เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My StoriesJirattipat Tengamnuay
ตะลุยเนปาล(ตอน5)...เที่ยวกาฐมาณฑุและแว่บไปปาตัน
  • 24 ธันวาคม 2559 (คงบันทึกความทรงจำ)

    ตื่นแต่เช้าประมาณ 8 โมงกว่า ก็อาบน้ำแต่งตัวลงมาทานอาหารเช้าก่อนพี่ เพราะต้องออกเดินทางตอน 10 โมงตรง ตอนจองที่พักที่นี่เขารวมอาหารเช้าด้วย ตอนลงมาทานข้าวไม่ได้สนใจใครทั้งนั้น มาถามๆ เรื่องเที่ยวกับพนักงานที่ตรงรีเซฟชั่น และเดินไปที่โซนกินข้าว ก็ถามลุงคนหนึ่งว่าที่นั่งโต๊ะด้านนี้ว่างไหม เขาบอกว่าว่างก็นั่งไป พนักงานก็เดินมารับรายการอาหารที่จะสั่ง เราก็ไลน์ไปถามเรื่องไข่กับพี่เขาที่ยังอยู่บนห้องว่าจะเอาไข่แบบไหน แล้วสั่งมา 2 ชุดสำหรับเรากับพี่ แล้วก็นั่งรอๆ เล่นมือถือไป 

    ช่วงที่กำลังรออาหาร อยู่ๆ ลุงก็ถามเราขึ้นมาว่า "จำเขาได้ไหม" เราก็งง เป็นใคร เจอตอนไหน ยังไง ไม่มีในความทรงจำ เขาก็บอก "เจอบนเครื่องบิน" เราก็เอ๊ะ หรือว่าเราชนเขาเพราะเราต้องรีบไปขึ้นเครื่องบินไปโพคาราเลยวิ่งฝ่าคนบนเครื่องมา ชนคนไปเพียบ แบบนั่งเกือบท้ายเครื่องแต่ลงมาคนที่ 2 ของเครื่อง นำชั้น business class อีก แต่ลุงบอก "52A" ไง เราก็นึกว่าละแวกที่เรานั่งแบบแถวเดียวกันเหรอ พยายามนึกว่าเรานั่งแถวไหน จำไม่ค่อยได้ แล้วเราก็บอกลุงไปว่า "เราขอโทษ เราจำไม่ได้" แต่ตอนหลังมาเช็คตั๋วเครื่องบินที่เราถ่ายรูปไว้ ปรากฏเรานั่ง "52B" คือลุงเขานั่งข้างเราจากกรุงเทพฯ มาเนปาล 3 ชั่วโมง แต่เราจำเขาไม่ได้ ไม่มีในความทรงจำ แม้ตอนเราหันไปถ่ายรูปท้องฟ้าภูเขาตอนเครื่องใกล้ลงก็ไม่เคยสังเกตจดจำเขาทั้งที่เราก็หงุดหงิดที่เขาบังการถ่ายรูปของเราตอนช่วงเครื่องใกล้ลงจอดด้วย (แปลว่าเราต้องหันไปเห็นเขาไง...ตอนหลังมานั่งคิดทวนความจำ...ไม่แน่ใจตอนช่วงเสิร์ฟอาหารบนเครื่องบิน แอร์โฮสเตสยื่นถาดอาหารไปเสิร์ฟคนที่นั่งข้างๆ เราติดหน้าต่าง เราเห็นต้องเอื้อมมือไกลเลยเอื้อมมือไปช่วยรับถาดอาหารจากแอร์โฮสเตสไปส่งต่อให้คนคนนั้นด้วยมั้ง...เหมือนมีช่วงนั้นแต่แบบไม่ได้สนใจ ยื่นให้เสร็จก็มาสนใจอาหารของตัวเอง ไม่ได้จดจำหน้า)

    พอลุงเขารู้ว่าเราจำเขาไม่ได้ เขาก็นั่งทานอาหารของเขาต่อไป เราก็ไม่ได้สนใจเขาเพราะคิดว่าเขาคงจำผิด นั่งทานของเราไปทานไปได้สักพัก ลุงก็ขอตัวขึ้นห้องไป พี่เขาก็ลงมา พอทานอาหารเช้าเสร็จตอนประมาณ 9 โมงกว่าก็เตรียมตัวออกไปเที่ยวเพราะคนขับรถก็มานั่งที่ล็อบบี้รอนานแล้วเหมือนกัน (ตอนแรกไม่รู้ว่าคนนี้ ไม่งั้นคงรีบแล้ว)


    เดินตามคนขับรถที่เราเหมามาหน้าโรงแรม เขาก็บริการดี เปิดประตูรถให้ ชวนพวกเราคุย แต่ส่วนใหญ่พี่เขาจะเป็นคนคุยเพราะพูดภาษาอังกฤษได้ คนขับพูดเก่งมาก พูดเก่งจนเราต้องอัดคลิปสั้นๆ เอาไว้ตอนที่เขาคุยกับพี่ไว้เป็นที่ระลึก (ตอนมาเปิดคลิปดูตอนเขียน เขาคุยเรื่องสถานที่ที่เรากำลังจะไปกันเพราะมีคำว่า "Monkey Temple" เราคงอัดคลิปไว้เพราะเขาแนะนำสถานที่ก็ได้) ก็ถือว่าสนุกดีนะ เพราะมันจะได้ไม่เงียบเหงาเกินไปด้วย


