เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Life Is Just a Bowl of Cherriesdelilah
day three: roasted human body
  • วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2561



    ข้าพเจ้าไม่แน่ใจนักว่าผู้คนทั่วไปมองลิลิเบธด้วยความรู้สึกใด
    แต่สำหรับข้าพเจ้า หล่อนน่าสนใจมากเลยทีเดียว



    ลิลิเบธเป็นหญิงสาววัยยี่สิบต้น ๆ ร่างกายจะว่าดูบอบบางก็ไม่ใช่ กำยำก็ไม่เชิง คาดเดาไม่ได้ หัวไหล่จรดปลายเท้าถูกปกคลุมภายใต้ชุดกระโปรงผ้าไหมยาวระพื้น หล่อนดูร่าเริงผิดปกติขณะจัดช่อแวววิเชียรลงขวดเหล้าเปล่าข้างทีวี จ้องมองการกระทำนั้นอยู่เพลิน ข้าพเจ้ายอมรับว่านอกจากความสนใจ ข้าพเจ้ายังรู้สึกหลงเสน่ห์หล่อนเข้าอย่างจัง

    “ตามฉันมาสินะคะ”

    ลิลิเบธเอ่ยขึ้นโดยที่สายตายังจดจ่อกับรากดอกแวววิเชียร
    ข้าพเจ้าไม่ตอบอะไร

    “ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”

    แม้จะยังไม่แน่ใจนัก ว่าหล่อนแค่พูดลอย ๆ หวังให้ข้าพเจ้าได้รับฟังตามข้อความในสูจิบัตร หรือพูดเพราะสัมผัสได้จริงถึงร่างของข้าพเจ้าซึ่งนวยนาดจ้องกลางกบาลหล่อนอยู่กันแน่ มนุษย์สัมผัสวิญญาณได้จริงหรือ ข้าพเจ้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง อย่างไรก็ตาม เรื่องราวที่หล่อนชวนสนทนาเป็นสิ่งที่ค่อนข้างชัดเจนว่าคุยกับข้าพเจ้า แถมเป็นเรื่องราวอันคุ้นเคย เพียงวันนั้นเป็นครั้งแรกที่ได้ยินจากปากเจ้าหล่อนเอง

    “ว่าแต่— ฉันตกใจมากเลยนะคะ ที่คุณมีแรงปรารถนาอยากตายสูงขนาดนี้ ถ้ารู้ ฉันอาจจะช่วยเหลือคุณ”

    หล่อนหัวเราะคิกคัก

    “แต่คุณคงไม่ชอบใจนัก ฉันมองเห็นความคิดคุณแล้ว คุณนี่โลกแคบจริงเชียว ฉันขอแย้งอย่างสุดใจเลย เรื่องการตายของคุณคือศิลปะชิ้นเอก การฆ่าที่ไม่ได้หลั่งเลือดแม้กระผีก ดูอย่างไรก็เป็นผลงานที่ขาดทั้งรสชาติและรสนิยม”

    พูดถึงตรงนี้ข้าพเจ้ารู้สึกอยากผวาไปตบปากเจ้าหล่อนสักครั้ง


    *

    ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่ามีชาวเมืองกี่คนที่รู้ว่าลิลิเบธเป็นบุคคลที่หมกมุ่นมัวเมากับคดีฆาตกรรม แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าไม่มี หากถามว่าเจ้าหล่อนมัวเมาขนาดไหน ก็ขนาดที่ว่าความคิดของลิลิเบธนั้นถูกอัดแน่นไปด้วยความอยากเป็นฆาตกรที่ยิ่งใหญ่อยู่ตลอดเวลา ความฝันใฝ่แรงกล้านี้ถูกเติมเต็มด้วยแผนฆาตกรรมมากมายซึ่งถูกวางขึ้น และสองแผนที่ลงมือทำจริง

    เมื่อหกปีก่อน ขณะที่ข้าพเจ้ายังดำรงชีพเป็นศิลปินในเมืองใหญ่ ได้คบค้าสมาคมอยู่กับเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นนักเขียนนวนิยายแนวสืบสวน ก่อนการลงมือเขียนทุกครั้งเขาจะลงพื้นที่เพื่อไปหาแรงบันดาลใจตามรัฐต่าง ๆ ทั่วประเทศ ปีนั้นเขาตัดสินใจเดินทางไปตอนใต้ แต่ในระหว่างเดินทางต้องแวะพักที่วอลลายครีก ซึ่งชักนำให้เขาได้พบกับคดีฆาตกรรมหนึ่งซึ่งกำลังจะถูกปิดไปด้วยเหตุผลบางประการ


    'ศพถูกโกนขนออกตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า เล็บทั้งยี่สิบถูกเลาะทิ้ง ดวงตาถูกควัก ก่อนตายศพถูกทำความสะอาดขัดถูอย่างพิถีพิถัน มีการผ่าเปิดช่วงสีข้างเป็นทางยาวเพื่อคว้านเอาเครื่องในออก มีการยัดสมุนไพร ดอกไม้ และของหอมเข้าไปเป็นจำนวนมาก ก่อนศพทั้งร่างจะถูกเย็บปิด ชโลมด้วยเนย และขึ้นเตาย่างช้า ๆ เหนือกองไฟข้างป่า ทุกขั้นตอนถูกเตรียมการอย่างพิถีพิถันและเอาใจใส่ มีการจัดจานกระเบื้องกว่าสิบใบรอบกองไฟเหมือนเชิญชวนให้มารับประทานด้วยกัน'


