เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Today is not TomorrowJirattipat Tengamnuay
เมื่อฉันมาเฝ้าโฮสเทล (ตอนที่ 1)
  • 1 เมษายน 2563 (หัวข้อเรื่องก็ไม่รู้จะตั้งว่าไรดี)

    ตอนนี้ 22.33 น. แล้ว แต่อยากพิมพ์ก็พิมพ์ หาทางเอารูปลงคอมนานมาก ตั้งแต่ลงวินโดว์ใหม่ปลายปีที่แล้ว เชื่อมต่อมือถือกับคอมไม่ได้อีก ต้องโหลดรูปลง OneDrive บนมือถือ แล้วโหลดรูปจาก OneDrive ลงคอม แต่ก็อยากพิมพ์อยู่ดี เบื่อๆ เครียดๆ ด้วย แต่ไม่คาดหวังใครต้องมาอ่านเรื่องไร้สาระของเราเพราะเราแค่บันทึกเหมือนวันหนึ่งๆ อย่างวันนี้มีไรเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งแค่ชีวิตคนคนนึงที่น่าเบื่อแต่ก็อยากเล่าระบายความเครียด ความเหงาและเรื่องราวร้อยแปดในใจ คือคนอื่นเยอะแยะก็มีความเครียด เรื่องทุกข์ใจของตัวเอง ทั้งงาน เงิน และชีวิตส่วนตัวแหละ ยิ่งตอนนี้เจอ Covid-19 กัน ตายกับตาย ยิ่งคนไม่มีงานทำแบบเราด้วยแล้ว ทำไรไม่ได้หรอก

    ก่อนอื่นคือต้องขอบคุณพี่เจ้าของโฮสเทลด้วยที่ให้มาทำ คือมาเฝ้าโฮสเทลตอนปิด กับป้าแม่บ้าน ก็มาอยู่เลย หอบข้าวหอบของมาอยู่ 30 วันไม่ต้องไปไหน กับเงินค่ามาเฝ้าจำนวนนึงซึ่งไม่ได้เยอะอะไร แต่ดีกว่าอยู่บ้านเฉยๆ ไม่มีรายได้ ซึ่งเราตกงานหางานไม่ได้มานานมาก ก็ได้มาทำโฮสเทลแทนคนลาเรื่อยๆ แค่นั้น และไม่คาดหวังจะหางานได้อีก หลายๆ อย่างซึ่งอยากเล่า อยากพูด อยากระบายแต่คงวันอื่น แต่เราก็ไม่คาดหวังเรื่องเรามีไรน่าสนใจ ใครต้องอ่าน แค่เหมือนไปหาจิตแพทย์ เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่ทุกข์ แต่ไม่มีเงินไง ก็หาที่พูด ระบายความจำ เรื่องอยากพูด แม้เหมือนพูดคนเดียว บ่นคนเดียว แต่ก็พื้นที่เราไง ไม่ได้ยุ่งหรือไรกับใคร ชีวิตก็แย่ มีเรื่องเสียใจ ผิดหวังพอแล้ว ซึ่งหลายๆ อย่าง เราก็ผิดแหละ อย่างเรื่องการใช่แต่อารมณ์ ไม่รู้จักคิด หรือโง่มาคิดได้ทีหลัง สรุปก็ไม่เหลือไรสักอย่างในชีวิต

    งานก็เริ่ม 1 - 30 เมษายน 2563...ก็เพราะ Covid-19 ด้วย ลูกค้าน้อย ก็มาเฝ้ากับป้าแม่บ้านเพราะมีของเยอะในโฮสเทล อย่างทีวี, ตู้เย็น, แอร์, คอม และอื่นๆ....รอบๆ นี้ก็มีคนยากจนเยอะ แต่ไม่ได้บอกเขาจะมาขโมย งัดอะไรนะ เพราะที่เคยมาทำกะกลางคืน ก็ไม่มีใครงัดเข้ามา แต่ตอนนั้นเราเฝ้าข้างล่างคนเดียวไง แต่ตอนนี้ เรากับป้าแม่บ้านขึ้นมานอนบนห้อง แบบแยกคนละห้อง แต่ชั้นเดียวกันแหละ ชั้น 2 ซึ่งก็ต้องขอบคุณพี่เจ้าของอีกครั้งเพราะความจริงมีป้าแม่บ้านมานอนเฝ้าแล้ว อาจไม่ต้องมีเราที่ไม่ได้เรื่อง ไม่ค่อยสนใจ ทำไรไม่ค่อยได้ ไม่ทำอะไรเท่าไหร่มาเฝ้าด้วยก็ได้

    วันนี้ตื่นตั้งแต่ตี 4 .10 น. เพราะรถเมล์หายาก และมีการเว้นที่ เว้นระยะห่างป้องกันโรค คนก็เยอะ ก็แน่น ก็เลยต้องตื่นมารอเร็ว จัดกระเป๋าก็เมื่อคืน ก็มีพวกเสื้อผ้าในเป้ กระเป๋าถือ ก็ใส่หนังสือ, สำรับไพ่ยิปซี และของใช้ทั่วไป และที่ขาดไม่ได้คือ Notebook เพราะต้องใช้พิมพ์นี่แหละ คือคิดและตั้งใจมากเอามาพิมพ์ Blog ในเรื่องราวต่างๆ ที่เราพบเจอ เพราะยอมรับว่าเบื่อและเหงาเหมือนกัน อยากหาไรทำ

    ตอนออกจากบ้านก็ลองยกกระเป๋าถือที่ใส่หนังสือคือหนักมาก แต่ไม่อยากเอาเล่มไหนออก ก็แบกไป มือหนึ่งถือ Notebook อีกมือถือกระเป๋าใส่หนังสือ เป้ก็สะพายไป มีดึงเสื้อ กางเกงตัวโปรดที่เพิ่งซักเมื่อคืนและยังไม่แห้งไปด้วย คือเปียก แต่ตัวโปรดก็พับใส่ถุงพลาสติกยัดใส่กระเป๋าถือไป ออกจากบ้านประมาณ ตี 4.35 น. ระยะทางยาวไกลจากบ้านออกสู่ป้ายรถเมล์หน้าหมู่บ้าน


    ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ กระเป๋าใส่หนังสือก็หนัก ก็ต้องคอยวางๆ คือ 33 แล้ว ชีวิตยังลำบากและยากไร้เหมือนเดิม ส่วนอนาคตก็ไม่รู้เป็นไงเหมือนกัน


    เดินออกมาเจอรถขยะจอดตรงป้ายรถเมล์พอดี เซ็งนิดนึงและเห็นรถเมล์มาไกลๆ คือสีน้ำเงินนี้ไม่ 168 ก็ 514 แหละ แต่ไม่ได้โบกเพราะยังไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัย แต่นั่นคือการคิดผิดเพราะรถเหมือนชะลอจอดและว่าง หลังจากนั้น นอกจากนานๆ มาทียังแน่น ยิ่งมีเว้นที่สร้างระยะห่าง คนยิ่งแน่น

