เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Today is not TomorrowJirattipat Tengamnuay
ความเจ็บ ความเหงา ความผิดหวัง กับคนรู้จักใหม่ที่เข้ามาช่วงสั้นๆ
  • 3 มีนาคม 2563

    กลับจากการทำงานโฮสเทลช่วงสั้นๆ ที่ราชดำเนิน ซึ่งพอถึงวันที่ 13 มีนาคม 2563 ก็เป็นวันสุดท้ายแหละ แล้วก็ไม่มีงานทำเหมือนเดิม ก็ไม่ได้หางานใหม่อะไรด้วยเพราะหาไปก็ไม่ได้ หลายๆ อย่างแต่ก็ไม่กล้าตายสักทีกับโลกที่ทนทุกข์ทรมานและหลายๆ อย่างคือความผิดหวังและไม่ได้ดั่งใจ ก็บ่นบ้าไปวันๆ แต่ไม่มีทางออกเหมือนเดิม

    ออกจากโฮสเทลตอนหกโมงเย็นเพื่อมาต่อเรือเร็วตอนหกโมงเย็นกว่าๆ รอบแรกจะได้ไม่ต้องมายืนรอนาน นั่งรอในโฮสเทลตากแอร์ดีกว่า ก็นั่งเรือไปจนตอนใกล้จะถึงบางกะปิก็นึกอยากหาหนังดู เบื่อๆ เซ็งๆ กับชีวิตแม้พรุ่งนี้ต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 ไปทำงานโฮสเทลซึ่งจะเข้างาน 7 โมงเช้า ถ้าเรายังไปไม่ถึง พี่กะกลางคืนก็ต้องอยู่เฝ้า ก็ควรไปให้ทัน ก็เลือกหนังก็ว่าจะดู "ตู้นรก" หรือ "พี่นาค 2" ดี แต่ "ตู้นรก" เข้าก่อนตอน 21.30 น. แต่ "พี่นาค 2" เข้าตอน 21.40 น. ก็เลือก "ตู้นรก" แต่ตอนไปซื้อตั๋วหนังก็ยืนมองตู้ขายตั๋วว่าตกลงจะเอาไง จะดูหรือไม่ดู เพราะต่อให้ 100 บาทแต่ก็ต้องเสียเงิน ตอนนี้มีงานก็แค่พาร์ททามแทนพี่ที่เขาลาและก็ไม่ได้มีงานทำอีก ยืนๆ จนคนมาทีหลังไปซื้อก่อน ก็ตัดสินใจดูแม้ต้องรออีกชั่วโมงกว่าก็เถอะ


    ตอนซื้อก็ดูที่นั่ง นอกจากที่นั่งผี 4 - 5 ที่นั่ง ก็มีคนนั่ง 2 คนแถว F นอกนั้นไม่มีใคร แต่อาจมีคนเพิ่มก็ได้เพราะอีกตั้งชั่วโมงกว่า ยังไม่ 2 ทุ่มเลยตอนนั้น...ก็เดินไปกินข้าวที่ฝั่งแฮปปี้แลนด์ก่อน ร้านประจำตามสั่ง ที่เขาจะรู้ว่าที่เราบอกไม่ใส่ผักคือไม่ใส่ผัก หรือถ้าเราบอกผักน้อยก็คือไม่ใส่ผัก แม้หลายครั้งเจ้าของร้านจะหน้าบึ้ง จิกสายตาเหมือนไม่พอใจ ซึ่งก็ไม่รู้เป็นไร แต่หลายทีก็ยิ้ม ก็ช่างเขา


    ตอนมากินที่ร้านก็เจอเรื่องคิดมาก ทุกข์ ประสาทกินและไม่ชอบ กินข้าวไปก็โพสต์ระบายความในใจไปด้วยความเจ็บปวดที่ไม่มีใครเข้าใจ ซึ่งพอเราพูดแบบนี้คือดราม่า แต่ใครไม่เจออย่างเราจะมาเข้าใจได้ไง แต่จะบอกเวรกรรมตามสนองคนพวกนั้นก็ไม่เคยตามสนอง บอกเราคิดไปเอง เราก็บอกถ้าเราคิดไปเองขอให้ตายโหงใน 7 วัน แต่ถ้าไม่ใช่สักวันคนที่ทำเราทุกข์ เครียด คิดมาก ด้วยความคิด ความเข้าใจ คำพูดก็ขอให้ลูกหลายมันตายโหง


    ทานข้าวเสร็จก็ขึ้นมานั่งรอเงียบๆ ที่แถวหน้าโรงหนังคนเดียว บางทีแบบมีคนว่าเราไม่มีเพื่อน ไม่มีใครคบ แต่หลายๆ ทีเราชอบอยู่คนเดียว อย่างตอนทำงาน แม้มีคนชวนกินข้าว เราก็ไม่ได้ไป ไปกินคนเดียว นอกจากบางที่แบบมีไม่กี่คน และถูกใจกันดี เราก็ไปกินกับเขา แต่หลายที่ก็ไปคนเดียว หรืออย่างไปปากีสถาน ถึงเราจะไปกับทัวร์ เราก็ไปคนเดียว เพราะยังไงเงินเราก็จ่ายเอง ต้องไปง้อหรือแคร์คนอื่นทำไม เรามีเงินเก็บ เราอยากไป เก็บเงินถึง เราก็ไป ไม่ต้องตามใจใคร ความสุขเรา ความขยันมั่นเพียรตั้งใจเก็บเงินของเรา บอกตรงๆ ถึงเราไม่ได้อะไรคนอื่น เราก็ต้องมาแบกความทุกข์ เครียด คิดมาก ประสาทกินกับความคิด ความเข้าใจ คำพูดคนอื่น ทั้งที่เราก็มาถามตัวเองว่าเราไปทำอะไรให้เขา คือเหยียบคนอื่นจมลงไป ตัวเองคงมีความสุขและรู้สึกชีวิตมีค่ามากขึ้นมั้ง 

