เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่าระหว่างเดินทางThe Girl who never Be
35°41′N 139°46′E

  • ระยะทางกว่าสองพันแปดร้อยกว่าไมล์ที่เราบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังจุดหมายที่ละติจูด 35 องศา 41 ลิปดาเหนือ และลองติจูด 139 องศา 46 ลิปดาตะวันออก ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง 25 นาที
    และใช่ เรากำลังจะไปเยือนญี่ปุ่น ดินแดนพระอาทิตย์อุทัย 
    และประเทศในฝันของเรา.....


    DAY 1 : ไม่มีขนมโตเกียวขายในเมืองโตเกียว

    เรามาญี่ปุ่นครั้งนี้ด้วยโครงการเเลกเปลี่ยนของมหาวิทยาลัยเรากับมหาวิทยาลัย Tokyo University of Agriculture เป็นเวลา 15 วัน ที่เขต Setagaya, Tokyo
    วันแรกที่มาถึงโตเกียวนั้น อุณหภูมิอยู่ที่ 17 องศา หนาวปากสั่นไปเลยจ้าาา เพราะนี่ไม่ได้เตรียมเสื้อกันหนาวมาเพราะอ่านในพันทิปมาว่าช่วงนี้เป็นฤดูร้อนของคนญี่ปุ่น อากาศค่อนข้างจะร้อนเท่าๆเมืองไทย
    ไม่ต้องเตรียมเสื้อกันหนาวมาก็ได้ (พันทิป, 2016)

    ตัดภาพมาที่เรายืนหนาวตัวสั่นอยู่สนามบินนาริตะ
    จ้ะ ฤดูร้อนจ้ะ (อากาศแบบนี้บ้านกุเรียกฤดูหนาวเว่ยพี่หยุ่นน)

    บรรยากาศโดยรอบในมหาวิทยาลัยที่เรามาแลกเปลี่ยนที่มีชื่อเล่นว่า NODAI
    เราชอบตู้กดน้ำของที่นี่มากเลย แต่ละตู้ก็จะมีน้ำไม่เหมือนกัน แบบทำให้เราได้สุ่มกินน้ำแปลกๆเยอะมาก และน้ำที่เราอยากนำเสนอเลยนะ คือ Kirin Lemon ชื่อฟังอาจจะดูเหมือนเบียร์ แต่มันคือน้ำมะนาวโซดา อร่อยมากบอกเลยย
    ฝาท่อในมหาลัยยังมีตราประจำมหาลัยเขาเลยอ่ะ โครตเท่



    DAY 2 : เป็นคนไทยที่พูดภาษาญี่ปุ่นสำเนียงจีน

                             เช้าวันที่ 2 ณ ดินแดนปลาดิบกับคลาสเรียนวิชาภาษาญี่ปุ่น  ก่อนที่เราจะมาญี่ปุ่นทางมหาลัย Nodai ได้บอกไว้ว่าให้เราเตรียมสคริปภาษาอังกฤษแนะนำตัวเองมาด้วย เพื่อทางญี่ปุ่นจะเเปลเป็นภาษาญี่ปุ่นให้เราได้พูดในวัน Welcome Party ซึ่งมันก็คือวันนี้

    แล้วด้วยความที่เป็นคนเวิ่นเว้อจึงเขียนแนะนำไปครึ่งหน้ากระดาษเอสี่ ทางพี่ญี่ปุ่นก็ใจดีแปลมาให้หมดทุกคำทุกพยางค์ไม่มีตกหล่น ดังนั้นโดยรวมๆแล้วบทแนะนำตัวภาษาญี่ปุ่นเราจึงล่อไปประมาณ 1 หน้ากระดาษ ก็ท่องกันไปสิ ท่องไปท่องมาเซนเซถึงกับส่ายหน้าและส่งแววตาประมาณว่าหนูอย่าเรียนภาษาญี่ปุ่นเลยนะ เซนเซขอร้อง......

    ภาคเช้าจึงจบด้วยภาษาญี่ปุ่นที่ไม่ค่อยเป็นญี่ปุ่นของเราา
    คาบวิชาแนะนำคณะของมหาวิทยาลัย