    เราก็นั่งฟังพวกเขาคุยกันไปบ้าง ดูวิว ถ่ายภาพข้างทางไปบ้าง เราชอบดูอาคารบ้านเรือน, วิถีชีวิต, รถแถวข้างทางที่รถวิ่งผ่าน อะไรดูน่าสนใจดีก็ยกมือถือถ่ายภาพเก็บเอาไว้


    สถานที่แรกที่เรามาคือ "Swayambhunath" หรือ "Monkey Temple" ค่าบัตรเข้าวัด 200 รูปีเนปาล 


    เดินเข้ามาก็มีโต๊ะรับแลกเหรียญ, ร้านขายของที่ระลึก, ระฆังใบใหญ่และมีสถูปองค์เล็กๆ สีขาวที่มีรูปดวงตาที่เป็นสัญลักษณ์อยู่บนสถูปซึ่งแม้จะเป็นสถูปขนาดเล็กแต่ก็มีความสวยงามมาก และสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์อีกอย่างคือธงที่แขวนเรียงกันอยู่ด้านบนหลากหลายสี(ตอนแรกก็คิดว่าเดินกันสองคนเพราะเสียเงินค่าเข้า แต่คนขับรถซึ่งต่อไปนี้คือไกด์ของเราก็เดินมาร่วมวงด้วย พาเราเดินดูในสถานที่ท่องเที่ยว, ช่วยอธิบาย (พี่คนเดียวที่ฟังออก) , ช่วยถ่ายภาพ, ดูของที่ระลึก


    พอเดินเข้าไปอีกนิดนึงจะมีบันไดขึ้นสู่ด้านบน วัดนี้สมกับที่เรียกว่า "Monkey Temple" เพราะมีลิงเยอะมาก นักท่องเที่ยวก็เยอะ ตอนเดินขึ้นบันไดก็มีลิงอยู่ระหว่างทางขึ้น บางตัวก็มีคนยืนมุงถ่ายภาพ เราก็ไปมุงบ้างแล้วก็ถ่ายภาพไว้ มองลงไปข้างล่างจะเป็นวิวเมืองและมีภูเขาอยู่ทางด้านหลัง ก็ถือว่าได้ภาพมุมสูงของเมืองตรงจุดนี้ไปด้วย


    ขึ้นมาข้างบนตั้งแต่ตรงช่วงบันไดก็มีร้านขายของที่ระลึกที่เป็นพวกของพื้นเมือง ของที่เป็นเอกลักษณ์ของเนปาลอยู่หลายร้าน คนขับรถที่พาเรามาก็เหมือนมัคคุเทศก์ส่วนตัวเพราะเขาคอยเดินนำเราขึ้นไป ช่วยอธิบาย ช่วยถ่ายภาพให้เรา


    ขึ้นมาด้านบนก็เจอสถูปหลักซึ่งบนสถูปจะมีดวงตาซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญคือ "Wisdom Eyes" ตามประวัติ สถูปองค์นี้เป็นสถูปที่เก่าแก่ที่สุดของเนปาล


    ส่วนบริเวณโดยรอบก็มีพิพิธภัณฑ์ของโบราณ, สิ่งก่อสร้างโบราณ, ร้านขายของที่ระลึก และมีผู้คนมาทำพิธีทางศาสนา ซึ่งเราก็เดินถ่ายภาพเก็บความทรงจำไปรอบๆ บริเวณนั้น




    ร้านขายของที่ระลึกก็มีอยู่หลายร้าน งาน handmade ก็เยอะ คนขายจะมีเครื่องคิดเลขอยู่ในมือ เวลาเราถามราคาของ เขาก็จะกดเครื่องคิดเลขให้เราดูว่าสินค้ามีราคาเท่าไหร่จะได้เข้าใจตรงกัน


    พี่เขาก็ได้ของฝากไปหลายชิ้น เราก็เดินดูด้วย เข้าร้านตามพี่เขาไป ตอนแรกไม่คิดจะซื้ออะไร เปลืองเงิน แต่มาคิดอีกที ต้องมีของฝากไปฝากคนที่เมืองไทย ก็คิดว่าจะซื้อไปฝากใครบ้าง ก็มีคนในครอบครัว ญาติสนิทและคนรู้จักไม่กี่คน ก็เลยเลือกซื้อพวงกุญแจที่มีรูปสัญลักษณ์ต่างๆ ไปซึ่งถ้าเที่ยบกับของอื่นๆ ราคาก็ไม่ได้แพงมากและดูน่าสนใจด้วยสัญลักษณ์ต่างๆ ที่อยู่พวกกุญแจ ดูแข็งแรง ไม่พังก่อนถึงกรุงเทพฯ แน่นอน


    ซื้ิอของที่ระลึกเสร็จแล้ว มัคคุเทศก์ของเราก็พาเราเดินลงมาข้างล่างเพื่อจะกลับ แต่แถวๆ ประตูทางเข้า จะมีบ่อน้ำเล็กๆที่มีพระพุทธรูปยืนอยู่ตรงกลางสระ ไกด์ส่วนตัวเราเอาเหรียญให้เรากับพี่คนละ 3 เหรียญเพื่อให้โยนลงไปในไหสีทองอันเล็กๆ ที่วางอยู่ใต้พระพุทธรูปในสระตามแบบนักท่องเที่ยวคนอื่นที่ยืนโยนอยู่รอบบ่อน้ำ 