    ตอนเอาตั๋วไปให้พนักงานก็เหลือเวลา ไปห้องน้ำและนั่งเล่นหน้าโรง ก็คิดว่าคนอาจน้อย พอเข้าไปจริงๆ ก็เห็นนั่งอยู่ 3 คนคือแถว F มี 2 คน และแถว D อีก 1 คน ซึ่งคนแถว D เหมือนนั่งเก้าอี้ที่จะขวางทางเข้าเรา เราเลยเดินแถว C ไปอีกด้านแล้วใช้มือถือส่องหาที่นั่งซึ่งก็คือ D8 ผู้ชายคนนั้นหัวล้านๆ ก็นั่งเว้นเราไป 2 ที่ ซึ่งนับดูคือ D5 ซึ่งก็ปกติเพราะถ้าแถวใดมีคนนั่งต้องเว้นไว้ 2 ที่

    ดูหนังไปตามปกติ ก็น่ากลัว คือคนดูน้อย แต่เริ่มต้นมาคือส่วนตัวคิดว่าหนังน่าดู และสรุปมี 4 คนทั้งโรง เราก็นั่งไปไม่ได้สนใจใคร ผู้ชายแถวเดียวกันก็เห็นแค่หัวโล้นๆ แค่นั้น แต่พอหนังเริ่ม โรงจะมืดลง ก็แอบมองข้างขวามือคือน่ากลัว เพราะมืดมาก แต่ในความน่ากลัวก็คือดีตรงที่คนไม่เยอะ เป็นส่วนตัว ก็ไม่รู้ดูไป คิดอะไรในหัวไป คือสะดุ้งหลายรอบ เริ่มตั้งแต่แรกๆ ที่ปาดคอก็เอามือยกมาจับคอตัวเอง แบบสยอง แอบนึกถึงคำบอกเล่าหมอดูคนหนึ่งที่เคยบอกว่าเราไปฆ่าปาดคอสามีในอดีตชาติของเราเพราะเขามีเมียน้อยเหมือนกันและเขาตามเรามาชาตินี้ ทำให้เราต้องโสดไปชั่วชีวิต ก็พิสูจน์ไรไม่ได้ 

    ตอนนั่งดูๆ ไป เราก็เห็นผู้ชายหัวล้านมองมาทางเรา เพราะเราสะดุ้งหลายครั้งมั้ง เราก็มองไปทางขวามือเรา ก็เจอแต่ความมืด เราก็นั่งดูหนังไปเรื่อยๆ เอามือ 2 ข้างขึ้นมาซ้อนหลังหัว อยู่ๆ หางตาก็เหลือบไปเห็นเหมือนมีคนนั่งอยู่ใกล้เรามากขึ้น แว่บแรกคือผีมั้ย แต่พอหันไปจริงๆ คือผู้ชายหัวล้านเขยิบเข้ามาใกล้เรา 1 ที่ เขาเห็นเราหันก็เหมือนบอกว่า "น่ากลัว" หรือไรประมาณนี้เกี่ยวกับผีที่ดู เราก็ไม่ได้อะไร เพราะตอนนู้นไปดูแอนนาเบลภาคแรกหลายปีก่อน เรานั่งริมสุด แล้วต้องเขยิบมาตรงแถวกลางๆ เว้น 1 เก้าอี้จากผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งพอผู้หญิงคนนั้นหันมามองแบบเราเขยิบมานั่ง เราก็บอกว่า "กลัว" เหมือนกัน

    ดูหนังไปเรื่อยๆ ก็มีสะดุ้งตกใจ หนังไม่ได้น่ากลัวมาก แต่เราไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปก็เลยลุ้นๆ แต่พอดูจบจริงๆ ไม่ได้น่ากลัวหรือมีอะไรมาก ดูเศร้ามากกว่า อยู่ๆ ระหว่างนั่งดู ผู้ชายคนนั้นก็เขยิบมานั่งติดเราซะงั้น แล้วพูดไรจำไม่ได้ แต่อาจประมาณว่า "น่ากลัว" แล้วอยู่ๆ ก็ถามว่า "หนาวมั้ย" เอามือมาจับขาเราแบบแตะๆ ซะงั้น แบบจะดูว่าตัวเราเย็นมั้ย ดูเราไม่ได้ไปให้ท่าหรือทำไรให้เขามาอะไรกับเรานะ แต่อยู่ๆ มาแตะแล้วเอามือออก แต่เราก็ไม่ได้เขยิบหนี แต่เหล่เห็นหน้าชัด ตอนนั้นดูหนังผีและมืดมาก ก็ไม่แน่ใจว่าผีมั้ย แบบไม่รู้ อาจมีผีเหมือนคนมาชวนคุยเพราะนั่ง 4 คนในโรง แต่ก็คนแหละ เราอาจหลอนคิดมากไปเอง นั่งๆ เขาก็ชวนคุย แบบเกรงใจอีก 2 คนข้างล่างด้วย แต่เราก็ตอบบ้าง อย่างถามว่าทำงานอะไร เราก็บอกโฮสเทล เขาก็ถามแบบร้านอาหาร เราก็บอกพนักงานต้อนรับ คือพูดถึงตอนนี้แล้วเจ็บปวดเอง คือตอนเราไปทำแทนพี่เขาที่โฮสเทลก็ไปทำแหละ แต่พอโดนคนอื่นถามแล้วเจ็บปวดกับตัวเอง คือมันใช่อีก 10 ปีให้หลังที่เราเรียนจบจะมาทำงานแบบนี้มั้ย มันดูเศร้ากับชีวิตตัวเองไงไม่รู้ เขาก็ถามว่าเรามีแฟนมั้ย เราก็บอกไม่มี แต่ตอนนั้นเรากลับนึกถึงใครอีกคนที่เขาไม่มีวันอยู่ตรงนี้ แต่คิดว่าเขาจะเดินเข้ามานั่งข้างๆ เราฝั่งขวาแล้วบอกว่าเราคือแฟนเขา แต่ก็คงไม่มีวันนั้นก็แค่นึกแหละ คือดูเพ้อเจ้อไร้สาระมาก