    ยืนรอไปก็เจอคนหน้าเดิมๆ ที่เคยเจอตอนเช้าๆ มารอรถเมล์ อย่างผู้หญิงอวบคนนึงและผู้หญิงมัดผมมารอ คือจำได้เลย แอบเหล่ดูเวลา เพราะเมื่อวานก็เจอมารอรถเมล์ และรถเมล์ไม่มา คือยืนรอระแวกเดียวกันนานมาก สุดท้ายผู้หญิงอวบก็มีมอไซด์มารับไป ส่วนผู้หญิงมัดผม จำไม่ผิด เมื่อวานพยายามโบก 514 ลงไปยืนเลน 1 แต่รถไม่จอด เราแอบมองคือคนแน่น อาจที่เต็ม ส่วนที่แอบตกใจก็คือเมื่อวานมายืนรอนานมาก ถ้าเจอพวกเขาแปลว่าวันนี้เราอาจจะต้องรอนานใช่มั้ย เวลาที่รถขาดหายไปเริ่มมาแล้วใช่มั้ย แต่สรุป  3 - 4 - 5 คนที่มารอรถเมล์หลังเราไปก่อนเราหมด เพราะ 168 นานๆ มาทีและแน่น ตอนแรกเราใส่หน้ากาก จนถอดทิ้งเพราะหายใจไม่ออก แว่นเป็นฝ้าต้องถอดมาเช็ดบ่อยๆ เป้ก็หนัก ยืนดูเวลาเป็นระยะ คือต้องไปเรือแล้วแหละ เพราะต่อให้มีรถพอว่างมา แต่ไปต่อสาย 60 คือเวลาแบบนี้ คนออกเร็วขึ้นแบบนี้ และต้องเว้นที่ว่าง คือมีโอกาสไม่ได้ขึ้นรถเมล์ ถ้าไปเรือคือเราไปต้นสายได้นั่งแน่นอน

    คำตอบในการไปท่าเรือก็คือเพรา 519 ซึ่งคนน้อยเลยได้นั่ง และเตรียม 7 บาทค่ามอเตอร์ไซด์เข้าท่าเรือได้เลยเพราะเดินแบกกระเป๋าแถม Notebook ไปไม่ไหว ตอนขึ้น 519 คือเจอแบบแถบสีแดงกั้นบนเก้าอี้ที่ห้ามนั่งเลยด้วย ปกติเจอแค่ป้ายแปะห้ามนั่งแค่นั้น


    แบกของเดินข้ามสะพานลอย หนักมาก แต่ตอนขึ้นมอไซด์ก็มองนั่งซ้อนไงดี คือของเยอะ แต่คนขับบอกเอากระเป๋าวางหลังเขาและเรานั่งต่อข้างหลังอีกทีได้ ก็ดีเพราะเราแบกไม่ได้

    ส่วนเรือก็คนแน่น เมื่อวานคือมีเว้นที่นะ แต่วันนี้ไม่มี คนคงเยอะ และคนเขาก็อยากนั่งด้วย คือมีบอกให้อยู่บ้าน แต่ถ้าบริษัทยังเปิด คนเราก็ต้องไปทำงาน ไวรัสอาจน่ากังล แต่เงินเลี้ยงตัวเองและครอบครัวก็สำคัญ


    ตอนแรกไม่แน่ใจเรือที่ต้องต่อที่ประตูน้ำหรือเรือยาวถึงท่าเรือสุดท้าย เพราะกระเป๋าหนัก ก็รอดูจนถึงท่าเรือประตูน้ำก็ยังมีคนนั่งอยู่เยอะ ก็เลยโล่งใจเพราะเรือยาว ไม่อยากแบกกระเป๋าขึ้น - ลงเรือบ่อยๆ เพราะมันหนัก ถ้าเป็นบันไดมีบันไดลงก็โอเค แต่ที่ต้องจับเชือกลง คือมือนึงแบก Notebook อีกมือแบกกระเป๋า ลำบากแน่ๆ 

    มาถึงปลายทางก็ประมาณ 6.35 น. มั้ง ซึ่งเดินอีกไกลอ่ะ ปกติเดินตัวปลิวก็ 15 นาที ไม่อยากนั่งมอเตอร์ไซด์ 30 บาทคือไม่มีเงิน ก็เดินไป หยุดไปเรื่อยๆ เพราะกระเป๋าหนักมาก อยากรู้เอามากี่เล่มกันแน่ แต่มาอยู่ 1 เดือนก็เลยเอามาหลายเล่มเผื่อเอามาอ่าน

    ตอนเดินเกือบถึงแบบถึงแยกแล้วเลี้ยวเดินตรงเข้าไป เราหยุดพักเพราะกระเป๋าหนัก เดินต่อไม่ไหว ก็มีผู้หญิงคนนึงเดินผ่านแล้วมองกระเป๋าเราที่วางอยู่ ถามว่าเราไปป้ายรถเมล์ข้างหน้ามั้ย แบบจะช่วยถือกระเป๋าให้....เราก็ขอบคุณเขา...แต่ก็บอกเราจะเลี้ยวข้างหน้านี้แล้ว...ก็ไม่รู้เขาเดินอยู่ข้างหลังเรามานานยัง เพราะเราหยุดเดินบ่อยมากเพราะกระเป๋าหนัก แต่ขอบคุณเขาจริงๆ ที่มีน้ำใจถาม

    มาหยุดยืนรอสัญญาณข้ามถนนอีกทีเพราะกระเป๋าหนัก ความจริงมีช่วงรถว่างแบบข้ามได้ แต่ไม่ข้าม ขอพักก่อน


    มาถึงโฮสเทลตอน 7 โมงเช้า เจอรถขยะอีก คือตอนมารอที่ป้ายรถเมล์ตอนเช้าก็เจอรถขยะจอดที่ป้ายรถเมล์ พอมาถึงโฮสเทลก็เจอรถขยะ จอดอยู่ไม่ไกล ส่วนที่ค้าขายข้างทางก็เยอะ ขนาดแค่ 7 โมงเช้า

    เดินเข้ามาวางกระเป๋า + สัมภาระบนโซฟาที่ใกล้สุด เหนื่อยและหนัก แต่ประตูโฮสเทลเปิดอยู่ เลยยกกระเป๋าไปไว้โซฟาตัวในแทน คิดไปเองกลัวคนวิ่งเข้ามาหยิบ แล้วไปยืนจ่อพัดลม กว่าจะตะเกียกตะกายมาถึง แต่บรรดาหนังสือคืออยากเอามาจริงๆ ก็เลยต้องแบกมาให้ได้