    ซึ่งเราลองโยนดูแต่ไม่ได้ลงไหทั้ง 3 เหรียญ ตกลงน้ำหมด แล้วพวกเราก็ออกเดินทางต่อ สถานที่ต่อไปที่เราจะเดินไปคือเมืองปาตัน (Patan) ซึ่งระหว่างทางที่รถวิ่งไป ตามแบบเดิมที่ชอบทำคือเราจะมองข้างทางและคอยถ่ายภาพสิ่งที่เราสนใจเอาไว้ ส่วนมากก็เป็นภาพผู้คนที่ใช้ชีวิต อาคารบ้านเรือนที่น่าสนใจ เพราะเราไม่รู้ว่าจะได้กลับมาที่เนปาลอีกหรือเปล่า



    ตอนนั่งรถผ่านไปปาตัน เราผ่านห้างสรรพสินค้าห้างแรกที่เราเจอด้วย แสดงว่าที่ Kathmandu มีห้างสรรพสินค้าจริงๆ แต่เราไม่ได้แวะแค่นั่งรถผ่าน แต่พยายามถ่ายภาพเอาไว้เพื่อเป็นความทรงจำว่านี่คือห้างสรรพสินค้าแห่งแรกที่เจอที่เนปาล ซึ่งก็ได้มาภาพเดียว


    ตอนประมาณเที่ยง เราก็เดินทางถึงเมืองปาตัน สถานที่ที่เราจะไปเที่ยวชมคือ "Patan Durbar Square" ซึ่งบอกไว้ก่อนเลยว่า ไม่ได้คาดหวังว่าจะเหลืออะไรมากน้อยแค่ไหนเพราะที่เนปาลเกิดแผ่นดินไหวเมื่อปีที่แล้ว แม้จะผ่านมาปีกว่า แต่ไม่ทราบว่าเขาบูรณะซ่อมแซมไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว แต่พอมาถึงจริงๆ ก็มีส่วนที่เขากั้นไว้กำลังซ่อมแซมอยู่ และส่วนที่ยังเหลืออยู่อีกมากซึ่งก็มีความสวยงามและน่าประทับใจ

    ค่าเข้าของ "Patan Durbar Square" คือคนละ 1,000 รูปีเนปาล และด้านนอกที่อยู่รอบๆ "Patan Durbar Square" ก็มีอาคารเก่าแก่ที่มีความสวยงามอยู่มากมายเช่นกัน บางอาคาร ด้านล่างจะเป็นร้านขายของ 

    พอจ่ายเงินค่าบัตรเข้า เราก็จะได้บัตรเข้า, ที่ห้อยคอว่าจ่ายเงินแล้วมาและเอกสารแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว


    เดินเข้าไปใน "Patan Durbar Square" จะมีทั้งส่วนที่กั้นเอาไว้ว่ากำลังซ่อมแซมกับส่วนที่เปิดให้เข้าชม


    เราสองคนเดินดูรอบๆ ด้านนอกก่อน ยังไม่ได้เข้าสู่ส่วนด้านในอาคาร รอบๆ  "Patan Durbar Square" ก็มีซอยหลายซอย ร้านค้าหลายร้านซึ่งล้วนเป็นอาคารเก่าแก่ที่มีความสวยงาม แต่เราเดินแค่ใน  "Patan Durbar Square" เท่านั้น ไม่มีเวลาพอไปเดินดูรอบๆ ข้างนอก พอถ่ายภาพกันจนพอใจก็เดินอ้อมกลับมาเข้าสู่อาคารหลังหนึ่งที่ทางด้านในจะมีลานกว้างตรงกลาง และมีอาคารล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน ซึ่งพอเดินเข้าไปอีกจะมีส่วนพิพิธภัณฑ์ของโบราณและส่วนที่จัดแสดงภาพถ่ายของเนปาลด้วย เราเดินไปดูตรงส่วนภาพถ่ายก่อนซึ่งเป็นอาคารที่มีสวนอยู่ใกล้ๆ ด้านหน้ามีโปสเตอร์ "Photo Exhibition"  และมีภาพถ่ายส่วนหนึ่งถูกจัดแสดงอยู่ด้านหน้า


    เดินขึ้นไปยังชั้น 2 และชั้น 3 จะเป็นแกลลอรี่ภาพถ่ายที่เกี่ยวกับเนปาลไม่ว่าจะเป็นทิวทัศน์และวิถีชีวิตชาวเนปาลที่อาศัยอยู่แถบภูเขา


    พอชมภาพถ่ายครบหมดทุกชั้นแล้วก็เดินลงมาแล้วเดินเข้าอาคารส่วนที่เป็น "Patan Museum" ซึ่งจัดแสดงโบราณวัตถุหลากหลายประเภท 