    เขาก็ชวนคุยเป็นพักๆ จนเราพลาดฉากบางตอนและคิดว่าเกรงใจน้อง 2 คนข้างล่างมั้ย แบบดีที่มีแค่ 4 คนในโรง ไม่งั้นโดนด่า แม้เราจะตอบๆ ไป แล้วก็ดูหนังต่อ เขาก็บอกเคยมาดูแบบคนเดียวในโรงแต่เป็นรอบเช้าๆ ประมาณ 10 โมง เราก็บอกรอบนี้ 100 เดียวมันถูก.....เราก็ถามเขาว่าทำงานไร ตอนแรกคิดว่าพวกกรรมกรมั้ยเพราะพอมานั่งใกล้คือตัวเหม็นเหงื่อ นึกถึงลุงที่บอกตัวเองเป็นกรรมกรที่เจอที่ท่ารถบขส. เหมือนกันที่มาดักรอเรา....บอกไปรถคันเดียวกัน 145 แต่เข้าใจแหละ คงเหงา แบบรอรถนานไม่รู้คุยกับใคร เห็นเราเร่ร่อนอยู่คนเดียว เลยมาชวนคุย ผู้ชายคนนี้ก็ถามเรามีแฟนมั้ย เราบอกไม่มี เขาก็บอกเขาก็ยังไม่มีแฟน  เราก็แค่นึกในใจคือในสังคมมันเชื่อไรใครไม่ได้หรอก และยิ่งคนแปลกหน้าอ่ะ อย่างที่รู้ๆ หรืออ่านข่าวเจอ คบซ้อน มีลูกเมียอยู่คนละจังหวัด หรือเอาแค่จังหวัดเดียว มีลูกเมียอยู่แล้วแต่บอกว่าโสด แต่ในสังคมแห่งการหลอกลวงที่เกิดขึ้นโรงหนัง จะพูดไงก็ไม่ได้สำคัญอะไรเพราะแค่คุยกันเฉยๆ เราก็เบื่อๆ เซ็งๆ กับหลายๆ เรื่องผิดหวัง เสียใจในชีวิต แต่บอกเลยเหมือนที่เคยโดนว่า เพราะเราเหงาเลยอยากมีใครแบบเนี้ย คือเกิดมา 33 ปี โสดมาตลอดอ่ะค่ะ แม้แอบชอบใครก็ไม่ได้ไปยุ่งไรกับเขา ถ้าจะมีแฟนเพราะเหงามันต้องได้ไปสักคนมั้ยคะ แต่นั่นแหละ เราอาจหน้าแย่ นิสัยเลวก็ได้เลยไม่มี ซึ่งก็ช่างมันแค่นั้น ชีวิตอาจทำเรื่องพลาดๆ มาเยอะ แบบโง่ด้วย หรือคิดช้า สมองช้า แต่โดนวิบากกรรมเรื่องผู้ชายไปเยอะเหมือนกัน แต่ก็เจอแบบมิตรภาพดีดี ที่อาจเพราะไม่เข้าใจกันหรืออคติบังตาเรา แต่ก็ไม่ได้จะบอกว่าถ้าตอนนั้นสมองเร็วกว่านี้ หรือเลิกกลัว คิดมาก เราจะมีเพื่อนเพิ่มขึ้นตอนนี้อ่ะนะ

    เราก็ดูหนังไปเรื่อยๆ แต่พี่เขาก็มือไวเป็นพักๆ อยู่ๆ ถามหนาวมั้ย แล้วเอามือเราไปจับเฉย จนเราต้องดึงมือออก หรืออยู่ๆ มาจับขาเราอีกแบบหนาวมั้ย แบบเราไม่รู้ตัวทัน แล้วทำไมเราไม่ลุกขึ้นขยับหนี เพราะเราไม่สนใจไง หลายๆ อย่างวนเวียนในใจตอนนั้น และจับแบบเราไม่รู้ตัวด้วย บางทีเราก็เสียใจกับอะไรหลายๆ อย่างและเราคงต้องตัดใจ แต่ในอะไรหลายๆ อย่าง ชีวิตมันก็ต้องดำเนินต่อไป แต่ก็นั่งอยู่แบบนั้นแหละ เพราะจับแค่นั้นแล้วไปนั่งกอดอกดูหนังต่อไป มีแค่ถามนานๆ ทีเป็นพักๆ

    ตอนจบก็ดูเศร้านิดๆ แต่ก็ลุ้นหน่อยๆ พี่เขาก็บอกหนังจบง่าย มันก็ง่ายๆ แบบนี้แหละแต่ก็ถือเป็นหนังโอเคกว่าหลายๆ เรื่องที่เคยเสียเงินดูในโรงแหละ แต่คนดูกลับน้อย ตอนเดินก็เดินออกมา 4 คน เราออกจากโรงหลังสุด บางทีการมีหลายๆ เรื่องในใจที่ทำให้เสียใจ ผิดหวัง ทุกข์และหาทางออกไม่ได้ ทำให้เราอ่อนแอ อ่อนไหวจริงๆ ที่แบบจะหาทางออกยังไงดี แต่ชีวิตต้องทนต่อไป

    ตอนเดินออกมา เราก็เดินท้ายสุด คู่รักวัยรุ่นเดินนำหน้า พี่หัวล้านเดินถัดลงมา แล้วเราเดินรั้งท้าย คิดนั้นนี่ จนกลางๆ ทางก่อนถึงลิฟต์ พี่เขาก็หันมาคุยแต่จำไม่ได้คุยอะไร ตรงนั้นก็มีเด็กวัยรุ่นเยอะ คือเห็นหลายรอบแล้วที่มาต่อแถว มีกล้อง มีอะไรคือไม่รู้มารอดูอะไรกัน เพราะตอนเราออกมา เจอวัยรุ่นยืนที่ 2 ฝั่งลิฟต์ บางคนยกกล้องมาถ่ายๆ ก็ไม่รู้ใครมาหรือรอใครอยู่เพราะไม่เห็นมีใคร เราก็เดินเข้าลิฟต์ตามน้องๆ  2 คนไปและพี่หัวล้าน น้องผู้ชายก็หันไปพูดกับแฟนว่า "ไม่ดูแหละหนังผีเกาหลี กลัว" เราก็คิดในใจ เออ นั่นแหละ ก็หนังโอเค แต่กลับไม่มีคนดู