    แล้วถามหาน้ำอัดลมที่ป้าแม่บ้านเอาไปแช่ว่าอยู่ห้องไหน คือ 202 ที่ป้าเขาอยู่หรือ 204 ป้าบอก 204 ที่เราเอาขวดน้ำเปล่า 2 ขวดไปแช่นั่นแหละ เลยไปหยิบลงมา ซัดคนเดียวเกือบหมดขวด ความจริงป้าแม่บ้านบอกมีพิซซ่าที่เหลือจากเมื่อวานด้วย ไม่มีใครกิน แต่เรากินไม่ลง


    เสื้อตัวนอกคือโยนทิ้งเลย ไม่รู้ใส่มามั้ย? แต่ก็ตัวโปรดก็ใส่ทับๆ กันมานั่นแหละ


    พี่ ช. ก็มาบอกเรื่องต้องเช็คของ Booking ว่าต้องจ่ายเท่าไหร่ แขกมาจริงมั้ย ก็พยายามฟังเพราะพี่เขามาวันสุดท้ายแล้ว พี่เขาบอก Email น่าจะมาวันนี้ พรุ่งนี้ เพราะต้องแจ้งเจ้าของจ่ายเท่าไหร่ เราก็คือถ้ามีอะไรไม่แน่ใจค่อยโทรปรึกษารบกวนพี่เขาแล้วกัน แต่ที่พี่เขาบอกก็มองๆ อยู่ ว่าเข้าตรงไหน ดูตรงไหน

    ตอนพี่เขาเช็คๆ พวกการจอง เราก็นนั่งซด Sprite และอ่านข่าวในมือถือ ก็เจอข่าว ที่ 5,000 บาท 3 เดือน ขยายจาก 3 ล้านเป็น 9 ล้าน บอกพี่ ช. แต่เขายุ่ง พอเสร็จ พี่เขาก็บอกพวกมาตรา 39 - 40 น่าจะได้ แต่เราไม่มีทั้ง 2 อย่าง แต่คิดว่าพวกประกันตนเองน่าจะได้เพราะก็จ่ายเงินให้ประกันสังคมทุกเดือน คือลุ้นกว่าลุ้นหวย พี่เขาก็บอก 

    พี่ช. เขาก็บอกว่าการมี Covid-19 ทำให้คนรู้จักใช้เงินมากขึ้น

    พี่เขาก็เล่าพวกการค้ำประกัน แบบอย่าไปค้ำประกันใคร ที่พี่เขาเคยโดนหมายไปไปเซ็นต์ค้ำให้เพื่อนซื้อรถเบนซ์ให้ภรรยาแล้วไม่ผ่อนต่อ แต่ตอนนี้ภรรยาคนนี้ตำแหน่งใหญ่โต เราก็บอกน่าจะรวยนิทำไมไม่จ่าย พี่เขาก็บอก 20 ปีที่แล้ว แต่การเคยมีคดีทำให้พี่เขาไม่มีบัตรเครดิต แต่เราก็บอกยังดีที่พี่เขาไม่ต้องรับผิดชอบจ่าย เพราะบางคนคือหนีไปเลย คนค้ำซวย

    ป้าแม่บ้านก็เล่าคนไป Party บนแพแล้วโดนตำรวจตามจับ แล้วมาพูดถึงการเล่นไรสักอย่าง แต่เหมือนหวยหรือลุ้นโชคนี่แหละ ลงไป 10 - 20 -30 บาท แล้วพี่แม่บ้านอีกคนเสียไปเยอะเมื่อวาน เราก็บอกการลง 10 - 20 - 30 นี่แหละ แบบลงน้อยๆ ไง เหมือนเงินไม่เยอะ พอเสียก็ลงต่อ มากๆ เข้าก็เสียเยอะ ตอนนั้นพี่ น. ที่เป็นแม่บ้านอีกคนมาเล่าว่าติดค่าหวยเท่าไหร่ คือ 670 นี่แหละ แต่ป้า ป. แม่บ้านอีกคนบอก 700 บาท คือเหมือนยุ่งเรื่องคนอื่น แต่มาบอกเป็นหนี้ๆ แต่ลงหวยเยอะ ตอนนั้นก็เคยเล่นกับพวกป้า 2 รอบ รอบละ 50 บาท ไม่ถูกรางวัลก็เลยเลิกเล่น แต่มีครั้งนึง เรามีเลข 6 ในหัว แต่ไม่เล่น แบบ 1 - 12 คือก็ไม่ถูก ดีแล้วที่ไม่เล่น แต่ลอตตารี่รอบนั้น เลขท้าย 2 ตัวออก 06 คือเล่าเรื่องพวกนี้ไม่ดีแหละ ติดคุก โดนจับมั้ย แต่ก็ไปกินข้าวฟรีในคุกแหละ แม้แออัด ลำบาก ขาดอิสรภาพ แต่อยู่ตรงนี้งานไม่มี เงินไม่มี รายจ่ายก็มี ก็ไม่รู้อยู่รอดไปนานแค่ไหน แต่คงไม่ซัดทอดใครอ่ะนะ

    เราก็ถามเรื่องซักผ้ากับป้า ป. เขาก็บอกซักกะละมัง เลือกตากได้ในห้องหรือชั้่นบนสุด เราก็บอกเอาไปตากชั้นบนดีกว่า รับแดด ตากในห้อง อับ ป้าเขาก็บอกเมื่อกี้ก็ขึ้นไปตาก และซักทุกวัน

    ก่อนพี่ ช. ไป แบบวันสุดท้ายแล้วก็อวยพรให้พวกเรา 3 คน คือเรา และแม่บ้าน 2 คน  ขอให้สมหวัง และมีพูดถึงพี่ อ. ที่ลาไปต่างประเทศ แต่ดันเจอ Covid-19....ป้า ป. ก็บอกถ้าพี่ อ. ไม่ลา เราก็คงไม่ได้มาทำ ก็จริงแหละ ไม่งั้นเราคงตายกว่านี้ หางานไม่ได้เลย

    สายๆ เราก็ย้ายมานั่งโซฟาเพราะพวกพี่แม่บ้านเปิดประตูโฮสเทล เราเลยเปิดแอร์ตรงที่เรานั่งไม่ได้ แต่มานั่งโซฟาก็เปิดพัดลมใหญ่เป่าทีเดียวตรงที่ 3 คนนั่ง เราอ่ะง่วงมาก จนพวกพี่ขึ้นไปทำความสะอาด เราก็เลยหลับไปที่โซฟา พอพวกพี่ลงมามีคุยๆ แบบพี่ อ. ลงรูปที่พี่เขาขอให้เราถ่ายให้เมื่อวาน เราก็ลืมตามองแล้วหลับอีก ตื่นตั้งแต่ตี 4 จนเรามีสายเข้ามา เลยได้ตื่นขึ้นมา

