เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
The lost horizonmahtatar
เรื่องบ้าบอ
  • 1.
    วันแรกที่ก้าวเท้าเหยียบแผ่นดินจีน สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือความหนาวยะเยือกที่ปะทะหน้าเข้ามาตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากเครื่องบิน มันไม่ใช่ความเย็นที่มาจากเครื่องปรับอากาศใดๆทั้งนั้น แต่มันคืออุณหภูมิของคุนหมิงที่ต้อนรับเราด้วยตัวเลข 10 องศา ต้นๆ (ที่ทำการบ้านมามันไม่ใช่แบบนี้นินาาาา) 

    เราประทับใจระบบเสียงอัตโนมัติของที่นี่มาก เพราะทันทีที่พาสปอร์ตเราแตะ เครื่องก็จะบอกขั้นตอนการสแกนนิ้ว ถ่ายรูปต่างๆด้วยภาษาของเราที่อ่านได้จากพาสปอร์ต ช่วยลดปัญหาการสื่อสารและเพิ่มความรวดเร็วได้มาก ประทับใจจิงๆ อยู่ในสนามบิน เจ้าหน้าที่ยังไม่พูดภาษาอังกฤษด้วยเลย แล้วออกไปข้างนอก จะรอดมั๊ย
    หลังจากที่ยืนปากสั่นรอตรวจคนเข้าเมืองด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เสร็จแล้ว เราสามคนก็เดินหาที่ซุกหัวนอน รอต่อเครื่องไปลี่เจียงพรุ่งนี้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน แต่เหมือนอุณหภูมิจะลดลงเรื่อยๆ จนต้องรื้อกระเป๋า ค่อยๆทะยอยงัดเอาเสื้อกันหนาวออกมาใส่ทีละตัวสองตัว นี่ขนาดอยู่คุนหมิงยังขนาดนี้ ไปถึงแชงกีล่าจะไหวมั๊ยวะ

    ด้วยความกลัวพลาด เราสามคนเลือกนอนใกล้เค้าเต้อเช็กอินมากที่สุด พอเค้าเปิดจะได้รีบพุ่งตัวไปเชคเลย กลัวตกเครื่อง นอนรอไปนอนรอมา ทำไมยังไม่เปิดซักทีวะ ไอสัส ย้ายเค้าเต้อไม่บอกกันซักคำ เชคอินแทบไม่ทัน เพื่อให้วิ่งหอบแดกไปถึงเกทแล้วพนักงานบอกว่า เปลี่ยนเกทค่ะผู้โดยสาร วิ่งกลับไปค่ะ ไปบัสเกทค่ะ โอ้โห เปลี่ยนเกทว่าเหนื่อยแล้ว ที่เหนื่อยกว่า คือบัสที่อัดคนไปแน่นจนแย่งอากาศกันหายใจ กับระยะทางไปขึ้นเครื่องที่ไม่รู้ว่าไกลไปไหน เล่นมุกประชดไปห้ารอบละแม่งยังไม่ถึงเลย เพิ่งรู้ว่าสนามบินคุนหมิงแม่งใหญ่สัสก็ตอนนี้เอง 

    เรามาถึงลี่เจียงกันตอนเช้า อากาศที่นี่ หนาวกว่าที่คุนหมิง คนขี้หนาวอย่างเรา มือเย็นจนแทบจะเป็นน้ำแข็ง ภาวนาให้ถึงที่พัก จะได้งัดเอาถุงมือกับผ้าพันคอมาโปะเพิ่ม
    แต่ก็เหมือนทุกๆครั้งน่ะแหละ โลกมันไม่ได้ใจดีกับเราเท่าไหร่ เพราะหลังจากลงบัสสนามบินที่มาเราทิ้งเราไว้ย่านเมืองเก่าแล้ว เราก็ยืนรอรถเมล์ (สายอะไรไม่รู้ จำไม่ได้) เพื่อจะต่อไปให้ถึงปากซอยที่พักเรา หลังจากรอปากสั่นอยู่นานเราก็ได้ขึ้นรถเมล์อย่างที่ตั้งใจ แต่ก็อย่างที่บอก โลกมันไม่เคยใจดีกับเราอยู่แล้ว เราต้องลากกระเป๋าบนพื้นขรุขระเป็นกิโล (อยากจะเขียนจดหมายถึงรัฐบาลจีนมากเลยว่า ให้ช่วยปูพื้นให้เรียบสำหรับเป็นทางลากกระเป๋าซัก 1 เลน สำหรับนักท่องเที่ยวงบน้อยอย่างเรา ที่ไม่มีเงินจ้างสามล้อขนกระเป๋าหน่อยได้ไหม (ทั้งๆที่ย่านนี้เป็นย่านที่พักทั้งนั้นเลย)) เพื่อที่จะค้นพบวันถัดมาว่า มันมีซอยที่ใกล้กว่า อยู่ข้างๆบ้านเลย 555

