It's funny how your dreams change as you're growing old
You don't want to be no spaceman, you just want gold
ปล. ตอนนี้ Gem มาจอยเป็นมือกีตาร์และทัวร์คอนเสิร์ตกับวง Noel Gallagher's High Flying Birds แล้วนาจา
14. Roll With It
ศึกแห่งศักดิ์ศรีของสงครามยุคบริทป็อบ ระหว่าง Oasis VS Blur ดุเดือดถึงกับมีการส่งซิงเกิ้ลมาประชันกัน โดยปล่อยพร้อมกันในวันที่ 14 สิงหาคม 1995 ทาง Oasis ส่งเพลง Roll With It ในขณะที่ Blur ส่งเพลง Country House ทั้งสองเพลงขึ้นท็อปชาร์ตเพลงฮิตอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าสรุปยอดการแข่งขันครั้งนั้น Oasis แพ้ Blur (ทางเทคนิค 555) เพราะนับจากยอดจำหน่าย Blur คว้าไป 274,000 ก็อปปี้ ส่วน Oasis คว้าไป 216,000 ก็อปปี้ สำหรับเพลง Roll With It นี้ โนลกับเลียมเคยสลับตำแหน่งกันลิปซิ้งด้วยนะใน Live on Top Of The Pops ปี 1995 พี่โนลไปเป็นฟร้อนท์แมนและถือแทมโบลีน (ท่าทางซีเรียสมากยืนนิ่งไม่ไหวติง) ส่วนน้องเลียมก็ไปยืน (ทำท่า) ดีดกีตาร์แทนพี่โนลนั่นเอง พอกล้องซูมใกล้ๆก็รู้เลยว่าไม่รู้จะโซโลโชว์ยังไงดี 555 น่าร้าก
You gotta roll with it
You gotta take your time
You gotta say what you say
Don't let anybody get in your way
'Cause it's all too much for me to take
13. Half The World Away
เพลงหน้า B-Side ของเพลง Whatever ที่รวมอยู่ในอัลบั้ม The Masterplan เพลงนี้พูดถึงการเบื่อหน่ายชีวิตที่จำเจและสิ่งแวดล้อมเดิมๆ อยากแสวงหาสิ่งใหม่ๆ แต่สุดท้ายแล้วก็เออที่เป็นอยู่มันก็ไม่ได้แย่นี่นา ว่ากันว่าเพลงนี้ป๋าโนลแกอัดเสียงกลองเองด้วย เพราะตอนนั้นมือกลอง Tony McCarroll ถูกเชิญให้ออกจากวงไปซะก่อน นอกจากนี้หลังจากที่ป๋าโนลแกกลับจากทัวร์อเมริกาช่วงกลางปี 1994 แกก็ได้เพลงใหม่มา 2 เพลงคือ Half The World Away และ Talk Tonight โดยมีสาวคนหนึ่งเป็นแรงบันดาลใจ เหมือนเคยอ่านเจอเลียมให้สัมภาษณ์ขำๆว่า ตอนนั้นโนลหายหัวไปจากวงแล้วกลับมาพร้อมกับเพลง 2 เพลงที่ร้องด้วยสำเนียงอเมริกัน 555
And when I leave this island I'll book myself into a soul asylum 'Cause I can feel the warning signs Running around my mind
12. I'm Outta Time
หนึ่งในไม่กี่เพลงที่แต่งโดยเลียมสมัยอยู่วง Oasis เราไม่แน่ใจว่าเลียมแต่งเพลงให้ Oasis กี่เพลง เท่าที่รู้คือ I'm Outta Time, Song Bird, Little James (แต่งให้ลูกชายแพทซี เคนสิท) แต่เพลงนี้เป็นเพลงที่ชอบที่สุด เป็นเพลงที่ย้ำให้โลกรู้กันไปเลยว่ากูนี่แหละติ่งจอห์น เลนนอนตัวจริงเสียงจริง ความติ่งมันทำให้คนเราเป็นได้ขนาดนี้ แต่ก็ว่ากันว่าเสียงเลียมและทำนองของเพลงนี้มีกลิ่นอายเหมือนดนตรีของจอห์น เลนนอนในยุค 70s เสียเหลือเกิน เท่านี้ยังไม่พอเลียมใช้เสียงจริงๆของเลนนอนที่เคยให้สัมภาษณ์ครั้งสุดท้ายก่อนเสีียชีวิตเมื่อปี 1980 มาใส่ไว้ในเพลงด้วย ในช่วงท้ายๆเพลงจะได้ยินเสียงพูด "As Churchill said, it's every Englishman's inalienable right to live where the hell he likes. What's it going to do, vanish? Is it not going to be there when I get back ?"