    ป้า ป. ก็ให้เราพิมพ์และ Print "ปิดชั่วคราว" และ "ห้องเก็บของ" จะเอาไปแปะ แล้วมานั่งคุยกัน ป้า ป. ก็บอกอยากกินปลิงทะเล และหูฉลามแบบบำรุงสุขภาพ พี่ น. ก็พูดแบบกลับต่างจังหวัดไม่ได้ เดี๋ยวคนในหมู่บ้านรู้ว่ามาจากกรุงเทพฯ จะกลับมาทำไม แพร่เชื้อ...ป้า ป. ก็เล่าแบบเมื่อคืนพี่ ช. ไอ และพี่เขาอายุเยอะ แต่ตอนเช้าให้ทานมะนาวไม่ก็ฝรั่งนี่แหละ อาการเลยดีขึ้น เราก็ว่าพี่เขาไม่ได้เป็น Covid-19  หรอก แค่ไม่สบายธรรมดาตามอายุมากกว่า คือเราฟังก็ไม่รู้กลัวไรกันนักหนา แบบก็เป็นภาระหมอและพยาบาลแหละ แต่พอดีเราตกงาน หางานไม่ได้อีก และไม่มีเงิน ก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ไปทำไม แต่ยอมรับแบบบ้าๆ คือไม่กล้าฆ่าตัวตาย


    เรื่องแอร์ ปกติ ป้า ป. แกก็ประหยัด เจ้าของก็ไม่ได้ห้ามเปิด แต่ป้าแกจะเปิดของแกไม่กี่ชั่วโมง เราก็ร้อนแหละ แต่ไม่อยากไรมาก อยากเปิดเมื่อใดก็เปิด บางทีมีธุระออกไป แต่ไม่ได้เพราะกลัวไปแล้วกลับมา แกปิดแอร์แล้ว อดตากแอร์ ข้างนอกร้อนจริงๆ

    ตอนพี่ น. ออกไป ป้า ป. ก็บอกเราเรื่องที่พี่ ช. ให้บอกว่าพี่ น. เขาขายของ แล้วเอาของมาเก็บที่นี่ แต่ป้า ป. พอทุ่ม หรือทุ่มครึ่งก็ขึ้นนอนแล้ว ป้าแกไม่อยากยุ่ง ตอนนั้นเจ้าของมาเจอถุงเล็กๆ ก็ถามว่าของใคร คือของพี่ น. แกก็บอกแต่ก่อนไม่เคยเอามาฝาก แต่เดี๋ยวนี้เอามาฝาก และน่าจะขอเจ้าของก่อน คือพี่เจ้าของอาจแค่พูดเล่นที่ว่าถ้าเก็บเงินคือคงได้เยอะ เราก็บอกถ้าพี่ น. มา โทรบอกเราได้ เราจะลงมาเปิดให้เก็บของ แต่มานั่งนึกหลังจากนั้น หลายทีเราก็ว่าพี่ น. เขาไม่ชอบหน้าเราหรือมีไรไม่พอใจอ่ะนะ ก็เลยไม่ยุ่งดีกว่า

    ตอนนั่งคุย เราก็นึกถึงพี่ อ. คือประเทศที่เขาไปอยู่ตอนนี้ก็มีปิด ให้อยู่บ้านบ้าง แต่มีบางช่วง เขาออกมาวิ่ง คือมีพี่อีกคนเล่าให้ฟัง อยู่ๆ เราก็อยากวิ่งบ้าง คืออยู่บ้านหรือไปสวนรถไฟ ไม่เคยอยากวิ่ง แต่มาที่นี่อยากวิ่ง คือเบื่อ เหงา เซ็งด้วยแหละ อยู่ในโฮสเทลไปวันๆ ไม่ได้ทำไร เครียด คิดมาก...พี่ น. ก็บอกว่าดีจะได้หายเครียด

    เราก็ถามพวกพี่เขาว่าซื้อรองเท้ากีฬาถูกๆ ได้ที่ไหน แถวนี้ไม่น่ามีขาย คือนึกถึงหน้าราม แบบ 120 บาท แค่วิ่งได้ ป้า ป. ก็บอกให้พี่ น. ดูให้ แต่อยู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่ามีรองเท้ากีฬาถูกทิ้งไว้ แกเดินไปห้องเก็บของ เอาข้างนึงให้เราลองว่าใส่ได้มั้ย ก็คือใส่ได้ แต่อีกข้าง มันหล่นในหลืบ ให้เราไปหยิบเอง แต่พอเอามา คือมันกรอบและพื้นรองเท้าหลุดต้องหากาวตราช้างมาแปะแหละ แต่ตอนนี้หารองเท้าอื่นไม่ได้


    ความจริงกาวตราช้างเพิ่งเคยซื้อไม่นานมานี้ แต่อยู่ที่บ้าน ไม่งั้นเสียอีก 26 บาทอ่ะ ยิ่งไม่มีเงินอยู่ แต่ก็ต้องซื้อแหละ ก็ไม่ได้กินข้าวแต่เช้า เลยไปซื้อมาม่าและกาวตราช้าง คือคนแห่ซื้อมาม่ากันมั้ง ห่อละ 6 บาทคือหมด เหลือ 1 ถุง นอกจากยำยำ 10 บาท


    ตอนเข้ามาเห็นป้า ป. ปิดพัดลมใหญ่ก็แอบเคือง ป้าแกก็บอกปิดพักแล้วเปิดตัวเล็กเป่าแกในห้องผ้า เราก็ร้อน แต่พอเดินๆ ออกไปดูอีกทีเพราะเราต้องไปแปะรองเท้าที่โซฟา ตอนแรกป้า ป. บอกให้พี่ น . ทำให้ แต่เราบอกเราแปะเองได้ ถึงรู้ว่าป้าแกเปิดแอร์ใหญที่ Lobby 

    เราก็มานั่งที่โซฟา ป้าแกกินเสร็จก็มานั่งคุย บอกเจ้าของห้ามค่าไฟเกินหมื่น เราก็บอกอยู่กัน 2 - 3 คนไม่เกินหรอก ป้าแกก็บอกแอร์ในห้องรีดไม่เคยเปิด แบบต้องเปิดบ้าง ไม่ให้น้ำยาแอร์รั่ว

    ป้า ป. ก็บอกเราเรื่องการล็อคประตู เอาโซ่มาพันๆ เราถามไม่มีแม่กุญแจเหรอ แกบอกไม่มี เราก็ถามว่าหาหรือยัง แกก็บอกไม่มีแต่ยังไม่ได้หา เราเลยเดินไปที่เคาน์เตอร์ ลองค้นตามลิ้นชัก คือไม่มีจริงๆ ก็มีแต่ประตูหลัง ก็เลยช่างมัน คือเราก็มีแม่กุญแจที่บ้านแหละแบบล็อคกระเป๋า แม้ตัวเล็กแต่ล็อคได้ ไม่รู้งั้นคงเอามา ป้าแกก็บอกให้เราไลน์หาเจ้าของให้ซื้อแม่กุญแจและไขควงมา แต่เราคิดในใจ ทำไมป้าไม่ไลน์หาเจ้าของเอง คือเราไม่อยากไลน์หาเจ้าของไรขนาดนั้น เราแค่คนผ่านมาแทนเฉยๆ