    ความจริงเรากับพี่แยกกันเดินตั้งแต่ตรง "Photo Exhibition" แล้ว ซึ่งส่วน "Patan Museum" จะมีหลายชั้น และมีหน้าต่างโดยรอบ ถ้ามองลงไปทางหน้าต่างแต่ละด้านจะเห็นตรงส่วนด้านล่างที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นลานตรงกลางอาคาร, มุมด้านหลังด้านหนึ่งของ "Patan Durbar Square"  หรือตรงลานหลักที่เราเดินเข้ามา และจะเห็นภาพโบราณสภาพที่กำลังซ่อมแซมในมุมระดับสายตาซึ่งแตกต่างจากการมองแบบมุมเสยขึ้นมาจากด้านล่าง


    พอเดินวนรอบพิพิธภัณฑ์เสร็จก็เดินลงมาด้านล่างออกสู่ทางเดินที่เข้ามา และเดินวนดูรอบๆ "Patan Durbar Square" อีกรอบเพื่อถ่ายภาพเก็บตก เพราะตอนแรกที่เดินรอบๆ ก็เดินตามพี่เขาไปเรื่อยๆ เลยอยากมาเดินถ่ายภาพสิ่งที่น่าสนใจหรือใช้เวลาเดินดูบริเวณรอบๆ ให้มากขึ้นอีกนิดด้วยตัวเอง ซึ่งตอนเดินก็ไม่ได้เดินเจอพี่เขาเลยแต่คิดว่าก็อยู่ในบริเวณนี้นี่แหละ ยังไม่ได้ออกไปนอกบริเวณ "Patan Durbar Square" และที่นี่ไม่ได้ใหญ่มาก เดินไปเรื่อยๆ ก็น่าจะเดินเจอกันเอง ส่วนไกด์ของเราเข้ามาไม่ได้เพราะต้องจ่ายเงินค่าเข้า ดังนั้นเขาจะรออยู่ทางด้านนอก ซึ่งก็ไม่ทราบอยู่ที่ไหนเหมือนกันตอนนั้น

    เราเดินวนและถ่ายภาพไปได้สักพักจนเดินอ้อมมาตรงจุดทางเข้าก็ยังไม่เจอทั้งพี่และทั้งไกด์ จะติดต่อก็ไม่ได้เพราะออกนอกที่พัก เราไม่มี wifi และไม่มีเบอร์ติดต่อ เลยเดินวนๆ อยู่แถวทางออก และเดินถ่ายภาพอยู่แถวนั้น จนพี่เข้าเดินมาหาแล้วว่า ประมาณให้ต่างคนต่างเดินเลยดีกว่า เหมือนเขาก็หาเราไม่เจอ เราเลยบอกว่าก็เดินตามหาพี่อยู่แต่ไม่เจอเหมือนกันเลยเดินออกมาดูข้างนอก ซึ่งพี่เขาก็เข้าใจ แล้วเราสองคนก็เดินไปแถวทางออกเพื่อรอเจอไกด์ จนเมื่อพบกันครบ 3 คน ไกด์ก็นำเราเดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามที่มีตลาดแล้วเดินขึ้นบันไดไปบนอาคารฝั่งตรงข้าม ทำให้เราเห็นภาพ "Patan Durbar Square" ในมุมอีกมุมหนึ่ง และเขาก็ช่วยถ่ายภาพให้เราสองคนตรงมุมนี้


    ถ่ายภาพจนพอใจ เราก็เดินลงมาข้างล่าง เราก็ถามไกด์เกี่ยวกับกุมารีแห่งปาตันว่าอยู่ไกลจากจุดตรงนี้มากหรือเปล่า เราอยากไปพบ  ไกด์ก็บอกอยู่ไม่ไกลมาก แต่พี่เขาก็ท้วงว่าจะไปพบกุมารีองค์จริง ควรไปเมืองใหญ่ที่ Kathmandu ดีกว่า เราก็บอกพี่เขาว่าขอเดินไปแป๊ปเดียว ไหนๆ ก็มาแล้วน่าจะไปพบองค์กุมารีแห่งปาตันด้วย สุดท้ายเราก็เดินตามไกด์ไปยังที่พำนักของกุมารีแห่งปาตัน ตลอดทางก็เป็นอาคารร้านค้า เราก็เดินถ่ายภาพสถานที่น่าสนใจไปตลอดทาง ไกด์ก็แวะถามคนข้างทางบ้างเกี่ยวกับทางไปที่พำนักองค์กุมารีปาตัน (ความจริงก็ไม่รู้ว่าถามอะไรหรอก เราเดินถ่ายภาพตามหลังห่างๆ พี่กับไกด์เดินนำหน้าไป)


    พอเดินทางไปถึงอาคารหลังหนึ่ง (ตอนนั่งรถผ่าน เราก็สนใจอาคารหลังนี้เพราะรูปปั้นด้านหน้า แต่ก็ไม่ทราบตอนนั้นว่าเป็นอาคารขององค์กุมารีปาตัน) ไกด์ก็นำเราเดินขึ้นอาคารหนึ่ง และก่อนพบกุมารีก็มีการทำความสะอาดมือและคุกเข่าเข้าไปให้องค์กุมารีเจิมหน้าผากให้ ถวายเงินแล้วถอยออกมา ซึ่งเราไม่ทราบจะได้กลับมาเนปาลอีกเมื่อไหร่ ดังนั้นการได้มาพบองค์กุมารีแห่งปาตันองค์จริงจึงถือว่าเป็นประสบการณ์และความทรงจำที่ดี (มาถึงเนปาล ควรมีโอกาสเข้าพบองค์กุมารีองค์จริงด้วยสำหรับเรา ไม่งั้นเหมือนมาไม่ถึงเนปาลทั้งองค์กุมารีปาตันและKathmandu)