    ตอนอยู่ในลิฟต์ใหญ่ น้องๆ พยายามกดลิฟต์ให้ปิดแต่ไม่ปิด เราก็ไปมองๆ คือเหมือนมีเสียงตื๊ดๆ แต่ไม่ปิด ก็เลยพากันออกมารอลิฟต์ตัวถัดไป แล้วลงมาพร้อมกัน น้อง 2 คนก็เดินออกไปก่อน เราก็เดินตาม คือปกติดูหนังรอบดึกก็เดินไปรอรถเมล์ฝั่งตรงข้าม ก็เดินๆ ไปเรื่อยๆ แต่พี่หัวล้านก็ถามเราบ้านอยู่ไหน เราก็บอกสุขา 3 ขาก็บอกแบบไปทางเดียวกันเดี๋ยวไปส่ง เราเลยถามว่าเขาอยู่ไหนเพราะทางเดียวกันคือตรงไหน เขาบอกศรีนครินท์ ซึ่งมันไม่ใช่ทางเดียวกันหล่ะ เราก็ยืนมองน้อง 2 คนเดินไป แบบลังเล พี่เขาก็เดินไปที่รถ ซึ่งตอนแรกนึกว่าขับมอไซด์เพราะตอนอยู่ในโรงหนัง เขาถามเราทำงานไร เราเลยถามว่าเขาทำงานไร เขาบอกขายพวกชุดตกแต่งมอไซด์ แต่เดี๋ยวนี้ลูกค้าน้อย เราก็บอกที่โฮสเทลก็ลูกค้าน้อย ตอนออกมาก็คุยเรื่องงานนี่แหละ เราก็บอกอีกครึ่งเดือน โฮสเทลก็ปิดแล้ว พี่เขาก็ถามตกงานดิ แล้วไปทำไร เราก็บอกก็หาไปเรื่อยๆ แต่ความจริงพี่เขาก็หื่นๆ ด้วยคำพูดเป็นพักๆ เราก็คิดเขาจะมองเราไม่ดีป่ะวะแบบนี้ เพราะพูดออกว่าแบบเหมือนเราชอบเที่ยว กินเหล้า กินเบียร์ ซึ่งเอาตรงไหนมองว่าเราเป็นแบบนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เราก็ไม่ค่อยสนเท่าไหร่ เพราะแบบเจอกันผ่านๆ นี่แหละ แต่สรุปหลังยืนมองอยู่นาน จนพี่เขาเดินไปที่รถแล้วเหมือนเหลือบๆ มา เราเลยเดินตามไป จนพี่เขาขึ้นรถ เราก็ยืนอยู่แถวๆ ที่จอดรถแบบลังเล จนพี่เขาออกรถมาจอดแถวข้างหลัง เราก็ยืนลังเล เพราะไม่รู้จัก ใครก็ไม่รู้ แต่ถ้าไปรอ 514 คือเคยไปรอหลายครั้งที่มาดูหนังรอบดึก เวลานี้ต้องรอถึงเที่ยงคืนกว่า ตี 1 ก็เดินผ่านท้ายรถเขาแบบลังเล ตอนเปิดประตูก็ถามพี่เขา มันง่ายไปมั้ย แบบคืออยู่ๆ ไม่รู้จัก เราไปขึ้นรถไปกับเขา มันง่ายไปมั้ย รู้จักก็ไม่รู้จัก ไว้ใจได้มั้ยก็ไม่รู้ พี่เขาก็พูดไรสักอย่าง จำไม่ได้ แบบก็ไม่ได้มีไร เราก็มองไปรอบๆ แล้วตัดสินใจขึ้นไป แบบคิดว่าพี่เขาไปเส้นลำสาลี เผื่อเราจะลงลำสาลีซึ่งจะมี 168 และ 519 ผ่านอยู่ พี่เขาก็ตรงเข้าเส้นศรีนครินท์เลย

    พี่เขาก็บอกจะไปกินข้าวก่อน และถามเราว่าแถวนี้ร้านไหนอร่อย เราก็บอกไม่รู้ พี่เขาก็บอกเราเหมือนชอบเที่ยว เราก็บอกไม่ใช่ และไม่รู้ว่าร้านไหนอร่อยแถวนี้ด้วย พี่เขาก็ขับไปเส้นลาดพร้าว เราก็ถามจะไปทานที่ไหน เขาก็บอกซอยมหาดไทย เราเห็นเขาขับไปเรื่อยๆ ก็ชักไม่ไว้ใจ เพราะกลัวไปซอยมืดๆ แม้รู้มหาดไทยก็ไปโผล่แถวรามได้ แต่เราไม่เคยผ่าน ก็คิดว่าเมื่อกี้ตอนเดินผ่านหลังรถน่าจะถ่ายทะเบียนรถไว้แล้วส่งให้น้องหรือโพสต์แบบไม่มีไรใน Fb เผื่อไว้ คือเราไม่รู้เขาเป็นไง แต่ไม่ได้บอกตัวเองหน้าตาดีจนใครอยากเอาไปข่มขืนเหมือนกัน แต่อาจ เฮ้ย เหงา เลยเอาไว้แก้ขัด แบบคว้าใครได้แบบนี้ ใครจะรู้