    ตอนนั่งคุย ป้า ป. ก็ให้ดูคลิปคนร้าย 3 คนพยายามอุดปากยายคนนึงไม่ให้ส่งเสียงดัง แต่ยายพยายามร้องๆ แต่ไม่รู้ตอนจบเพราะเหมือนเนตไม่ดี ป้า ป. ก็บอกไม่รู้ร้องทำไม ร้องไป คนร้ายก็ยิ่งอุดปาก

    ตอนนั่งคุยกับป้า ป. ก็มีผู้ชายคนนึงมายืนส่องอยู่หน้าประตู เอามือส่อง เรากับป้าก็มอง ป้าก็บอกคนสติไม่ดี เราก็บอกอันตราย คือดึกๆ เราอยู่กับป้า ป. 2 คนไงและคืนนี้คืนแรก ไม่มีคนเฝ้าข้างล่างตอนกลางคืน

    ตอนบ่ายๆ ป้า ป. ก็ชวนพี่ น. ไปทำความสะอาดข้างบนสักชั่วโมง เราก็อยู่ข้างล่างคนเดียว อยู่ๆ มีรถมาจอด...2 คุณป้าเจ้าของก็ลงมา....คุณป้า ล. ก็ถามใครเอากระดาษ "ปิดชั่วคราว" ไปแปะ เราก็ไม่รู้พูดไง เพราะจะบอก ป้า ป. กลัวป้าแกรู้ จะเข้าใจไปว่าเราปัดความรับผิดชอบหรือขี้ฟ้อง เพราะแกเคยนินทาพี่คนอื่นทำนองนี้ให้เราฟัง ก็เลยอึกอัก แม้จริงๆ แกเป็นคนบอกนี่แหละ..ก็บอกว่าพี่เจ้าของซึ่งเป็นลูกชายคุณป้า ล. บอก แต่ก็อึกอักเพราะพี่เขาบอกเหรอ? ก็เลยอธิบายว่าที่คุยกัน คือปิด  31 มีนาคม และพนักงานต้อนรับคนอื่นไม่มีใครมาแล้วยกเว้นเรา...แต่ป้า ป. ก็คือคนบอกให้ติด...คุณป้า ล. ก็โทรหาลูกชายหน้าโฮสเทลแล้วเดินมาบอกพี่ ก. จะคุยกับเรา เราก็ถามให้เราโทรกลับมั้ย แต่คุณป้า ล . ก็คุยๆ พอวางสายก็บอกไม่ต้องเพราะพี่ ก. คุยกับเราแล้ว จ้างให้อยู่กลางวัน แต่ก่อนไปคุณป้า ล. ก็ให้เราดึงกระดาษ "ปิดชั่วคราว" ออก แล้วฝากเงินให้ป้า ป. ไปฝากธนาคารให้

    ตอนพวกพี่แม่บ้านลงมานั่งพักแล้ว ก็ถามว่า 406 ไฟยังเปิดอยู่ แบบแอร์เปิดเอง ไฟเปิดเอง เราก็เช็คในระบบคือปิดปรับปรุง แล้วได้ยินป้า ป. พูดกับพี่ น. แบบภาษาอีสานมั้ง เล่าว่าเหมือนเสียง "แป๊ะ" ตอนพวกเขาทำความสะอาด แต่ไม่เจอไร คือเราอ่ะหลอนแหละ

    ตอนบ่าย 4 โมงครึ่ง พี่ น. บอกเหมือนคนทะเลาะกัน เราก็โผล่ไปดูนิดนึง ก็นึกว่าสามีภรรยาทะเลาะกัน เพราะมองผ่านๆ แต่พี่ น. บอกผู้ชายทั้งคู่ คือไม่รู้ทะเลาะกันเรื่องไร แต่คนมุงเต็ม



    ไม่นานก็แยกย้าย แต่มีคนมุงต่ออีกแป๊ปนึง พวกพี่ก็ออกไปข้างนอก พี่ น. กลับมาพร้อมบอกเราว่า คนโดนรุมเป็นตำรวจปลอม แต่คนโดนรุมบอกไม่เคยพูด พี่ น. ก็บอกอาจมีคนไม่ชอบใส่ความ แต่ตอนมุงๆ ก็คิดว่าแย่งที่ขายของกัน 

    พี่ น. ก็บอกให้เราไปสวนวังสราญรมย์ คือเรารู้จักมั้ย? เราก็บอกแค่เคยได้ยินชื่อแต่ไม่รู้อยู่ไหน ก็เสิร์จใน Google พอเห็นรูปตึกสีส้มมีรูปหล่อสูงๆ ก็รู้เลยตรงข้ามวัดพระแก้ว เพราะเคยเดินผ่านตอนไปไหว้วัดโพธิ์ ป้า ป. ก็บอกให้เราไปหรือจะวิ่งรอบๆ นี้ ตอนแรกเราจะแค่วิ่งรอบๆ แต่พอพวกพี่เขาบอก เราก็เลยจะลองไปดู ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ได้อยากวิ่งๆ อยู่มาอยู่ที่นี่ก็อยากวิ่งขึ้นมา

    เกือบ 5 โมงเย็นก็หอบของขึ้น 203  ตอนแรกจะทิ้ง Notebook ไว้เคาน์เตอร์ด้านล่าง ถามป้า ป. ขึ้นห้องกี่โมง แกก็บอกทุ่ม - ทุ่มครึ่ง เราก็จะได้รู้ต้องกลับมาก่อนกี่โมง

    หอบกระเป๋า 2 ใบขึ้นห้อง แล้วตัดสินใจเอา Notebook ขึ้นห้องด้วย

    ในห้องก็เปิดม่านและมีหน้าต่างเปิด คือปกติเราอยากเปิดม่านไม่ให้ห้องทึบ และตอนตื่น ม่านก็จะได้เปิดรับแสงแดด ไม่ทึบ แต่มันอยู่ชั้น 2 ก็เลยต้องปิดม่านตอนกลางคืน


    สิ่งแรกๆ ที่ทำคือควรจะทำตั้งนานแล้ว คือเสื้อและกางเกงที่เราดึงจากไม้แขวนตอนเช้าที่บ้านทั้งที่ยังเปียก แต่ตัวโปรดเราก็เลยต้องเอามาด้วย มองหาไม้แขวนเพื่อตากผ้าแต่ไม่เจอ ก็มองที่ห้อง 205 เห๋็นมีอยู่ 3 อันก็เลยไปเอามาทั้งหมด