    ส่วนภาคบ่ายก็เป็น freetime เราเลยมีโอกาสได้สำรวจบริเวณรอบๆมหาวิทยาลัย และที่สำคัญเรากำลังจะไปหาของกิน อิอิ
    ตู้ไปรษณีย์ญี่ปุ่นโคตรน่ารัก
    เราเดินออกจากมหาลัยเพียง 15 นาทีก็เจอสถานีรถไฟเคียวโด ซึ่งบริเวณสถานี้มีร้านอาหารต่างๆมากมายให้เลือกกินกัน แต่มื้อเที่ยงสำหรับวันที่ 2 ของเรานั้น เราเลือกกินทาโกะยากิร้านแรกและร้านเดียวที่ตั้งอยู่บริเวณสถานีเคียวโด และต่อมาก็กลายเป็นร้านโปรดของเราไปโดยปริยาย
    ทาโกะยากิร้านนี้เขาขายในราคา 8 ลูก 580 เยน (สำหรับรสออริจินัล) ตีเป็นเงินไทยประมาณ 193 บาท เฉลี่ยแล้วตกลูกละ 24.12 บาท ถ้าเทียบดูราคาแล้วอาจจะแพง แต่รสชาติอร่อยมากกกกกกกกกก ถ้านั่งกินภายในร้านนะ เราสามารถนั่งดูเชฟทำทาโกะยากิแบบสดๆได้เลย และที่สำคัญเชฟหล่อมาก ยิ่งไปกว่านั้นในแต่ละวันจะมีเชฟมาทำไม่ซ้ำหน้าด้วยจ้าา
    ของหวานน่ารัก น่ารักจนไม่กล้ากิน


    แล้วก็มาถึงเหตุการณ์ที่สำคัญ
    นั่นก็คืองาน welcome party ที่ทางญี่ปุ่นจัดเพื่อเลี้ยงต้อนรับพวกเราชาวไทยทั้ง 18 คน

    ก่อนที่จะเริ่มงานทาง NODAI ต้องการให้เราพูดแนะนำตัวเองเป็นภาษาญี่ปุ่น (ที่ได้เรียนไป1ชม.ในตอนเช้า) สลับกับเพื่อนญี่ปุ่นจะแนะนำตัวเองเป็นภาษาไทยเพื่อเป็นการสานสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

    เราก็จัดเลยจ้ะ พูดไปทั้งหนึ่งหน้ากระดาษนั้่นแหละ พูดผิดพูดถูกก็ไม่สนแล้ววินาทีนั้น แต่เท่าที่สังเกตได้เราพบว่าในขณะที่เราพูด คิ้วของคนญี่ปุ่นผูกเป็นโบว์พร้อมกันโดยมิได้นัดหลายไปหลายคน คงจะเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าเราไม่ควรเรียนภาษาญี่ปุ่นจริงๆนั่นแหละ

    แต่ที่พีกไปกว่านั้นคือ พอตอนเราพูดแนะนำตัวจบ อาจารย์เดินมากระซิบบอกว่า "หนูนี่เก่งจัง เป็นคนไทยที่พูดญี่ปุ่นได้สำเนียงภาษาจีนมาก ทำได้ไงอ่ะ อาจารย์ทึ่งเลย"
    หนูก็ทึ่งตัวเองเหมือนกันค่ะอาจารย์ -__-

    แล้ววันที่ 2 จึงจบลงด้วยภาพของมิตรญี่ปุ่นแล้วกัน



    DAY 3 : หลงรัก Nagawamachi อย่างจังๆ

    เช้าวันที่ 3 เราออกเดินทางจากโตเกียวแต่เช้าด้วยรถบัสไป เพื่อยังฟาร์มที่ Nagawamachi ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัด Nagano อยู่ทางตนบนของโตเกียว ใช้เวลาทั้งหมดเกือบ 5 ชั่วโมงกว่าจะถึงจุดหมาย
    อาหารเช้าที่ทาง NODAI เตรียมให้
    อาหารเที่ยงที่จุดเเวะจอดพักรถ
    soft cream หลังอาหารเที่ยง
    Nagano ขึ้นชื่อเรื่องผลไม้ ที่นี้จึงไม่แปลกที่จะมีผลไม้ตั้งขายเยอะมากกกกก
    และนี่คือที่พักของพวกเรา ที่มีคุณป้าชื่อจอยและคุณลุงชื่อเฮ้าส์ จึงเรียกรวมกันว่า Joy house
    ดอกไม้บริเวณบ้านพัก
    กิจกรรมที่จะทำในวันแรกสำหรับที่ Nagawamachi ก็คือ ปลูกผักกาดในอุณหภูมิ 17 องศา
    เรารู้สึกโคตรอิจฉาเกษตรกรที่นี่เลย เพราะไม่ว่าจะฤดูอะไรอุณหภูมิที่นี่ก็ไม่เคยเกิน 20 องศา เรียกว่า ทำไร่ไปพูดควันออกปากอ่ะเอาจริง
    อาหารบ้านป้าจอยและลุงเฮ้าส์
    เบียร์ญี่ปุ่นครั้งแรก ครั้งเดียว และเมาด้วย
    ดังนั้นวันที่สามของเราจึงจบลงด้วยการเมาและอ้วกแตกอย่างสมบูรณ์แบบสามร้อยเปอร์เซ็น


    ปล.แล้วมาเจอกันใหม่ #EP.02 ใน Day 4-6
    ปล.2 ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้นะคะ แล้วเจอกันใหม่ :)

    EP.02 คลิ๊กตรงนี้เลยค้าบบ https://minimore.com/b/RIrHh/3

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in