If I'm to fall
Would you be there to applaud ?
Or would you hide behind them all ?
11. Morning Glory
เพลงจากอัลบั้มชุดที่ 2 ของ Oasis (What's the Story) Morning Glory?) ที่ได้ชื่อว่าเป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จที่สุดและอัลบั้มนี้เองที่มีซิงเกิ้ลเพลงดังตลอดกาลอย่าง Wonderwall และ Don't Look Back In Anger รวมอยู่ โนลเคยให้สัมภาษณ์ว่าแต่งเพลงนี้ขึ้นระหว่างที่กำลังเมา แล้วก็ได้แรงบันดาลขึ้นมาระหว่างที่ฟังเพลงจากเครื่องเล่นวอล์คแมน มีเนื้อเพลงบางท่อนที่ ref. มาจากเพลง Tomorrow Never Knows ของวงไอดอลป๋าโนลอย่าง The Beatles แต่ก็มีแฟนเพลงวิเคราะห์กันไปต่างๆนานาว่าเพลงนี้น่ะเกี่ยวกับใช้ยาเสพติดนั่นเอง
Walking to the sound of my favorite tune
Tomorrow never knows what it doesn't know too soon
Need a little time to wake up
10. The Masterplan
ขอยกให้เพลงนี้เป็นสุดยอดเพลง B-Side ของ Oasis มันเป็นเพลงที่ไม่ควรอยู่ในหน้าบีเลย เพราะมันมาสเตอร์พีซมากๆ ขนาดโนลเองยังเคยบอกว่าน่าเสียดายที่ไม่ได้เอาไปรวมในอัลบั้มเต็มชุดอื่นๆ The Masterplan ถูกนำมาใช้เป็นเพลงในตอนท้าย end credit ของหนังสารคดี Supersonic ด้วย เนื้อเพลงทุกประโยคของเพลงนี้มันงดงามและมีคุณค่ามากจริงๆ ประมาณว่าทุกคนล้วนอยู่ในแผนแม่บทใหญ่สักอย่าง เราไม่มีทางรู้ว่าเส้นทางที่เราไม่ได้เลือกนั้นมันจะนำพาอะไรมาให้ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ให้เต็มที่กับทุกนาทีในชีวิตบนเส้นทางที่เราได้เลือกเดินไปแล้ว
Life on the other hand
Won't make us understand
We're all part of the masterplan
9. All Around The World
เป็นเพลงแรกๆที่โนลเริ่มเขียนเลย แล้วยังใช้เป็นเพลงให้เลียมซ้อมร้องเพลงสมัยที่ยังเล่นกันอยู่ใน Boardwalk Club ช่วงปี 1992 หรือช่วงที่ Oasis ยังไม่เป็นที่รู้จักอีกด้วย เริ่มแรกเพลงนี้มีความยาวถึง 12 นาที ก่อนจะถูกหั่นให้เหลือ 9 นาทีกว่า ป๋าโนลแกบอกว่าแต่งเพลงนี้เอาไว้เป็นชาติละ แต่ไม่เอายัดใส่ไว้ในอัลบั้ม 2 ชุดแรกสักที จนกระทั่งอัลบั้มที่ 3 'Be Here Now' ก็ได้ฤกษ์คว้าเพลงนี้ใส่ลงไปสักที ว่ากันว่าเปรียบเสมือนเพลงHey Judeในเวอร์ชั่นของ Oasis นั่นเอง เราชอบประโยค You know it's gonna be okay ในเพลงนี้มาก เหมือนเป็นเพลงให้กำลังใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นสุดท้ายทุกๆอย่างมันจะต้องโอเค
And all around the world, you've gotta spread the word