    รื้อหนังสือออกมานับ คือที่หนักมา ตกลงเอามากี่เล่ม คือทั้งหมดวางอยู่บนโต๊ะทำงานที่บ้าน ก็ยัดใส่กระเป๋ามาเกือบทั้งหมด...เอาไพ่มาด้วย เพื่อเวลาทุกข์ใจจะได้เปิดดูแก้เครียด ส่วนหนังสือสวดมนตร์ก็ไว้สวดมนตร์ตอนที่อยากสวด


    อาบน้ำแต่งตัวไปวิ่ง ลงมาเจอถ้วยข้าวเหนียวลำไย ป้า ป. บอกหลังบ้านเอามาฝาก แกก็กินอยู่ถ้วยนึง เราเลยเอาขึ้นไปเก็บบนห้อง ลงมาดันลืมหูฟังก็ขึ้นไปอีกรอบ ในใจคือไม่แน่ใจสภาวะแบบนี้ที่สวนวังสราญรมย์จะมีคนมาวิ่งมั้ยแต่ต้องลองไปดู แต่พอออกไป ส้นรองเท้าดันแยกตัวจากรองเท้าอีกข้าง คือเราแปะกาวตรงช้างข้างนึง ส่วนอีกข้างไม่มีปัญหา แต่พอออกจากโฮสเทลดันแยกตัว พี่ น. ที่ยืนคุยกับเพื่อนแถวนั้นก็เดินมาบอกว่ารองเท้ามันไม่ได้ กรอบและแข็ง เราก็บอกใช่ ป้า ป. ก็บอกเดี๋ยวให้พี่ น. ดูให้แบบพวกมือสอง เราเลยขึ้นไปเปลี่ยนรองเท้าแตะออกไปสวนวังสราญรมย์ ก็ตามที่พี่เขาบอก

    เดินผ่านวัดพระแก้ว ตอนแรกสงสัยมีคนมาออกกำลังกายมั้ย ก็คือมี...หลายคนด้วย


    ความจริงอยากวิ่งไปเรื่อยๆ แต่ใส่รองเท้าแตะ


    มาถึงตอนประมาณ 17.40 น. ก็มีวัดอุณหภูมิและทาเจลที่มือ คนก็มาออกกำลังกายเยอะ ตอนเดินเข้าไปเจอคนตบมือ ก็ไม่รู้ตบให้ใคร เราก็มอง แต่พอดีมีคนแก่วิ่งผ่านมาก็อาจจะตบให้คนแก่คนนี้แบบวิ่งได้แข็งแรงดี 

    ตอนแรกเราจะถ่ายภาพน้ำพุและมีประติมากรรมสีทองแต่ไม่กล้าตอนนั้น เลยเดินๆ วนไปตามทาง


    ผ่านศาลเจ้าแม่ตะเคียน เห็นมีใบเซียมซีเลยเข้าไปไหว้และเสี่ยงเซียมซี แต่ได้แต่ใบไม่ดี รอบที่ 4 ถึงออกมาโอเค ไม่ดีไม่ร้ายมาก


    เดินวนๆ ไปเจอเรือนนี้คือสวยมาก ยืนอ่านประวัติคือคิดว่าสมัย ร.6 จะเป็นอย่างไร คนเดินเข้าเดินออก พวกผู้ดี นักเรียนนอก โก้หรูสมัยนั้น


    น้ำพุสีทอง


    ตอนแรกจะเดินวนๆ อย่างต่ำ 6 รอบ แต่พอ 5 รอบก็กลับ หิวข้าวมาก กินมาม่าไปห่อเดียว แต่ร้านนั่งกินไม่มีแล้วก็ 7/11 อย่างเดียว


    แวะซื้อน้ำ 7/11 และปลาหมึกย่าง ลูกชิ้น ไม้ละ 10 บาทหน้า 7/11


    เดินเข้าซอยโฮสเทล คือคนมาขายของริมทางเยอะ แต่คนเดินน้อย เจอพี่ น. นั่งขายของอยู่ด้วย


    เดินผ่านโฮสเทล เจอป้า ป. อยู่แถวโซฟาแต่เดินไปซื้อข้าวเย็นที่ 7/11กลับมาเจอป้า ป. ล็อคประตู แต่เข้าใจเพื่อความปลอดภัย 

    เอาของที่ซื้อวางบนโซฟา แล้วนั่งคุยกับป้าแก ป้าแกก็ถามเรื่องแอดไลน์จากเบอร์ได้มั้ย เราก็ช่วยดูให้ ความจริงไม่แน่ใจก็ไปดู Line ID ก่อน พิมพ์ภาษาไทยไม่ได้ก็ภาษาอังกฤษ ชื่อจริงแก ไม่เอาชื่อเล่นกลัวคนใช้เยอะ แต่ป้าแกก็บอกจากเบอร์ได้มั้ย เราก็เลยลองดูก็ได้ คือปกติใช้ QR Code 

    ตอนแรกจะกินข้าวเย็นบนห้อง แต่คุยๆ แกยังไม่ขึ้นก็เลยนั่งกินบนโซฟาไปเรื่อยๆ พี่ น. ก็เข้ามาบอกเขาเคอร์ฟิว 5 ทุ่มต้องเลิกขาย เอามือถือที่ชาร์จกลับออกไป ป้า ป. ก็บอกเขามีรถประกาศเมื่อกี้รวมถึง 7/11 ด้วย เราก็ว่าค้าขายยาก แบบคนก็ไม่มี คนขายไรก็ลำบาก ปกติคนเยอะกว่านี้ ตอนนี้เงียบ คือแถวนี้จะว่าน่ากลัวก็น่ากลัว จะว่าไม่ก็ไม่เชิง แต่เราเคยมาอยู่กะกลางคืนก็ไม่ได้มีไร แต่ตอนนี้เราอยู่กับป้า ป. แค่ 2 คนในโฮสเทล  เราก็บอกแต่ก่อนมีผู้หญิงขาย คนก็เดินไปมา หรือมีแขกเดินเข้าออก ก็ดูปลอดภัยกว่านี้ แบบคนเยอะ ป้าแกก็บอกต้องระวัง เพราะคนค้าขายแย่ ก็ไม่แน่อาจงัด ขโมย คือไม่ได้กล่าวหาใครเพราะไม่เคยมี แค่คุยกันเรื่อยๆ ตอนนั้น โฮสเทล โรงแรมแถวนี้ก็ปิดเยอะ แต่ก่อนเปิดกันเยอะแยะ ป้า ป. แกบอกกลัวเหมือนในคลิปที่ดูกลางวัน ที่คนร้าย 3 คนอุดปากยายที่ร้องไม่หยุด