    พอพวกเราพบองค์กุมารีแล้ว ก็เดินย้อนกลับมาที่ "Patan Durbar Square" ที่รถจอดอยู่ไม่ไกลเพื่อเดินทางไปยังสถานที่ต่อไป ซึ่งตอนนั้นจะบ่ายสองโมงแล้วต้องเดินทางไปอีก 2 สถานที่ตามที่ตกลงกันไว้ และไปทานอาหารกลางวันด้วย เราก็ทำเหมือนเดิมคือพยายามเก็บภาพสิ่งที่น่าสนใจ วิถีชีวิตชาวเนปาลระหว่างนั่งรถไปเรื่อยๆ เพราะไม่รู้ว่าจะได้เดินทางกลับมาเนปาลอีกหรือเปล่า ซึ่งบางอย่างเราสนใจอยากถ่ายภาพ แต่เพราะอยู่อีกด้านของตัวรถที่พี่เขานั่งอยู่ เราเลยถ่ายภาพไม่ได้ เพราะก็ต้องเกรงใจพี่เขาด้วย จะไปยื่นมือถือผ่านหน้าพี่เขาไม่ได้ เลยต้องพยายามถ่ายภาพผ่านกระจกหน้ารถเอา


    เดินทางมาได้สักพักประมาณ 20 นาที  ไกด์ส่วนตัวของเราก็ขับรถมาจอดที่ร้านอาหารร้านหนึ่ง ซึ่งเราจะได้ลองทานอาหารของเนปาลดู (ละมั้ง ก็ไม่ได้ต่างจากอาหารที่เราทานที่เมืองไทยนะ ความจริงเราก็ไม่รู้อาหารพื้นเมืองเนปาลเป็นไง ตอนนี้ก็จำรสชาติไมไ่ด้แล้วด้วย) ส่วนทางเข้าร้านอาหารก็ต้องเดินเข้าไปอีกหน่อย ส่วนใหญ่การเดินทาง พี่เขาจะเป็นคนคุยกับไกด์ ส่วนเราพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง ส่วนมากเดินตามและถ่ายภาพไปเรื่อยๆ มากกว่า


    ค่าอาหารมื้อนี้ 1,000 รูปีเนปาล รวมของไกด์ด้วย พี่กับเราตกลงกันว่าจะจ่ายให้ไกด์ซึ่งเป็นสิ่งที่เราควรต้องทำอยู่แล้ว มื้อนี้เราเลยหารกันคนละ 500 รูปีเนปาล 

    พอทานอาหารกลางวันเสร็จ เราก็ออกเดินทางสู่จุดหมายที่ 3 ของวันนี้ นั่นคือ "Pashupatinath Temple" ซึ่งตามที่หาข้อมูลมา วัดแห่งนี้จะมีการเผาศพกลางแจ้งริมฝั่งแม่น้ำด้วย

    ระหว่างทางที่รถผ่าน ก็ผ่านหน้าสนามบิน ตอนเดินทางมาถึง Kathmandu เราขึ้นเครื่องบินเล็กไป Pokhara เลย ดังนั้นจึงไม่ได้ออกทางด้านหน้าสนามบินเลยไม่เคยเห็นประตูทางเข้าสนามบิน เราเห็นว่าสวยดีเลยถ่ายภาพตอนรถวิ่งผ่านเอาไว้


    ประมาณเกือบบ่าย 3 โมง เราก็เดินทางมาถึง "Pashupatinath Temple" ค่าบัตรเข้า 1,000 รูปีเนปาล วัดนี้ไกด์เข้ามาได้ เลยนำเราเดินเข้าสู่ด้านในของวัด ซึ่งระหว่างทางก็มีร้านขายของที่ระลึกอยู่ข้างทาง แต่เราไม่ได้แวะดูแค่เดินผ่านไป

    เดินเข้ามาด้านในจะมีอาคารอยู่สองฝั่ง กั้นด้วยคลองเล็กๆ ฝั่งตรงข้ามเรามีอาคารเรียงกันเป็นแถวยาว และมีเชิงตะกอนอยู่ริมคลอง แต่ไม่ได้อยู่ติดกับคลองเลยเพราะต้องมีบันไดลงไปอีก เราเลือกจะเดินชมในฝั่งที่เรายืนอยู่ก่อนแล้วค่อยเดินข้ามไปอีกฝั่งที่มีสะพานเชื่อมถึงกัน

    ฝั่งที่เราเลือกเดินต้องขึ้นบันไดไป แต่ระหว่างช่วงบันไดที่เดินขึ้นก็มีสิ่งที่น่าสนใจมากมายรวมถึงมีคนที่แต่งตัวที่เราคิดว่าเขาน่าจะเป็นฤาษีด้วย (รึเปล่าเพราะปกติคิดว่าต้องห่มหนังเสือแต่นี่ชุดเสื้อผ้าสีสันสดใส) หนวดยาวสีขาว แต่จะถ่ายภาพด้วยต้องจ่ายเงินก่อน ซึ่งเราก็ยอมจ่ายเพราะอาจมีโอกาสเพียงครั้งเดียวที่จะได้ถ่ายภาพด้วย