เป็นเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกว่าชีวิตจะต้องดียิ่งขึ้น เลียม กัลลาเกอร์ คนดีคนเดิมเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าดนตรีและร็อกแอนด์โรลนั้นช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ถ้าไม่ได้เป็นนักร้องก็ไม่รู้จะไปทำอาชีพอะไรแล้ว (แต่มึงขายเสื้อ !) ป่านนี้คงวิ่งราวลักขโมยหรือไม่ก็ติดยาตาย ha ไปแล้ว 555 ส่วนเนื้อหาของเพลงเราชอบการใช้คำใช้ประโยคของเพลงนี้มาก คนบางคนไม่เชื่อในสวรรค์ใช่ไหม แต่คุณลองไปถามพวกที่อยู่ในนรกดูสิ คนบางคนไม่เชื่อว่าฟ้าหลังฝนจะสดใส แต่ลองไปถามพวกที่ไม่เคยได้เปล่งประกายดูสิ สุดท้ายแล้วคนนู้นคนนี้ก็พูดกันไป แต่สุดท้ายเชื่อว่าวันที่สดใสและดีกว่าจะรอพวกเราอยู่เสมอ และในที่สุด Some Might Say ก็ไต่ขึ้นไปอยู่อันดับ 1 ของชาร์ตเพลงฝั่งอังกฤษได้ โดยในเวอร์ชั่น Demo ป๋าโนลแกอัดกีตาร์ เบส และกลองเองเลย ความยาวของเพลงก็ 6 นาทีกว่า ก่อนจะหั่นให้สั้นเหลือ 5 นาทีกว่า พร้อมกับให้น้องเลียมคนดีคนเดิมเป็นคนร้องในเวอร์ชั่นอัลบั้มอย่างที่เราได้ฟังกันอยู่ นอกจากนี้ Some Might Say ยังเป็นเพลงสุดท้ายที่ Tony McCarroll ได้ทำหน้าที่มือกลองประจำวง
Some might say they don't believe in heaven
Go and tell it to the man who lives in hell
Some might say you get what you've been given
If you don't get yours I won't get mine as well
3. Married With Children
ดีใจที่ได้ค้นพบเพลงที่มุ้งมิ้งปนฮาแบบนี้ เรียกว่าเป็นเพลงสไตล์คนมีฟอร์มที่น่ารักที่สุดเท่าที่เคยฟังมาเลย แล้วยิ่งแต่งโดยผู้ชายที่ชื่อ 'โนล กัลลาเกอร์' แล้วเนี่ยยิ่งเพิ่มดีกรีความฟอร์มเข้าไปใหญ่ ชอบมากกกกก แรงบันดาลใจของเพลงนี้มาจากแฟนเก่าของโนลที่มักจะบ่นเรื่องที่เฮียแกนั่งเล่นกีตาร์ทั้งวัน แถมกลางคืนก็ยังเล่นกีตาร์ไม่หลับไม่นอน จนโดนแฟนบ่นว่า "เพลงของเธอน่ะมันห่วยแตก" แกเลยเอามาแต่งเป็นเพลงซะเลย ส่วนชื่อเพลงก็ได้มาจาก Married with Children ซีรีส์ซิทคอมที่ดังมากในยุค 90s
I hate the way that you are so sarcastic
And you're not very bright
You think that everything you've done's fantastic
Your music's shite it keeps me up all night
2. Slide Away