    ตอนคุยได้ศัพท์ใหม่ "ดับดีกรี" หรือ "จับดีกรี" นี่แหละ ตอนแรก งง คือไร ป้าบอก "หวย"

    เรานั่งกินข้าวไปเรื่อยๆ เราเห็นป้าเดินไปตรงมุมข้างที่มีกระจกข้างๆ แบบนานผิดปกติก็เลยลุกไปดู เห็นป้าแกมองออกไปด้านนอกและบอกเราว่าผู้ชายคนนี้แบบไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าห้องเลยไม่มีที่นอนมานั่งขายพระอยู่คนเดียว คือคนเดียวจริงๆ ตรงด้านข้าง เพราะคนอื่นขายบนถนนเส้นที่ผ่านหน้าโฮสเทลไป


    ป้าแกบอกจักรยานเขาก็จอดข้างหน้าโฮสเทลเรานี่แหละ คือให้มานอนหน้าโฮสเทลเราก็ได้ ตอนแรกเราก็ไม่โอเคเพราะใครก็ไม่รู้ ไว้ใจได้มั้ยให้มานอนหน้าโฮสเทล ป้าแกก็บอกเราไม่เข้าใจคือนอนข้างนอก ก็ใช่ไง เพราะบรรยากาศก็น่ากลัวอยู่แล้ว แต่ป้าก็บอกไว้ใจได้ แรกๆ เราก็สงสัยรู้ได้ไงว่าไม่มีเงินค่าเช่าห้อง ป้า ป. บอกพี่ น. บอก คือเราก็บอกนอนได้ถ้าเขาจะนอน คือด้านหน้าปูกระเบื้องขาว นอนด้านข้างมันพื้นถนนไง ป้าแกบอกก็จะได้ช่วยเฝ้าหน้าโฮสเทลเราด้วย แต่แกก็คงไม่นอน นอนด้านข้างแหละ คือก็สงสารเพราะมันไม่มีคนเดิน มีแต่คนขาย 


    ทุ่มกว่า ป้าแกก็ชวนขึ้นไปนอนกัน ก็จะเปิดไฟแค่ด้านใน ป้าแกก็เดินไปล็อคประตู วันอื่นๆ มีคนเฝ้ากะกลางคืนแต่วันนี้ไม่มี ก็เอาโซ่มาพันๆ และมีสายอะไรมาพันทับแทนแม่กุญแจ ป้าแกก็บอกตอนเราไม่อยู่ แกบอกพี่ น. เอาของมาเก็บกลางคืนให้โทรหาเรา ป้าบอก พี่ น. มองหน้าป้านานมาก เราก็ไม่รู้ความหมายดีไม่ดี แต่ป้าแกก็บอกพี่ น. บอกประมาณเขามีที่เก็บที่อื่น ไม่ได้มาเก็บที่นี่



    ล็อคประตูนี้แล้วก็เดินไปดูอีกประตูที่อยู่ในห้อง แต่มีที่นอนทับๆ ไว้น่าจะปลอดภัย เราไปดูๆ ก็ทับหลายอันอยู่ คงไม่มีใครเข้ามาได้ เราก็ปิดคอม เอาปลั๊กพัดลมออก

    ตอนปิดไฟ ก็เปิดข้างในไว้ เราก็บอกเหมือนมีคนอยู่ด้านใน แบบแอบๆ ไม่ใช่ปิดมืดหมดคือไม่มีคน

    เดินขึ้นห้อง ก็ไม่ลืมน้ำ 2 ขวดที่แช่ในห้อง 204 ขอคีย์การ์ดป้ามาเปิดเอาน้ำมาแช่ในห้อง


    ห้องอยู่ชั้น 2 เลยเปิดผ้าม่านไม่ได้


    มองออกไปทุ่มกว่า ยังมีคนขายของอยู่บ้าง


    ลองเปิด TV ไม่รู้รีโมทไหนมี 2 อัน ตอนแรกจะไปเคาะถามป้า ป. แต่คงรบกวนแก เลยลองเปิด ปรากฏไม่ติด ก็ดีที่เอา Notebook มา


    3 ทุ่มเศษ ลองมองออกไป คนก็ยังมีอยู่ ของก็ขาย ดูๆ จากตรงนี้เหมือนเยอะ


    รอรูปโหลดนานมาก เลยทานข้าวเหนียวลำไยที่ได้มาฟรีไป ดูหนัง Alien vs. Predator ที่เก็บไว้ในเครื่อง ตอนแรกเปิดเว็บนั้นนี้ ดู Youtube แต่ไม่อยากแย่งเนตโหลดรูป อยากเขียนบล็อค เหงา เบื่อ เซ็ง คือเหมือนไม่ทำไรแหละ พี่เขาให้มาเฝ้าโฮสเทล แต่ไม่ใช่สบายใจไร เพราะเราเคยทำงานไรมา เคยได้เงินเท่าไหร่ เคยมีนั่นนี่ ตอนนี้จากที่แย่ คือแย่กว่าเดิมเพราะ Covid -19 ด้วย โอกาสหางานไม่มีเลย เงินก็ร่อยหรอ คือพี่เขาให้มาเฝ้าก็ยังดี แม้ต้องมาอยู่แบบ 30 วัน กับค่าตอบแทบจำนวนนึงที่พอประทังชีวิต ส่วนใหญ่เน้นมาม่าเพื่อเก็บเงินอ่ะนะ แต่หมดจบก็คือจบ อนาคตเราไม่อยากมาจบแบบนี้ แม้เราจะรู้สันดานเราดี และหลายอย่าง เราคงทำพลาดไปเอง แต่การเจอคนในสังคม ที่ดีก็มี ที่ทำเราประสาทกินเพราะความคิด, คำพูดและความเข้าใจก็เยอะ และทำไรไม่ได้


    พวกพระ สายสิญจ์ก็เอามาจากบ้านวางไว้บนหมอนข้างๆ เพราะไงก็กลัวผี อบอุ่นใจเหมือนได้ใกล้ชิด เพราะไม่มีหัวเตียงด้วย

    นั่งรอรูปโหลดให้เสร็จ แต่ดูไม่จบ สี่ทุ่มกว่าแล้ว ไม่รู้คงไม่มีใครอ่าน แต่อยากเขียน อยากพิมพ์ อยากพูดถึงสิ่งต่างๆ แม้ไม่ส่งผลดีกับตัวเอง แบบพูดมาก เปิดเผยมากไปมั้ย ไม่มีคนคุยด้วยดิแบบนี้ คือคนคุยแบบเพื่อนกัน ไม่ใช่คุยไปเรื่อยๆ แบบคุยกับพวกพี่แม่บ้าน