    หลังจากเข้าที่พัก เล่นกับน้องหมานิสัยดีน้ำลายยืดที่บ้านอยู่พักใหญ่ เราก็ออกมาหาข้าวกินกัน เป็นคล้ายๆก๋วยเตี๋ยว ที่ใส่เนื้อสัตว์มาให้เหมือนไม่เต็มใจ ในปริมาณที่แค่เคี้ยวก็ติดซอกฟันหมดก่อนจะได้กลืนลงท้อง 555 บอกเลยว่าไม่อิ่ม พาลโมโหหิวมาถึงตอนเย็น ที่ท้อใจจนจะร้องไห้ เพราะอยากกินผลไม้มาก แต่แม่งดันคุยกับคนขายไม่รู้เรื่องเลยได้ผลไม่ตัดชิ้นโง่ๆอะไรไม่รู้มากิน (ไม่เห็นเหมือนที่คนอื่นเค้ากินกันเลยล่ะคะ) พอจะไปกินอย่างอื่นก็ท้อใจเรื่องราคากับภาษา (ลี่เจียงเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ทุกอย่างแพ๊งงง แพง แพงจนไม่กินก็ได้วะ) เราก็จบชีวิตของตัวเองวันนั้น ด้วยมาม่าโง่ 1 ถ้วย ที่ซื้อไปตุนไว้กินพรุ่งนี้ก่อนไปเดินเขา อีก 1 ถ้วย นี่มันทริปอะไรกันโว้ยยย เหนื่อยยย!!!

    2.
    เหมือนเราจะไม่มีดวงกับการขึ้นรถเมล์
    ถ้าไม่รอนานสัส ก็คือขึ้นผิดฝั่งไปเลย

    วันสุดท้ายที่แชงกีล่า เรารอรถเมล์ไปวัดซงจ้านหลิน รอนานม๊ากก (มากจนแซวกันว่า สงสัยมีคันเดียว) เพื่อที่ยื่นหน้าเข้าไปในรถแล้วคนขับบอกว่า ขึ้นผิดฝั่ง ไปรอขึ้นฝั่งนู้นน อ่ะ ย้ายตูดกันไปรออีกฝั่ง เพื่อที่จะยื่นหน้าเข้าไปละเจอลุงคนขับคนเดิมกะเมื่อตะกี๊ยิ้มให้ สรุป ได้ไปซักทีนะวัดซงจ้านหลิน

    ขากลับจากวัด เรารอรถเมล์นานม๊ากกก นานจนแซวกันอีกแล้วว่า สงสัยจะมีรถเมล์คันเดียวจริงๆ พอก้มหน้าไถโทรศัพท์เท่านั้นแหละ เงยหน้าขึ้นมาเห็นรถเมล์เหลืองๆคุ้นๆ พอยื่นหน้าเข้าไปเท่านั้นแหละ ชัดเลยยย!!! มันมีรถเมล์คันเดียวแน่ๆ เพราะเจอลุงคนเดิมอีแล๊ววว

     กลับจากวัดวันนี้ เราต้องรีบเก็บของเพื่อขึ้นรถเมล์ไปให้ทันขึ้นบัส 
    เราลากกระเป๋าตุบตับกันออกมารอรถเมล์ฝั่งตรงข้ามกับวันมา
    รอกันอยู่นานมากอีกแล้ว นานจนนั่งแซวรถเมล์ที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามว่า จอดทำไมนานวะ ทำไมไม่มาจอดนี่ ฝั่งนั้นไม่เห็นมีคนเลย แหน่ะ มีลงมาเช็ดรถด้วยว่ะ สงสัยจะวิ่งรอบสุดท้าย รถไม่สะอาด เมียไม่ให้เข้าบ้านแน่เลย