    เราก็ถามขับอีกไกลมั้ย เพราะชักไปไกล เราอยากรีบกลับบ้าน และนี่รถเขา เขาก็บอกซอยมหาดไทย ไม่รู้จักเหรอ ไฟเขียวข้างหน้า เราก็เออออ แต่ตอนนั้นนึกถึงใครอีกคนจริงๆ บางทีเราอ่ะอยากรู้จักความรู้สึกตัวเองชัดๆ เพราะการนึกถึงใครสักคน เราแค่มันเป็นความรู้สึกอะไรที่เก็บไว้ ผูกพัน นึกถึง จดจำและอาจแค่นั้นก็ได้ ไม่ใช่ชอบหรือรักหรืออะไร เราก็เลยคิดถ้าคนที่เรานึกถึงมานั่งแทนพี่หัวล้านคนนี้ และเราอยู่ตรงนี้ เป็นเขาที่พูดกับเราอยู่ตรงนี้ เราจะรู้สึกอะไรมั้ย เอาความรู้สึกเราจริงๆ เราอาจจะแค่รู้สึกว่าเราเป็นแค่คนรู้จักหรือเป็นเพื่อน พี่น้องก็ได้ถ้าสมมติเรารู้จักและเขามาอยู่ตรงนี้จริงๆ และที่เรานึกถึง ตัดไม่ขาด อาจเป็นเพราะมันอาจมีอะไรติดอยู่ตรงนั้น จุดนั้นที่เราแก้ไขไม่ออก แต่ความจริงไม่ว่าใครๆ ถ้าเขาดีกับเรา แล้วยังจะดีกับเราอยู่ แม้ไม่รู้จัก หรืออาจไม่มีวันรู้จัก หรือเราทำอะไรพลาดไปเอง หรือมันอาจเป็นแค่เรื่องเล่น ขำๆ สำหรับใคร แต่การที่ใครเขาดีกับเรา เราก็ดีกับเขาแม้เราอาจดูเหมือนไม่สนใจ แต่ใครไม่ดีกับเรา ทำเราคิดมาก ทุกข์ใจด้วยความคิด คำพูด ความเข้าใจด้วยเจตนาไม่ดี เห็นความทุกข์ เสียใจ ความผิดหวังคนอื่นเป็นแค่เรื่องขำๆ สนุกๆ เอาไว้นินทา เราก็ด่า แช่ง เวรกรรมอาจไม่มีจริงสำหรับคนอื่น มีแค่ความเกลียดของเราซึ่งไม่จำเป็นต้องมีใครสนใจก็ได้ บอกตรงๆ ไม่ว่าเพราะเหตุผลใด เราก็ไม่เคยมีแฟนหรือใครมา 33 ปี และบางอย่างคือเรื่องที่ติดในใจเรามาตลอด อาจเป็นความผูกพันแบบไม่มีตัวตน แต่เราไม่เคยไปยุ่งไรกับใคร หลายทีก็ไม่มองด้วยซ้ำ แต่เป็นสิ่งที่ติดในใจ ความผูกพันที่ยาวนานอยู่มา แม้ทั้งชีวิตอาจจะไม่มีวันรู้จักกันก็ได้ และเราก็เจอเรื่องที่ทำพลาด แล้วทำให้เสียใจผิดหวังกับการกระทำตัวเองที่ทำให้เสียๆ หลายๆ อย่างไป พอๆ กับการที่พบเจอคนอื่นๆ ที่ทำเฮี้ยๆ กับเราให้ทุกข์ใจ คิดมาก เพราะคำพูด ความคิด ความเข้าใจ คือเห็นคนอื่นแย่กว่าตัวเอง ทุกข์ เสียใจ เป็นบ้า ผิดหวังมากกว่าเดิม คงดีใจและมีความสุขมากที่ได้อยู่เหนือคนอื่นจริงๆ นานาจิตตัง คนเราร้อยพ่อพันแม่ หลากหลายสันดาน ที่ดีก็ดี ที่เฮี้ยก็เฮี้ย แค่นั้น....แต่หลายทีคือ เราอ่ะจะหางานทำมั้ย
    หลากหลายโอกาสในอดีต แต่เราก็รู้ "คนไม่ชอบเราเยอะ" แบบนิสัยสันดานแบบนี้ ก็รู้ไม่ใช่ไม่รู้


    ระหว่างก็ถ่ายภาพไว้ ตอนแรกว่าจะส่งให้น้องแต่ไม่เอาดีกว่า  แต่ตอนคุยก็เหมือนเพื่อน คนรู้จักคุยกัน แม้ดูๆ พี่เขาจะหื่นๆ เป็นพักๆ ก็ไม่ได้ไว้ใจแต่ก็ไม่คิดไร ก็ไม่ได้ไร้เดียงสาไร แก่ใกล้ตาย 30 กว่าแล้ว ก็ดูว่าจะพาไปไหน พี่เขาก็เลี้ยวมาซอยนึงแต่แค่ต้นๆ ซอย ระหว่างทางก็บอกหิวๆ ตลอด ก็มาจอดที่ร้านก๋วยเตี๋ยวชายสี่ เราอยากเข้าห้องน้ำมาก รีบลงไปถามคนขายมีห้องน้ำมั้ย คนขายบอกไม่มี เรามองไปรอบๆ ก็ไม่มีห้องน้ำ โรงพยาบาลฝั่งตรงข้ามก็ปิดไฟเงียบ ลองถามคนขายอีก เขาก็บอกลองถาม 7/11 พี่หัวล้านก็บอกไปถาม 7/11 เราก็เลยไปถามพนักงาน 7/11 ว่าอยากเข้าห้องน้ำมาก น้องเขาก็ใจดีให้เขา ออกมาจาก 7/11  เราก็แอบถ่ายรูปรถและป้ายทะเบียนพี่เขาไว้ เด็กวัยรุ่นแถวนั้นก็เหมือนพูดว่าถ่ายไรวะ คือเราไม่ได้ตอบไร แต่ในใจคืออยากเสือก ไม่ได้ถ่ายภาพมรึงแล้วกันอย่างหลงตัวเอง แล้วเดินมานั่งโต๊ะพี่เขา พี่เขาก็บอกให้สั่งเดี๋ยวเลี้ยง แต่เราไม่กิน พี่เขาบอกกินข้าวก็ได้ เราก็ไม่เอา เดินไปตักน้ำ ตอนแรกว่าจะตักแก้วเดียว แต่เมื่อกี้เป็นพี่เขาไม่มีแก้วน้ำก็เลยตักมาให้ ก็นั่งมองพี่เขากินๆ คุยบ้าง ตอนแรกพี่เขาบอกจะไปหากระเพรากินต่อแบบหิวมาก ตอนเข้าโรงหนังเหมือนเวลาไม่พอก็เลยไม่ได้กินข้าว แต่เราไม่เอา พี่เขาก็ถามกินขนมปังมั้ย เราก็ไม่กิน ตอนขับรถมา พี่เขาก็บอกซอยนี้ผับบาร์เยอะมั้งแต่ก่อน คือเราไม่แน่ใจ เพราะไม่เคยมา เราก็บอกอยากกลับบ้าน พี่เขาก็ไม่ได้ไรต่อ กินเสร็จจ่ายเงิน ขึ้นรถ เราก็ลังเลว่าจะกลับเองหรือขึ้นรถ ก็พูดกับพี่เขาอีกรอบ คือเราบอกพี่เขาส่งเราที่ลำสาลีได้ แล้วพี่เขาตรงไปศรีนครินท์เลย แต่พี่เขาบอกส่งถึงบ้านได้ แต่เราคือบอกไม่ต้อง 

