Bullying จริง ๆ แล้ว มีมานาน และมีการพัฒนาขึ้นที่รุนแรงขึ้นตามโลกาภิวัฒน์ที่ก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ
เรื่องที่จะเหลาให้ฟังนี้ ย้อนกลับไปเมื่อปี 2531-2533 ซึ่งเราจำความได้ตั้งแต่ 3 ขวบ
ความจำจะแม่นพอสมควร ประสบการณ์ช่วงเรียนอนุบาล
ถ้าใช้ภาษาวัยรุ่นสมัยนี้ คือ "การโดนเท" โดนที่เราก็มั่นใจว่า ฉันไม่เคยไปทำอะไรให้เลย
โรงเรียนอนุบาลที่เราเรียนนั้น ปัจจุบันปิดตัวไปเป็นที่เรียบร้อยเมื่อไม่กี่ปีมานี้
ซึ่งเป็นของเอกชน มีตั้งแต่อนุบาล 1 - 3 อาหารทางโรงเรียนจะจัดไว้ให้
ไม่ได้มีร้านขายขนม จะมีแค่ถังแช่ "นมถุง" หลายรสชาด รวมทั้ง ยาคูลท์
มีถังแช่ใหญ่ ๆ นี่กั้นด้วยรั้วเหล็ก อย่างที่บอกนักเรียนอนุบาลสมัยนั้น
ไม่มีความจำเป็นที่ต้องพกเงินมาเยอะแยะ จะพกมาแค่ซื้อนมไว้กินหลังตื่นนอน
ซึ่งครูที่ดูแลเด็ก ๆ แต่ละห้องนั้น จะถามนักเรียนก่อนจะกินอาหารกลางวันว่า
นักเรียนคนไหนจะสั่งนม ให้ยกมือ ซึ่งครูก็จะนับจำนวนแล้วถามว่าจะกินรสอะไร
แล้วจดส่งให้แม่บ้านทำการจัดไว้แล้วยกมาตอนที่ใกล้เวลาตื่นนอน ก่อนกลับบ้าน
ในส่วนตัวของเรานั้น เราจะไม่ค่อยได้เงินไปโรงเรียน แต่แม่จะให้เงินมาแค่ สิบบาทถ้วน
จะให้มาแค่ 1 หรือ 2 ครั้งต่อเทอมนะเออ
ส่วนพ่อก็จะขับสามล้อมารับทุกวัน ก่อนกลับถึงบ้านจะแวะพากินน้ำเฉาก๊วยตลอด
ไม่มีความจำเป็นอันใดจริง ๆ ที่ข้าพเจ้าต้องพกเงินจริง ๆ =_=;;
ถามว่าทำไมจำได้ คืออย่างที่บอกว่า นาน ๆ ทีมันเลยจำได้แม่นกว่า
ครูที่ดูแลเรานั้น ได้ดูแลห้องที่เราอยู่ 2 ปีซ้อนคือ อนุบาล 2 - 3 คือ ครูปราณี (ชื่อครูประจำห้องขณะนั้น)
ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจนะว่า ครูไม่ชอบอะไรเราหรือเปล่า???
จะเป็นเพราะเคยงอแง แล้วลากครูออกไปนอกโรงเรียนรอบหนึ่งหรือเปล่า
แต่ก็แค่ครึ่งทางกลับบ้านของเราเองนะ แล้วก็กลับไปนอนที่โรงเรียนตามเดิม
บางครั้งเราไม่ยอมนอน ครูก็จะให้เราไปอ่านหนังสือ มา นี มี แมว ออกเสียงให้ฟัง
แต่ที่ออกจะเด็ด ๆ คือ นักเรียนทุกคนจะได้นั่งกินข้าวที่โต๊ะตัวเอง
แต่นักเรียนที่เป็นชาวซิกข์จะออกไปนั่งทางข้าวนอกห้อง
อาจจะเป็นเพราะเครื่องเทศแรงหรืออะไร อันนี้ไม่ทราบได้
เราก็จะได้ออกไปนั่งทานกับชาวซิกข์ คนเดียวเท่านั้น
เหมือนจะโดนกัน ๆ ออกมายังไงก็ไม่รู้
ซึ่งเคยได้นั่งกินข้าวที่โต๊ะตัวเองแค่เทอมละครั้ง
ถามว่าเรากินข้าวมูมมาม ตะกละ หกเลอะเทอะไหม จำได้เลยว่า "ไม่"แน่นอน
ในช่วงสมัยอนุบาลกับนักเรียนกันเองนี่ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกะใคร
อาจจะมีแค่เคยโดนคนในห้องคน 2 คนแอบหยิกแขนจนเขียวปั๊ดหลาย ๆ ครั้ง
พอพ่อเห็น ก็จะไปเว้งกะครูใหญ่ว่าทำไมลูกสาวโดนหยิกและครูประจำชั้นไม่เห็นอะไรเลยหรือ
เมื่อสมัยนั้น เราเป็นเด็กที่เรียบร้อยมากนะ ดูหงิม ๆ มาก ไม่มีพิษภัยเหมือนทุกวันนี้นะ
ซึ่งถ้านึกดีดี ช่วงนั้นเราจะโดนครูไม่ใส่ใจ หรือ เมินไปเลยมากกว่า
เวลาโดนหยิกแล้วเราร้องว่าโดนหยิกครูก็จะไม่สนใจ แล้วจะบอกว่าประมาณว่า
เพื่อนจะหยิกเธอทำไม ส่วนเพื่อนที่หยิกก็จะตอแหลว่า ใครหยิกเธอหรา อะไรเทือก ๆ นั้น
ซึ่งจะสอดคล้องกับเรื่องที่เรามาเหลาให้แม่ฟังเมื่อประมาณปีสองปีมานี้ เรื่องกินนมสมัยอนุบาล
พอแม่ได้ฟังจบ แม่ก็บอกว่า
"แม่ฝากเงินไว้ครูเป็นรายอาทิตย์นะ ว่าซื้อนมให้ลูกสาวด้วย... แล้วลูกสาวไม่ได้กินเลยหรอ"
เราได้ยินเท่านั้นแระ นั่นไง....กุว่าแล้ว
ซึ่งมานั่งนึก ๆ ในแต่ละเทอมนั้น จะมีแค่ครั้งสองครั้ง ที่อยู่ดีดี ครูก็จะใจดีเลี้ยงนมเราเฉย ๆ ซะงั้น
สรุปคือ ครูไม่ได้เลี้ยงนมด้วยเงินของครูเอง แต่เงินค่านมกุเองจ้า
เมื่อคำนวนเล่น ๆ ค่ายาคูลท์ 5 บาท จำนวนวันในการเรียนตีไป 289 วัน ต่อปี
โดนอมค่านมไป 2 ปี
เรื่องนี้สอนว่า...
ถ้าผู้ปกครองคนไหนได้ทำการฝากเงินค่านมค่าขนมไว้กับครู
จงแจ้งหรือบอกลูกหลานให้รับทราบได้ด้วย
มิฉะนั้น ลูกหลานจะไม่ได้ปกป้องสิทธิที่ควรจะได้ ทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้ว เหมือนเราไง
โปรดสังเกตด้วยว่า ลูกของคุณนั้น โดนคนในห้องแกล้งแล้วครูประจำห้องละเลยลูกคุณหรือไม่
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in