    หัวเราะกันไปแบบไม่รู้ตัวเเลยว่าความซวยกำลังจะเกิดขึ้น

    เราเพิ่งรู้กันวันนี้ตอนที่สายเกินไปว่า ตัวอักษรภาษาจีนที่มีเลขเวลากำกับอยู่ที่เราเข้าใจกันมาว่าตลอดว่าคือเวลาทำการของรถเมล์วันธรรมดาและวันหยุด แท้จริงแล้วมันคือเวลาทำการของฤดูร้อนและฤดูหนาว (กูเกิลทรานสเลทบอกว่างั้นอ่ะนะ)

    ละตอนนี้ รถเมล์คันสุดท้ายก็เล่นผ่านหน้าพวกเราไปแล้ว ใช่แล้ว มันคือคันเดียวกับที่เราแซวมันมาตลอดสิบห้านาทีที่ผ่านมา โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่านั่นคือรถเมล์คันสุดท้ายของวัน และ มึงขึ้นผิดฝั่ง!! (อีกแล้ว!!!) (เรื่องนี้จบลงด้วยการโบกแทกซี่ โชคดีที่ราคาไม่แพง ไม่งั้นต้องกินมาม่าไตพังแน่)



    3.
    เรื่องที่สนุกที่สุดของการมาเที่ยวครั้งนี้ก็คือ การอิมโพรไวซ์บทสนทนา ที่ฟังกันไม่รู้เรื่องซักคำ
    เริ่มตั้งแต่กันนั่งรถเมล์ละคุยกับพี่สาวชาวจีนที่เจอกันที่วัดซงจ้านหลิน นางเป็นคนคุนหมิง มาเที่ยวนี้สองวันละเดี๋ยวจะกลับแล้ว เราก็บอกว่าเนี่ย เราก็กำลังจะไปคุนหมิงเหมือนกัน พี่สาวก็หันไปแปลให้คุนน้าที่มากับพี่สาว ทีนี้คุนน้าก็รัวจีนใส่เรามาเป็นชุดเลยจ้าา ถามว่าฟังออกซักคำมั๊ย บอกเลยว่าไม่ รู้เรื่องแค่ไท้กั๋วคำเดียว นั่งอิมโพรไวซ์กันอยู่สามคนว่าเค้าน่าจะบอกว่า คุนหมิงไม่เห็นมีอะไรเลย แต่ไท้กั๋วน่ะชอบไป ไม่รู้ทำไม ละพี่มิ้นดันไปต่อบทสนทนาถามเค้าต่อว่าทำไมพี่สาวพูดอิ๊งดีกว่าคนจีนที่เจอมาเลย ทีนี้พี่สาวเลิกพูดอิ๊งกะกูเลยจ้าาา รัวจีนใส่มาอีกเป็นชุด เราสามคนได้แต่นั่งหัวเราะ พยักหน้าหงึกๆเหมือนเดิม อิมโพรไวซ์กันว่า ฟังรู้เรื่องแค่เซี่ยงไฮ้คำเดียว"อ้ออ พี่น่ะนะ สมัยสาวๆไปเรียนอยู่ที่เซี่ยงไฮ้น่ะ เลยพอจะพูดได้อยู่บ้าง" 

    เพิ่งจะเคยเจอสถานการณ์แบบคุยกันไม่รู้เรื่องซักคำแต่คุยกันเหมือนรู้เรื่องทุกคำก็ตอนมาเที่ยวจีนนี่แหละ สนุกดีเหมือนกันนะ 
    กับคนที่เค้าอยากคุยกับเรา ความพยายามในการสื่อสารระหว่างกัน ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจกัน มันก็มีความสุขดี

    4.
    เรื่องบ้าบอสุดท้าย เป็นเรื่องที่ขำไม่ออกสุด เพราะเราโดนไล่ลงจากรถแบบ in the middle of somewhere วะ? มากๆ 

    โดนไล่ลงจากรถมาท่ามกลางอากาศ 5 องศา ในตอนกลางคืนของแชงกีล่า โดยไม่ได้รับข้อมูลใดๆว่าไล่ลงมาทำไม  แต่ที่รู้ๆคือไม่ได้ให้ลงมาเข้าห้องน้ำแน่ๆ ถึงจะมีบางคนวิ่งเข้าทุ่งไปก็ตาม 

    ในใจตอนนั้นกังวลมากๆว่าเค้าจะมาค้นของไรป่าววะ ของกูจะหายป่ะวะ กูทำไรผิดป่าววะ หลังจากปล่อยให้ยืนกังวัลอยู่ข้างถนน ผ่านไป 10 นาที ก็โดนไล่กลับไปขึ้นรถ โดยที่ก็ไม่รู้คำตอบเหมือนเดิมว่า ไล่กูลงมาทำไม


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in