    นั่นคือคำอธิบายในจดหมายที่เขาส่งมายังข้าพเจ้า ท่าทางหมอนั่นจะให้ความสนใจเป็นอย่างมากแก่คดีนี้ เพราะนอกจากการเขียนนวนิยาย สหายคนนี้ยังมีความใคร่ด้านคลี่คลายคดีฆาตกรรม ใฝ่ฝันอยากทำตัวเป็นนักสืบ เที่ยวดมกลิ่นไปทั่ว ซึ่งโชคเข้าข้างที่ไม่มีใครเข้ามาขัดขวาง คดีใหญ่ขนาดนี้ไม่ใช่ว่าตำรวจไม่ให้ความสนใจ แต่อีตานายอำเภอฮีท ฮาวส์กินนั่นล่ะ กลัวซะเหลือเกินว่าฆาตกรจะไม่ใช่คนอื่นคนไกล กลัวพบปลาเน่าแล้วพาลเหม็นไปทั้งข้อง จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีข่าวถูกโพนทะนาไปทั่วว่าวอลลายครีกมีฆาตกรเดินท่อม ๆ เที่ยวย่างสดนักท่องเที่ยว จากดินแดนกันดาร คงกลายเป็นเมืองร้างอย่างสมบูรณ์ที่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ นี่ยังไม่รวมโครงการในอนาคตที่จะยกระดับวอลลายครีกให้เป็นสวรรค์ของการหนีจากเมืองใหญ่อันวุ่นวาย มาสู่ชนบทแสนสงบ ซึ่งฮีทไม่อยากเสี่ยงให้โครงการถูกพับเพียงเพราะนักท่องเที่ยวศพเดียว คดีจึงถูกลงข่าวไปว่าเป็นการฆาตกรรมโดยคนต่างถิ่นซึ่งมีความแค้นส่วนตัวกับผู้ตาย ตำรวจก็ทำการเก็บหลักฐานแบบลวก ๆ ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

    อันที่จริงหากตำรวจได้ลงพื้นที่สืบคดีอย่างจริงจัง คดีนี้จะถูกปิดในระยะเวลาอันรวดเร็ว เพราะคนร้ายได้ทิ้งหลักฐานชิิ้นหนึ่งเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่ยากเลยสำหรับนักสืบสมัครเล่นที่จะตามรอยจนพบกับลิลิเบธในวัยสิบเจ็ดปี แต่อย่างที่บอก สหายของข้าพเจ้าเป็นเพียงนักเขียนที่มีความสนใจในคดี ไม่ได้มีประสงค์จะเปิดโปงความลับ ฉีกหน้ากากคนเลว ทำตัวเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมหรืออะไร เขามีความสุขกับการสืบให้ทราบความจริงเท่านั้น เขาได้ขอสนทนากับลิลิเบธเพราะอยากศึกษาเธอให้มากขึ้น หมอนั่นเก่งนักล่ะเรื่องการพูดโน้มน้าวจิตใจ จนกระทั่งลิลิเบธตกลงเป็นเพื่อนกับเขา และยอมเผยเป้าหมายที่เธอวางไว้ 

    พวกเขาใช้เวลาร่วมกันมากมายในการพูดคุย การเดินเล่นในตังเมืองพร้อมถกปัญหาต่าง ๆ จนวันที่เขาต้องย้ายกลับมาทำงานในเมืองใหญ่ เรื่องราวของลิลิเบธจึงได้ถูกเล่าต่อให้ข้าพเจ้าฟังอย่างละเอียด แน่นอนว่าข้าพเจ้าให้ความสนใจเป็นอย่างมาก แต่หมอนั่นกลับไม่ยอมปริปากถึงข้อมูลส่วนตัวว่าเธอเป็นใคร มีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร เขายืนกรานว่าถ้าหากข้าพเจ้าอยากได้อัญมณีชั้นเลิศ อย่างน้อยข้าพเจ้าก็ควรลงแรงตามหาเอง แต่เนื่องด้วยภารกิจติดพันหลายอย่าง จึงไม่มีโอกาสได้สืบค้นเสียที จนกระทั่งสองปีให้หลัง ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจลาออกจากงาน พร้อมย้ายถิ่นฐานไปวอลลายครีก ข้าพเจ้าเชื่ออย่างสุดหัวใจที่จะตามหาตัวลิลิเบธ อัจฉริยะตัวน้อยที่แสนมีค่า และพูดคุยเพื่อร่วมสร้างผลงานทางศิลปะอันยิ่งใหญ่กับเธอ นั่นคือความปรารถนาที่ข้าพเจ้าท่องซ้ำไปมาในวินาทีที่ไวน์พิษแตะริมฝีปากก่อนหมดลมหายใจ
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in