เพลงที่แสดงความเป็น Oasis ออกมาได้ดีที่สุด อยู่ในอัลบั้มชุดแรก 'Definitely Maybe' โดดเด่นด้วยสไตล์ดนตรีซาวด์ดิบๆ พร้อมเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์ของเลียมสมัยที่เสียงยังใสแจ๋ว เพลงนี้โนลแต่งให้แฟนเก่าและโนลบอกว่าเพลงนี้จะนำมาเล่นในคอนเสิร์ตมากยิ่งขึ้น ในฐานะ 'เพลงเอาใจแฟนเพลง' Slide Away เป็นสุดยอดเพลงรักของ Oasis ที่ 'เซอร์ พอล แม็กคาร์ตนีย์' อดีตสมาชิกวง The Beatles ชอบที่สุด เราชอบเพลงนี้มาก พยายามตามหาทุกเวอร์ชั่นเท่าที่จะหาได้ใน Youtube มาฟัง ทั้งเวอร์ชั่น Demo และ อะคูสติก ทั้งเสียงของเลียมและโนล สมัยก่อนเวลา Oasis เอาเพลงนี้ไปเล่นในคอนเสิร์ต หลังท่อนคอรัส take me there จบ ทั้งเลียมและโนลจะร้องพร้อมกันว่า "what for" ต่อท้ายด้วย แต่ตั้งแต่ปลายยุค 90s - ปี 2000 เป็นต้นมาก็ไม่เคยได้ยิน what for อีกเลย ยิ่งไปกว่านั้นพอยุบวง Oasis เลียมก็ยังเอาเพลงนี้ไปเล่น แต่ไม่ร้องท่อน take me there อีกเลย
We'll find a way of chasing the sun
Let me be the one that shines with you
Don't know, Don't care,
All I know is you can take me there, just take me there...WHAT FOR ?
1. Live Forever
Live Forever เป็นเพลงที่ทำให้รัก Oasis ความหมายดีงามมาก โนลบอกว่าเพลงนี้เป็นเพลงเกี่ยวกับเพื่อนรักหรือคนที่เรารักสักคน ที่ไม่ว่าเขาจะมีข้อเสียยังไงก็ไม่สำคัญ เหมือนท่อนที่บอกว่า Maybe I don't really want to know how your garden grows โนลแต่งเพลงนี้ไว้ตั้งแต่สมัยที่ยังทำงานในไซต์ก่อสร้าง ก่อนจะมาร่วมวงกับน้องเลียมคนดีคนเดิม จนฟอร์มวง Oasis ขึ้นมา และเอาเพลงนี้ใส่ไว้ในอัลบั้มชุดแรก ซึ่งตอนนั้นเพื่อนๆในวงไม่มีใครเชื่อว่าโนลแต่ง Live Forever เองด้วยซ้ำ 555
แต่ขณะเดียวกันแฟนเพลงสายโคนันก็วิเคราะห์กันว่า เพลง Live Forever นั้นเป็นเพลงที่โนลแสดงจุดยืนเกี่ยวกับการทำดนตรีว่า ต้องการเขียนเพลงที่ทำให้คนฟังรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้น ไม่ใช่ฟังแล้วเศร้าหมองหดหู่หรือรู้สึกว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว (ซึ่งเลียมเองก็ยืนยันจุดยืนด้านดนตรีแบบนี้เหมือนกัน) โดยเฉพาะท่อน I want to live, I don't want to die นั้นโนลแต่งขึ้นให้ตรงข้ามกับเพลง 'I Hate Myself And Want To Die' ที่มีเนื้อหาหดหู่ของวง Nirvana ซึ่งปีก่อนที่อัลบั้มชุดแรกของ Oasis จะวางจำหน่ายนั้นเป็นปีที่ 'เคิร์ต โคเบน' นักร้องนำ Nirvana เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย (แม้ว่าแฟนๆ Nirvana จะไม่เชื่อว่าเคิร์ตฆ่าตัวตายจริงๆ) นอกจากนี้ท่อนวรรคทอง You and I gonna live forever ก็อาจหมายถึง Oasis และ จอห์น เลนนอนแห่ง The Beatles หรือคุณแม่เป็กกี้ กัลลาเกอร์
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in