    เดินขึ้นบันไดมาเรื่อยๆ จนมายืนอยู่มุมสูง จะสามารถมองเห็นอาคารฝั่งตรงข้ามได้ในมุมกว้าง เราเลยตัดสินใจถ่ายภาพแบบพาโนราม่าเพื่อเก็บภาพให้มากที่สุด


    ความจริงเวลาถ่ายภาพคน ก็ต้องดูด้วย เพราะบางทีต้องเสียเงิน บางครั้งเราไม่ทราบ ถ่ายภาพไปแล้วเขาอาจมาให้เราจ่ายเงินก็ได้ ถ้าไม่อยากจ่ายเงินก็ต้องหลบเลี่ยงดีดี 

    เดินขึ้นไปเรื่อยๆ ก็มาเจอกำแพงที่มีรูที่มีลักษณะเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมและเหมือนมีคนมาขอพรอยู่ เราก็ไม่แน่ใจว่าใช่จุดที่เขามาขอพรได้แบบที่เราคิดไหม แต่ก็น่าสนใจดี


    ด้านบนสุดจะมีร้านอาหาร, Deer park และโบราณสถานอยู่มากมายให้เลือกเที่ยวชมและถ่ายภาพ เราก็เลืิอกถ่ายภาพแบบพาโนราม่าไว้ด้วยเพื่อจะเก็บภาพต่อกันให้ได้มุมกว้างที่สุด


    พอถ่ายภาพเสร็จแล้วก็เดินลงบันไดแล้วข้ามสะพานไปยังฝั่งตรงข้าม (ที่มีแท่นด้านหน้าติดคลองไว้สำหรับทำพิธีเผาศพ) ถ้าเดินไปตามทางเดินเลียบคลอง ตอนช่วงนั้นก็ยังมีการทำพิธีเผาศพอยู่ แต่ไกด์เตือนเราไม่ให้ถ่ายภาพเพราะจะเป็นการไม่ให้ความเคารพและไม่ดีต่อญาติพี่น้องผู้เสียชีวิต


    เมื่อเดินเข้ามาอีกจะมีส่วนด้านในอีกส่วนหนึ่งที่ต้องเสียเงินค่าเข้า แต่เรามีบัตรที่จ่ายมาแล้วเลยเดินเข้าไปชมได้แต่ไกด์เข้าไม่ได้ เราเลยเดินเข้าไปกันสองคนกับพี่ แต่ก็ไปสุดที่ตรงนี้แล้วเดินกลับ จำไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงเข้าไปข้างในอีกไม่ได้ ถ้าไม่เสียเงินเพิ่มก็เปิดให้เข้าเฉพาะคนเนปาลเข้าเท่านั้น


    วัดนี้ถ้าเดินดูรอบๆ ฝั่งนี้ก็มีลิงอยู่เยอะเหมือนกัน แต่ก็มีสัตว์ประเภทอื่นด้วยอย่างนกหรือสัตว์ที่คล้ายวัว


    พอเดินออกจากวัดนี้ก็สี่โมงเย็นแล้วยังเหลือต้องไปอีก 1 สถานที่ เราเลยรีบเดินทางต่อไป เพราะเย็นกว่านี้แสงจะหมดและที่ตกลงกันเอาไว้คือ 6 - 8 ชั่วโมงสำหรับทริปนี้ ซึ่งหมายความว่าคนขับรถของเราต้องมาส่งเราที่โรงแรมอย่างช้าสุดตอน 6 โมงเย็น

    สถานที่ที่ 4 ของเราในวันนี้คือ "Boudhanath" ซึ่งเรามาถึงที่จอดรถตอนหกโมงเศษแล้วต้องเดินข้ามถนนที่การจราจรหนาแน่นไปจนถึงสถูป


    มาถึง "Boudhanath" ก็ต้องเสียค่าเข้าคนละ 250 รูปีเนปาล คนเยอะมากและเหมือนมีพิธีอะไรอยู่ด้วย เพราะมีพระและมีเสียงสวดมนตร์ แต่รอบๆ เจดีย์ก็มีร้านค้า ร้านอาหารอยู่รอบๆ ทั้ง 360 องศาเลย เราก็เดินตามไกด์ไปเรื่อยๆ 


    เดินมาถึงทางขึ้นองค์เจดีย์ คนยิ่งเบียดกันแน่นมากยิ่งขึ้น ต้องรอคนข้างหน้าเดินขึ้นไป ด้านบนก็เป็นธงแบบเนปาลหลากหลายสีแขวนอยู่เต็มไปหมด 

    เมื่อเดินขึ้นมาถึงด้านบน ถ้ามองไปด้านข้างๆ มุมหนึ่งจะมีชาวเนปาลหลายคนกำลังนั่งสวดมนตร์อยู่เต็มไปหมด เราก็เดินรอบๆ องค์เจดีย์ตามไกด์ไป ความจริงจะมีส่วนตรงหนึ่งที่ห้ามคนนอกเข้า แต่ไม่ทราบอย่างไรเขาให้พวกเราเข้าไปตรงส่วนนั้นได้ซึ่งมีพระของเนปาลนั่งอยู่หลายรูป อาจจะเพราะพิธีใกล้เสร็จสิ้นหรือเสร็จสิ้นลงไปแล้วก็ได้ ตรงสุดปลายเสื่อก็มีชาวเนปาลนั่งสวดมนตร์อยู่หลายคนเหมือนกัน


