เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เชียงคานรำลึกsawasjit
อินเดีย...ในสายลมหนาว (หน้าที่2)
  • คืนแรกในแดนภารตะ

     เครื่องของสายการบินไทยสมายล์ใช้เวลาราว 4 ชั่วโมงก็พาเราร่อนลงสู่สนามบิน Jaipur International Airport ในเวลาตีหนึ่งอากาศภายในสนามบินเย็นยะเยือก บ่งบอกว่าอุณหภูมิข้างนอกคงลดต่ำลงไม่น้อยหลายคนมักกล่าวว่า อินเดียเวลาร้อนก็ร้อนอย่างที่สุด หากเมื่อหนาวก็จับขั้วหัวใจเลยทีเดียว

    ขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองของอินเดียใช้เวลานานพอควร เนื่องจากนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ ฉันเป็นคนสุดท้ายที่ผ่านกระบวนการนี้ เมื่อเดินออกจากพื้นที่ผู้คนที่หนาตาเมื่อครู่ ได้มลายหายไปเกือบหมดแล้วเหลือเพียงเราสองคน กระเป๋าเดินทางสีโอลด์โรสของฉันนอนแน่นิ่งอยู่บนสายพานเพียงลำพังในขณะของตะวันวางอยู่ตรงหน้าเจ้าหน้าที่  พร้อมกับลายขีดกากบาทสีขาว

    “พี่จันทร์!ทำไมกระเป๋าหนูไปอยู่ตรงนั้น!

    เราสองคนรีบก้าวลงบันไดเลื่อนไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็พอดีกับเจ้าหน้าที่ ที่รอเราอยู่แล้ว

    “ไอสงสัยว่ากระเป๋าของยูมีเมล็ดพืชอยู่ในนั้น”

    ภาษาอังกฤษสำเนียงแขกที่ฉันหวั่นใจนักหนาได้เริ่มขึ้นแล้ว

    “ไม่มีนะ ไอไม่ได้นำของแบบนั้นมาด้วย”

    ตะวันชี้แจ้งทางเจ้าหน้าที่ก็พยายามบอกถึงข้อห้ามต่างๆนาๆ ที่เราฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ส่วนใหญ่จะไม่รู้เรื่องเสียมากกว่า เมื่อเห็นว่าคืนนี้คงคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วตะวันจึงเปิดกระเป๋าให้ดู จากนั้นมหกรรมแขกมุงก็เริ่มขึ้น เจ้าหน้าที่ให้ตะวันพลิกรื้อ กระเป๋าตัวเองอย่างเมามันสุดท้ายทุกคนก็ร้องอ๋อ เมื่อเจอชุดสาหรีสีแดงเลือดนก พร้อมเพชรนิลจินดาปลอมแบบจัดเต็ม บรรดาแขกมุงมีรอยยิ้มน่ารักประดับที่มุมปากทุกคนจากนั้นก็สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว ฉันเพิ่งมารู้ทีหลังว่า อินเดียห้ามนำเข้าพวกจิวเวลลี่และเมล็ดพืช

    เราเดินออกจากตัวอาคารของสนามบิน พร้อมกับลมหนาวที่เข้ามาโอบล้อมเราไว้ราวเพื่อนสนิทที่เคยคุ้นนักหนา สัมผัสนั้นทำให้ร่างกายถึงกับสั่นสะท้านฉันมองหาป้ายชื่อตัวเอง หากทุกอย่างว่างเปล่ามีเพียงผู้คนแปลกหน้า ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบุรุษเพศแทบทั้งสิ้น มองหาสตรีก็เพียงเราสองคนเท่านั้น เมื่อรถของโรงแรมไม่มาตามที่นัดไว้ เราสองคนก็ใจเสียไม่น้อย

    ครั้งแรกของการเดินทางไปต่างประเทศที่ไกลที่สุด

    ครั้งแรกของประเทศที่ใครหลายคนให้นิยามว่าดินแดนปราบเซียน

    “โทรไปถามที่โรงแรมดีกว่าพี่จันทร์อย่ารอเลย”

     ในยามคับขันเช่นนี้ตะวันดูจะมีสติมากกว่าฉัน 

    “ฮัลโหล ฉันชื่อจันทร์จากประเทศไทย คุณได้ส่งรถมารับฉันที่สนามบินหรือเปล่า”

    “ไม่”

    คำตอบสั้นปนงัวเงียของผู้รับสาย ทำให้เราสองคนประจักษ์แล้วว่าถูกเท


    การตัดสินใจแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในยามวิกาลเช่นนี้ คือความเด็ดขาด เป็นตายยังไงเราต้องไปถึงโรงแรมให้ได้ เพราะเราง่วง!

    500 รูปีมาดาม”

    แท็กซี่ของสนามบินบอกราคา เราสองคนก็ไม่ต่อสักคำโซเฟอร์ในค่ำคืนนี้คือลุงแก่ๆในชุดกันหนาวสีหม่นทรงรุ่มร่าม แต่ท่าทางยังแข็งแรงแกขับพาเราสองคนออกจากสนามบิน สองข้างทางของเมืองจัยปูร์ในเวลาดึกสงัด ไม่มีรถอยู่บนถนนเลยสักคันดวงไฟตามทางไม่ได้สว่างไสวเฉกเช่นกรุงเทพฯ แม้แต่เขตเมืองใหม่ที่มีตึกสูงหลายแห่งกลับเปิดไฟไม่กี่ดวง ไม่มีร้านสะดวกซื้อ ไม่มีผับ ไม่มีร้านคาราโอเกะทุกสิ่งทุกอย่างไม่ต่างจากเมืองร้าง ฉันกับตะวันนั่งเงียบ

    หัวใจของเราสองคนกำลังหวาดกลัว ต่อเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ดินแดนที่ไม่รู้จัก กับชายแปลกหน้าในค่ำคืนอันหนาวเหน็บ

    รถแท็กซี่พาเราผ่านเข้าสู่เขตเมืองเก่าตึกรามบ้านช่องเห็นเป็นเงามัวอยู่ในแสงสลัว เมืองกำลังหลับใหลราวต้องมนต์สะกดของรัตติกาลเมื่อรถจอดสนิทหน้าตึกหลังหนึ่ง ฉันมองป้ายชื่อโรงแรมที่มีดวงไฟเล็กๆส่องสว่าง 

    PandaNiwas Hotel 

    ภาพในจินตนาการกับภาพของความจริง มักสวนทางกันเสมอ

    แต่ช่างเถอะ! บางภาพมันก็ไม่ได้เลวร้ายเกินไปไม่ใช่หรือ?

    แค่ซุกหัวนอนในคืนนี้ รอเวลาไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้วฉันปลอบใจตัวเอง ก่อนจะเปิดประตูรถก้าวลงไปเคาะประตูเรียกเสียงพึมพำงัวเงียจากมุมห้อง ทำให้ฉันเพ่งสายตามอง ท่ามกลางความสลัวรางจากลำแสงด้านนอกผู้ที่ซุกตัวนอนบนโซฟาจึงลุกขึ้น

    “ห้องหมายเลขเก้า”

    เขาบอกฉันราวรับรู้การมาเยือนล่วงหน้าแน่ล่ะอีเมล์หลายฉบับที่ฉันส่งเข้ามาก่อนเดินทาง ย่อมประจักษ์อยู่ในใจผู้รับเป็นอย่างดี

    “พี่จันทร์ คนขับเขาจะขอทิป!  
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in