    ตอนออกจากซอยคือมีทางเลี้ยวที่น่าจะตรงไปได้แม้มีรถเลี้ยวจากอีกฝั่งถนน แต่พี่เขาขับเลยไป แต่คุยแบบคนรู้จัก เพราะตั้งแต่ออกจากเดอะมอล์ พี่เขาก็เรียก "แก" อย่างนั้นอย่างนี้ ก็ถึงเพิ่งรู้จักและอาจไม่รู้จักกันอีกหลังจากเราลงรถ ก็ถือว่าคุยกันแบบเพื่อนๆ แต่พี่เขาก็ดูหื่นเป็นพักๆ จากประโยคที่พูด ตอนเลี้ยวรถหลังจากเรามองว่าจะได้เลี้ยวเมื่อไหร่ พี่แกก็จับมือเราอย่างไวอีก เราก็เอามือออก พี่เขาก็บอกเหมือนเราว่าหนาว คือเมื่อกี้ถอนหายใจว่าเมื่อไหร่จะกลับรถสักที เขาก็ถามอายุเรา เราก็บอก 30 กว่าแล้ว พี่เขาก็บอกนึกถึง 25 - 26 แบบพื่งเรียนจบ เราก็บอกหน้าเด็กดีกว่าหน้าแก่ ไม่อยากให้ใครเรีียกว่า "ป้า" เขาก็ถามเรื่องแฟน เรื่องสเป็ค เราก็บอกไม่มี แล้วแต่เราจะชอบใคร เขาก็บอกแบบเขาก็ไม่มีแฟน ทำงานกลางวัน ไม่เจอใคร ผู้หญิงก็ทำงานกลางวัน เราก็บอกให้พี่เขาเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ แบบที่เห็นพูดๆ มา แม้พูดกับเรา แบบผู้หญิงเที่ยว กินเหล้า หรือตอนที่ร้านก๋วยเตี๋ยวแบบกินเบียร์มั้ย แบบเราน่าจะชอบดื่ม คือให้พี่เขาเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ไปในแบบอื่นๆ เผื่อเจอผู้หญิงในแนวอื่นๆ ที่พี่เขามองหา อยากสร้างครอบครัวด้วย แต่ไม่ได้บอกผู้หญิงเที่ยวๆ จะไม่ดี คือแบบอาจจะเลิกงานเลยมาเที่ยวต่อก็ได้ หรืออย่างที่พี่เขาบอกขายพวกของตกแต่ง อุปกรณ์มอเตอร์ไซด์ ลูกค้าไม่มีเหรอ พี่เขาก็บอกมีแต่อุ้มลูกมา เราก็บอกผู้ชายน้องๆ หรือแบบผู้ชายๆ ลูกค้า เราไปคุยรู้จักเขา เขาอาจแนะนำใครให้ก็ได้แบบรู้จักผู้หญิงคนไหน โสดๆ ว่างๆ พี่เขาก็บอกมีแต่แว๊นๆ แบบพวกเขาเองยังหาไม่ได้ หรือมีก็แบบซ้อนกันมา แต่เราก็บอกคือโสดมา 30 กว่าปีก็ไม่หวังไรแล้ว คือโฟกัสเรื่องงานและเงินเพราะตกงานอยู่ พี่เขาก็ถามแบบทำงานโฮสเทลไม่คบกับใครเหรอ เราก็บอกโฮสเทลเล็กๆ พี่เขาก็บอกคบไปกับใครสักคน เราก็บอกไม่มีไง พี่เขาก็บอกตัวเองมีพร้อมงาน เงิน แต่ขาดเรื่องนี้ แล้วก็ถามเราไม่มีเพื่อนเหรอ เราก็บอกไม่ได้ คือรุ่นเดียวกันก็แต่งงานมีลูก หรือทำงาน พี่เขาก็บอกเขาก็เหมือนกัน แบบแต่ก่อนไม่มีครอบครัวกันก็ไปเที่ยวด้วยกัน ตอนนี้มีครอบครัวก็อยู่กับครอบครัว แล้วพี่เขาก็บอกว่าหรือจะไปฟิตเนสดี เราก็เห็นด้วยแบบจะได้เจอผู้หญิงแบบเฮลตี้มาออกกำลังกาย พี่เขาก็บอกแพงและจะเจอแต่ผู้ชาย แต่เราก็บอกผู้หญิงก็ไปเยอะ พี่เขาก็ถามผู้หญิงมีสเป็คผู้ชายยังไง เราก็บอกแล้วแต่คนแหละ ส่วนสเป็คผู้ชายสำหรับเราไม่มี เราชอบใครก็คนนั้น แต่ไม่ใช่แค่เราโสด เราก็มีเพื่อนโสดแบบเรานี่แหละ แต่เขาทำงานของเขาไม่เจอใคร เจอก็แต่ลูกค้าผู้หญิง ก็ไม่แปลกอะไร คือผู้หญิงเดี๋ยวนี้โสดเยอะมาก