    พอถ่ายภาพด้านบนเสร็จ เราก็เดินลงมาด้านล่างและตามไกด์ไปยังตึกหลังหนึ่งซึ่งบนชั้นสองเป็นที่ประดิษฐานของสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่แต่เขาห้ามเราถ่ายภาพ พอเดินขึ้นไปชั้นบนอีกก็จะมีระเบียงที่ทำให้เราเห็นองค์เจดีย์ในอีกมุมหนึ่งต่างจากเมื่อกี้เวลาถ่ายภาพเราจะได้มุมเสยองค์เจดีย์ขึ้นไป


    เราออกจาก  "Boudhanath" ก็ห้าโมงเย็นแล้ว เราก็บอกพี่เขาว่าพอไปถึงโรงแรมก็น่าจะหกโมง พี่เขาก็คุยกับเราเรื่องทิปคนขับรถ แต่ก็ยังไม่ได้ตกลงใจจะเอาอย่างไรดี ส่วนตัวเราถึงอยากประหยัดมากแม้วันนี้คนขับรถจะเป็นไกด์ส่วนตัวของเราสองคนด้วย

    เรามาถึงโรงแรมตอนห้าโมงกว่าและสุดท้ายเราก็ไม่ได้จ่ายทิปให้คนขับรถนอกจากขอบคุณเขา  (พอมาเขียนไป อ่านไปตอนนี้ ความจริงเราควรจะทิปเขาจริงๆ) เราเดินขึ้นห้องพัก อาบน้ำแต่งตัวกันใหม่ เราก็ทำรายจ่ายและหนี้ที่ติดพี่เขาไว้แล้วลงมาคุยกับพนักงานโรงแรมที่รีเซฟชั่นเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวพรุ่งนี้ เขาก็เสนอสถานที่และราคาถ้าเหมารถไป เราก็บอกสถานที่ที่เราอยากไปด้วยเหมือนกัน แต่สรุปก็ยังไม่น่าสนใจพอ เราเลยคิดว่าจะกลับมาสอบถามพรุ่งนี้เช้าอีกทีเพราะสถานที่ที่เราอยากไปใน Kathmandu และปาตัน เราก็ไปมาแล้ว เหมือนคิดไม่ออกจะมีสถานที่ไหนดี พี่เขาก็แนะว่าอาจลองแถวย่านทาเมลหรือลองหาสถานที่อื่น ความจริงยังเหลือ "Kathmandu Durbar Square" อีก แต่เนื่องจากแผ่นดินไหวปีที่แล้วเลยไม่ทราบจะซ่อมแซมไปถึงไหนแล้วตอนนี้ 

    หลังสอบถามเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวเสร็จ พวกเราก็ออกไปหาอะไรทานกันและเดินเที่ยวเล่นรอบๆ ย่านทาเมลตากลมเย็นๆ ดูของขาย เพราะเมื่อวานแค่เดินผ่านๆ บรรดาร้านค้าและหาที่แลกเงินเท่านั้น

    เดินไปเรื่อยๆ ก็ผ่านร้านอาหารหลายร้านก็ไม่รู้จะทานอะไรกันดี จนมาถึงร้านหนึ่ง ดูเมนูแล้วตัดสินใจเอาร้านนี้แหละ ราคาก็ทั่วไปเท่าๆ ที่เคยทานมา ร้านก็ตกแต่งด้วยลูกโป่ง ริ้บบิ้นเพราะพรุ่งนี้ก็วันคริสต์มาสแล้ว พนักงานเสิร์ฟก็ใส่หมวกซานตาคลอส 


    อาหารที่ตัวเองเลือกสั่งก็คือเมนูเดิมที่ทานมาหลายร้านตั้งแต่โพคาราแล้วคือ "grill chicken" ราคาก็พอๆ กันเพราะไม่รู้จะเลือกทานอะไรเหมือนกัน มื้อนี้ไม่มีทั้งภาษีและค่าบริการ สองคนรวมกัน 815 รูปีเนปาล

    หลังทานอาหารเย็นเสร็จ เราก็ออกไปเดินเล่นในย่านทาเมล คืนนี้เป็นคืนก่อนวันคริสต์มาส เราก็จะเห็นคนบางกลุ่มใส่หมวกซานตาคลอสหรือใส่ที่คาดผมมีเขาแบบ devil หรือที่คาดผมแบบอื่นๆ แต่มีไฟเรืองแสงเป็นสีๆ ร้านหลายร้านก็ตกแต่งให้เข้ากับช่วงเทศกาลคริสต์มาส


    เดินไปตามถนน ซอยต่างๆ จะมีคนเยอะเป็นช่วงๆ และมีระดับแสงไฟแตกต่างกัน บางที่ก็มืด บางที่ก็สว่าง แต่จุดที่เหมือนเป็นย่านกลางๆ ที่มีการประดับตกแต่งและไฟค่อนข้างสว่างจะมีคนอยู่เยอะอย่างหนาแน่น และมีคนมายืนขายพวกที่คาดผมที่เป็นไฟสีๆ อยู่ตามข้างทาง


