้จริงไหมครับ?


    ลิง
    22.1.16

    16.25

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in