    ตอนจะเลี้ยวเข้าเส้นถนนที่ไปบ้าน เลยลำสาลีไปแล้ว ใกล้ถึงแยกที่มีพระพรหม เขาก็บอกซ้ายใช่มั้ย เราบอกขวา...เขาก็บอกเราอยู่แถวนี้จริงป่ะเนี่ย..แต่เรางงว่าเขารู้จักมั้ย น่าจะรู้ว่าเส้นที่เราไปต้องขวา แต่เลี้ยวแรกเล็กๆ ห้ามเลี้ยว ไปเลี้ยวสองบ้านม้า คือไม่ได้เลี้ยวนี้ไปไกล เลยไปนู้นเลย ไม่แน่ใจวงแหวนมั้ย เกรงใจ รถไปติดไฟแดง ดูป้ายแบบห้ามเลี้ยวมั้ย แต่เขาบอกดูเวลาคือเลี้ยวได้ ก็ดี...คือจุดนั้นดูเฮียเขาดูหงุดหงิด เราก็ไม่อยากให้ไกลกว่านี้เพราะไม่คุ้นทางที่ตรงไป อยากกลับบ้านและไม่อยากเสียเวลาเขาด้วย

    ความจริงพี่เขาพูดว่าพี่เขามีพร้อมแบบเรื่องงาน งาน เขาขายชุดตกแต่ง อุปกรณ์มอเตอร์ไซด์ แต่ไม่รู้นะว่าเจ้าของหรือลูกจ้าง ไม่ค่อยตั้งใจฟัง แล้วพี่เขาบอกไม่มีใคร อยากหา เราก็บอกพี่เขาเปย์อะไร แต่ผู้หญิงสมัยนี้ก็ไม่รู้รักเราที่เราหรือรักที่เงินเรา อยากสบายก็มีเยอะแยะ เหมือนเราเตือนพี่เขา เปย์ไปได้ แต่ผู้หญิงเขาจะรักจริงมั้ยอีกเรื่อง แต่มาคิดทีหลังคือเผือกแหละ แต่มาคิดอีกที ผู้ชายหลายคนที่มีเงินก็เปย์เพื่อสิ่งที่เขาต้องการอ่ะนะ วินวินกันไป อย่างผู้หญิงได้เงิน ได้ของ ได้สิ่งที่ต้องการ ผู้ชายได้ตัวแบบนี้

    พี่เขาก็บอกโครงหน้าเราดี ไปทำอาจดีขึ้น สวยขึ้น แบบทำผม ดูดสิว เราก็ขำแบบดูดสิวเลย มีบอกแบบตัดฟัน ทำนมด้วย คิดราคาแบบห้าหมื่น แสนนึง เผื่อมีคนสนใจบ้าง เราก็บอกแสนนึงคือเก็บเงินไว้กินดีกว่ามั้ย แต่โฟกัสที่งาน เงินจริงๆ แม้ตกงานหางานทำไม่ได้แบบเจ็บปวดใจ เพราะเราเชื่อว่าเราอยู่ได้ด้วยตัวเองเหมือนที่เราเคยอยู่ พูดแล้วก็เครียด ถ้ามีงานและเงิน จิตใจเราอาจเข้มแข็งกว่านี้ แต่เราอยู่คนเดียวมา 33 ปี เราเชื่อว่าเราอยู่ได้ถ้าฐานเรามั่นคงพอ แต่เราก็พลาดโอกาสหลายอย่างไปเพราะตัวเราเองแหละ แต่เรากลัวผู้ชายแบบในแง่คนอื่นเข้าใจผิด มองเราไม่ดี ทั้งที่ก็ขึ้นคานแล้วไง จะเอาอะไรอีกและอคติกับคนจริงๆ ในหลายๆ ครั้งแบบเอาประสบการณ์แย่ๆ มาทำให้รู้สึกและคิดแย่ๆ แง่ลบ รวมถึงสันดานที่แก้ไม่ได้ด้วย สุดท้ายชีวิตก็ไม่เหลือใครและเหลืออะไรเพราะตัวเอง มาเสียใจก็ทำไรไม่ได้

    ตอนพูดเรื่องศัลยกรรมไร พี่เขาก็พูดถึงหนังเรื่องนึงแต่เขาบอกจำชื่อเรื่องไม่ได้ ที่นางเอกอ้วนมากแล้วไปศัลยกรรมให้รูปร่างดี แล้วมาเจอหมอคนที่ชอบหรือมีความเกี่ยวพันธ์ไรสักอย่าง จำที่เล่าได้ไม่หมด แต่ตอนหลังๆ นางเอกก็อยากกลับไปอ้วนเหมือนเดิม เราก็พูดคืออยากเจอคนที่รักเราที่เป็นเราไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอกใช่มั้ย พี่เขาก็บอกใช่ แต่ก็จำชื่อเรื่องไม่ได้