    แอบส่องจากหน้าต่างตอน 4 ทุ่มครึ่งเพราะใกล้เคอร์ฟิว ก็ยังมีคนอยู่บ้าง


    คือเราก็แย่แหละ ชีวิตไม่มีอนาคตและงานใดใด แต่คนอื่นก็ดิ้นรน เพราะคนหาย ลูกค้าไม่มี ก็คุยกับป้าตอนนั่งด้านล่างตอนใกล้ปิดประตู จะหาเงินกันไง อย่างที่ขายกลางคืนแล้วไม่มีลูกค้าดันเจอเคอร์ฟิวอีก

    นั่งพิมพ์ๆ เรื่องตัวเอง แบบพล่ามบรรยายไปเรื่อย ตอนห้าทุ่มเศษก็มองจากหน้าต่างออกไปอีกรอบเพราะเคอร์ฟิวแล้ว ก็ยังมีคนอยู่ แต่ได้ยินแว่วๆ แบบไม่มีลูกค้า ตอนนั้นเราคิดว่าเรายังโชคดีที่ตอนนี้ยังได้นอนในห้องมีแอร์เย็นๆ แต่เราไม่ได้รู้ชีวิตใคร เขาอาจมีงานอื่นๆ กลางวันแล้วหารายได้เพิ่มกลางคืน เราอ่ะอาจเดือดร้อน ไม่มีเงินมากกว่าเขาก็ได้ ส่วนที่ขายของข้างทาง เราไม่รู้เพราะอยู่อีกด้านที่เราอยู่ เรามองจากหน้าต่างห้องเราเจอแค่บริเวณด้านนี้


    นั่งพิมพ์ๆ ไป แอบนึกเปลืองไฟพี่เจ้าของมั้ย แต่อยากพิมพ์ให้จบ ตอนตีหนึ่งครึ่ง ไม่มีคนแล้ว 7/11 ก็ปิด


    ไม่รู้ทำไง ยังไง เหมือนใช้ชีวิตปล่อยวันไปเรื่อยๆ แต่ตอนเย็นๆ ที่คิดได้คือถ้ามีรองเท้ากีฬาก็อาจไปวิ่ง หรือไม่มีก็ลากอีแตะออกไปเดินๆ เบื่อ เซ็ง เหงา  คุยกับป้าแม่บ้านก็แค่คุยๆ ไปฆ่าเวลา ไม่รู้อนาคตตัวเองเหมือนกัน แต่อยู่ๆ ไป เพราะต้องอยู่อีก 1 เดือน เราอ่ะนึกถึงไรๆ ที่หมู่บ้านหรือในสังคมรอบๆ เราอ่ะนะ เรื่องราวต่างๆ ที่มีทั้งดี ไม่ดี เราก็ทำไรมาหลายๆ อย่าง คนนั้น คนนี้ เรื่องที่เราพลาดไป แต่ก็นั่นแหละ เราก็ต้องอยู่อีกเดือนนึง แต่เจ้าของไม่เปลี่ยนใจไรให้เราเลิกอยู่ เพราะหางานคงไม่ได้จริงๆ อ่ะแหละ คนเราย้อนไปแก้ไขอดีตไม่ได้ และไม่มีวันรู้และเข้าใจความคิด, ความเข้าใจและความรู้สึกคนอื่นได้ แล้วชีวิตเราทำไมต้องมีจุดจบแบบนี้ ก็เพราะตัวเองส่วนนึงด้วยแหละ แต่ในสังคม เราจะเจอทั้งคนดีกับเรา เฉยๆ กับเรา และไม่ชอบเรา ในมุมที่ทำให้เราไม่ชอบกลับด้วย แต่เหมือนหนีๆ ที่บ้านก็มีเรื่องเครียด อย่างน้องคนรองก็โดนลดวันทำงาน ลดรายได้.....เรื่องเราเอง ก็ไม่รู้ทำไงดี

    มองดูเวลาตี 3 พอดีเลย......ชอบนึกถึงอดีต แบบผ่านจากวันนั้นมากี่เดือนแล้ว กี่ปีแล้ว เสียใจทีหลัง คิดช้า แต่ในชีวิต ย่อมเจอทั้งคนที่ดี เฉยและไม่ดีกับเรา ผิดหวังมาเยอะ ทำตัวเองก็มาก เจอคนทำให้แย่ลงก็มากมาย หลายทีคนเรา รวมถึงเราด้วย ชอบตัดสินคนอื่นแบบนั้นแบบนี้ทั้งที่ไม่ได้รู้จักเขา นี่ยกจากกรณีไปสัมภาษณ์งานบางที่ที่เหมือนคนสัมภาษณ์รู้ดีไรในเรื่องเราบางอย่าง อย่างทำมากี่ที่หรือไรต่อไป ทำไม่ดีเอง หรือมองเราไม่พอใจในการเราแว่บไปทำงานบางที่ คือหลายอย่าง ประสาทกิน มีหลายเรื่องแหละ แต่เราก็ไม่ได้ดีไร แต่ในชีวิตเราอาจสนใจและไปเกลียดคนไม่ดีกับเรา มากกว่าคนที่เคยดีกับเรานั่นแหละ น่าเบื่อชีวิตที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

    เรารู้พิมพ์ไรมันดูส่งผลแย่กับเรา หรือพูดมากไป เรื่องนั้นนี้ โดนเฉพาะเรื่องคนอื่นที่เล่าและคุยกับเรา แบบเอามาพิมพ์ต่อทำไม และสุดท้ายคือน่าสนใจตรงไหน แต่ไม่รู้หลายๆ เรื่องในใจ ทุกข์ เครียด สิ้นหวัง พูดไรไม่ได้ เหมือนมาเล่าๆ เล่าย้ำให้ตัวเองรับรู้ก็ได้ในแต่ละวัน..ว่าเกิดไรขึ้นบ้าง เพื่อให้ผ่านแต่ละวันไปได้ แม้ความจริงสิ้นหวัง คือรู้ว่าคนแย่กว่าเราก็มี แต่ชีวิตเรา คนอื่นๆ ก็เอาชีวิตตัวเองเป็นที่ตั้งเหมือนกันนะ แต่นึกดู เราก็ทำเรื่องแย่มาเยอะ แล้วมาเสียใจ แต่เฉพาะในส่วนที่ดีหรือคนที่ดีกับเราเท่านั้นในอดีต ปัจจุบันเราไม่รู้หรอก แค่นึกถึง แต่ไม่ได้ไรกับใคร คนเรา ความรู้สึกเปลี่ยนได้ตลอด จากดีเป็นไม่ดี จากเฉยเป็นดีหรือไม่ดี จากไม่ดีอาจเป็นเฉยหรือดี ยากที่จะรู้จริงๆ คือดูคนอื่นที่ดีดี ประสบความสำเร็จนะ แต่ชีวิตคนเราแตกต่าง โอกาส ช่วงเวลา แต่ที่ชอบพูดย้ำ เพราะเราก็ทำเรื่องพลาดมาเยอะ แต่ย้อนไรไปไม่ได้ 
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in