    เราให้พี่เขาจอดก่อนถึงหมู่บ้านเราป้ายนึง พี่เขาก็จอด ก่อนถึงจุดนั้น พี่ก็บอกน่าจะออกเส้นบางนาตราดได้ ก็ไม่รู้ตอนนั้นคุยติดลมมั้ย เราก็ไม่มีเพื่อน ก็เลยขอไลน์แล้วกัน ตอนแรกพี่เขาบอก ID มาแต่เสิร์จไม่เจอ เราเลยบอก QR CODE แล้วกัน แต่พี่เขาบอกเข้าโรงหนัง ปิดมือถือ แล้วก็นั่งรอไปแบบกว่าจะเปิดมือถือได้ เราก็บอกคือเครื่องเราก็ไม่ได้แพงอ่ะนะ ยังเปิดเครื่องเร็วกว่านี้เยอะ พี่เขาก็บอกเราใช้ซัมซุงใช่มั้ย แบบเครื่องดีกว่า เราก็แอบคิด คือรถก็ดีอ่ะนะ แต่มือถือกากไงไม่รู้ ตอนรอเครื่องเปิด พี่เขาก็บอกเดี๋ยวว่างๆ นัดกินข้าว เดี๋ยวพี่ออกให้ แบบถ้ามีปัญหาเรื่องเงิน คือเราก็บอกว่าไม่ต้อง เพราะเราออกเองได้ ไม่ได้สนิท พี่เขาก็บอกแบบเคยไปกับใครแล้วเหมือนเขาจะมานั่งคิดว่าต้องจ่ายมั้ย พี่เขาเลยออกตัวก่อนจ่ายให้ได้ เราก็บอกไม่ต้อง แต่พี่เขาคงเหงาอาจหาใครสักคนจริงๆ แหละ ก่อนเราลงรถยังถามว่าหอมได้มั้ย เราก็มองหน้าแบบให้พูดใหม่ พี่เขาก็บอกหอมได้มั้ย เราก็บอกไม่ พี่เขาก็บอกแค่ล้อเล่น คือเห็นเราเป็นน้องไงแบบนี้ พี่เขาก็บอกมีเพื่อนผู้หญิงคนไหนว่างก็บอกมาบ้าง แต่ความจริงเราไม่มีหรอกแต่ไม่ได้พูดไป พี่เขาก็บอกมีเพื่อน แต่เป็นม่าย พี่เขาก็บอกการมีใครสักคนก็เหมือนช่วยให้ตัวเองมีกำลังใจในชีวิตหรืออะไรประมาณนี้ คือเราไม่รู้จักเขาและไม่รู้เขาเป็นอย่างไรหรอกนะ ที่ว่างไม่มีใครก็ไม่รู้ไม่มีจริงไม่จริง แต่ก็ช่วงเวลาหนึ่ง แม้หลายๆ ประโยคๆ หลายๆ ช่วงดูหื่นๆ หรือมองเราไม่ดีมั้ย แบบชอบเที่ยว ชอบดื่ม ทั้งที่เราไม่ได้ทำไรสื่อไปทางนั้น หรือพูดไรแนวหื่นๆ แต่เราก็ 30 กว่าแล้วก็ไม่ได้สนใจไรเท่าไหร่ และไม่รู้จะติดต่อกันอีกใหม่ แต่แค่รู้สึกมีเพื่อนเพิ่มก็ดี แต่ไม่ติดต่อกันอีก เราก็ไม่ได้จะอะไร และที่เราพิมพ์ๆ จนตี 3 ทั้งที่ตี 5 ต้องออกไปทำงาน คือเราแค่นึกถึงใครก็แค่นั้น แต่อาจเป็นใครที่เราไม่มีวันรู้จักกัน แต่ถ้ายังดีต่อกันก็ยังดีต่อกัน แต่เรามีเรื่องทุกข์ เครียด มากกว่าแล้ว คิดมากเราไม่อยากมารับคำพูด ความคิด ความเข้าใจ คำนินทาสนุกปากจากใครอีก คือเราอาจพูดไม่ดีหลายอย่าง แต่หลายๆ คนก็ใช้ความคิด คำพูด ความเข้าใจทำร้ายเราโดยไม่สนใจว่าเราจะคิดและรู้สึกไงเหมือนกัน คือชีวิตมีคนดีดี มิตรภาพเข้ามา ถ้าเราไม่ดีอะไรกลับ เฉยๆ เรามาคิดย้อน เราเสียใจจริงๆ ที่ทำแบบนั้น แต่ถ้าใครไม่ดี เราก็ไม่ดี

    เดินข้ามสะพานลอยเดินผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวที่เคยมีปัญหาหลายวันก่อน เหมือนได้ยินคำพูดลอยลมแบบ"มาอีกแล้ว" ซึ่งเราอาจหูแว่วไปเองหรือไม่ได้หมายถึงเรา แต่เราคงไม่ไปร้านนั้นอีก แม้เป็นร้านเดียวที่เปิดตอนดึกๆ อย่างเรากลับมาตอนห้าทุ่มเที่ยงคืน หลายๆ เรื่องที่เกิดที่นี่ และป้าเจ้าของร้านที่บางที เราไม่ชอบเขา

    จบไปอีก 1 วัน กับอนาคตที่มองไม่เห็น การคิดถึงคือคิดถึง แล้วก็ละลายหายไปเท่านั้น หลายๆ อย่างในชีวิต เราไม่อยากทุกข์ใจ เครียด คิดมากอีกโดยเฉพาะที่มาจากคำพูด ความคิด ความเข้าใจคนที่เราไม่เคยไปทำอะไรให้ ส่วนชีวิตก็ตกงานไม่มีเงินต่อไป แต่หนีไปไหนก็หนีความจริงไปไม่พ้นหรอกจริงๆ

    เมื่อกี้ก่อนนอน เปิดมือถือเจอไลน์เด้ง "วันนี้เจอมิตรเพิ่มอีกคน" จากพี่คนนี้...ก็ยินดีที่เจอมิตรใหม่ๆ แหละนะ แม้จะเจอกันคือแค่แบบมานั่งแถวเดียวกันในโรงหนังที่มีแค่ 4 คน และมาคิดดูคือทำบ้าไร คือจะว่ามิตรก็ไม่เชิง ออกลวนลามในโรงหนังด้วย แต่อารมณ์ความรู้สึกตอนนั้นไม่แข็งแรงสุดๆ ซึ่งถ้าเป็นช่วงเราเข้มแข็งๆ มั่นคง เราอาจทำสิ่งที่แตกต่างหรือขยับหนี แม้คือเขาเข้าหาเราเพราะมีเราแค่คนเดียวตรงนั้นก็เถอะ แม้ตอนหลังในรถ พอคุย มันก็คุยกันได้เรื่อยๆ เพราะก็คงไม่เจอกันอีก เราไม่อยากให้ใครมองไม่ดี ปกติไม่กล้ายุ่งกับใครเท่าไหร่ แต่ไม่ได้คิดไรจริงๆ...หลายเรื่องแย่ๆ ในชีวิต คิดมาก เครียด เจ็บปวด ผิดหวัง ทำตัวเอง แต่จุดตรงนั้น ไม่ได้คิดไร คุยก็คุย..แต่มานอนนึกคือก็ทำเรารู้สึกผิดกับคนในอดีตที่เคยดีกับเรา มีรอยยิ้ม มิตรภาพให้เรา แม้ตอนนี้อาจเลือนหายไปหมดแล้วก็ได้จริงๆ...แต่ในชีวิตจริงอีกด้าน เราก็ทุกข์ เครียด คิดมาก ประสาทกินเพราะคำพูด ความคิด ความเข้าใจของคนอื่นมาเยอะเหมือนกัน
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in