    เดินกันจนสองทุ่มกว่าก็กลับถึงที่พัก นอนดูทีวีกัน มาเนปาลครั้งนี้ เราเปลี่ยนที่พักทั้งหมด 3 โรงแรม ที่นี่เป็นที่เดียวที่มีทีวี ก็นอนดูทีวีกันไป ตอนประมาณเกือบเที่ยงคืน เราก็นึกถึงโปเกมอนขึ้นมาเพราะช่วงนั้น Pokemon Go ก็ยังฮิตเล่นอยู่ แม้เราจะไม่ค่อยได้เล่นแล้ว แต่ที่เราสนใจคือมันจะมี Pokestop ที่ถ้าเป็นเมืองไทยจะนิยมปรากฏรูปศาลประภูมิ เราก็อยากรู้ถ้าเป็นเนปาลจะขึ้นเป็นสถานที่อะไร ก็เปิด App เล่นและแคปหน้าจอสถานที่ต่างๆ ที่เป็น Pokestop ของเนปาลไว้ด้วย แล้วก็คิดอยากจับโปเกมอนที่เนปาลเป็นที่ระลึกสักตัว ก็สงสัยว่าจะได้ตัวอะไร (มันเคยมีที่ว่าโปเกมอนบางตัวจะมีอยู่แค่บางประเทศเท่านั้น) เปิด App อยู่แป๊ปหนึ่งก็มีตัวโปเกมอนที่เจอได้โดยทั่วไปโผล่ขึ้นมา พอจับได้ก็แคปหน้าจอเป็นที่ระลึกและก็ขึ้น Level 21 ที่เนปาลนั่นเอง นอนดูทีวีได้สักพักก็เข้านอนกัน พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางเที่ยวกันอีก


    ความจริงวันนี้ตอนที่เจอคุณลุงที่ทักเราตอนทานอาหารเช้า เราก็มาเล่าให้พี่เขาฟังตอนอยู่บนห้อง พี่เขาก็บอกเราว่าใช่ เขาจำได้ นอกจากคุณลุงคนนี้จะนั่งข้างเราตลอดการเดินทาง 3 ชั่วโมงเศษ (และเราหงุดหงิดเขาที่มาบังหน้าต่างเครื่องบินตอนใกล้ลงจอด ทำให้เราถ่ายภาพวิวภูเขาไม่ได้) คุณลุงคนนั้นยังอยู่ห้องตรงข้ามเรา 

    (ความจริงเมื่อคืนที่เรามารอให้พนักงานไขกุญแจเข้าห้องพักแล้วคุณลุงก็เปิดประตูห้องออกมาถามพนักงานเรื่องผ้าเช็ดตัวที่ไม่มี เราก็หันไปมองก็เห็นว่าเป็นผู้ชายเหมือนคนจีนตัวอ้วนๆ มีอายุ แต่ถามว่าเราจำหน้าเขาได้ไหม เราบอกเลยจำไม่ได้ เพราะเราหันไปมองอย่างหงุดหงิดเพราะเขาเรียกพนักงานเอาไว้ เราเลยต้องยืนรออยู่หน้าห้อง เข้าห้องพักไม่ได้ ตอนที่เขาทักเราตอนทานอาหารเช้า เรายังจำเขาไม่ได้เลยว่าอยู่ห้องตรงข้ามเรา)

    พี่เขาบอกว่าเมื่อคืนที่เราเพิ่งมาถึง เหมือนสัญญาณ wifi จะไม่ค่อยดี พี่เขาเลยไปนั่งเล่นมือถือแถวเราเตอร์ที่อยู่ตรงชั้นพักของบันไดแต่ละชั้น พี่เขาก็บอกก็เจอคุณลุงคนนี้ออกจากห้องมาเหมือนกัน แล้วพี่เขาจำได้ เราก็บอกจริงดิ บังเอิญมากๆ เพราะเราไปโพคาราก่อนแล้วค่อยมา Kathmandu ดันมาเจอว่าอยู่โรงแรมเดียวกัน เท่านั้นไม่พอยังอยู่ห้องตรงข้ามกันด้วย พอเรารู้แบบนี้ ตอนเรากลับมาจากการเที่ยว 4 สถานที่ อาบน้ำแต่งตัวรอออกไปข้างนอก เราก็คอยฟังเสียงประตูห้องตรงข้ามว่าจะเปิดหรือเปล่า เราอยากถ่ายภาพเขาเป็นที่ระลึกเพราะบังเอิญมาก แต่ไม่เจอ พอตอนกลับมาหลังไปเดินเที่ยวตอนกลางคืน เราก็คอยฟังเสียงประตูเปิดปิดอีก บางทีก็ลองเปิดประตูห้องออกไปดู เพราะเตียงเราใกล้ประตูอยู่แล้วแต่ไม่เจอ เราเลยตัดสินใจลองออกไปนั่งแถวๆ เราเตอร์ตรงบันไดดูเพราะยังไงก็ต้องการใช้ wifi อยู่แล้วเพราะในห้องสัญญาณไม่ดี แต่จุดประสงค์หลักก็หวังจะเจอคุณลุงผ่านมาเหมือนกันแต่ก็ไม่เจอคุณลุงอยู่ดี รออยู่สักพัก แบบอากาศก็เย็นๆ ก็ตัดสินใจเดินกลับเข้าห้อง ซึ่งความจริงเราก็ไม่ค่อยโอเคจะมายืนนอกห้องคนเดียวเหมือนกันถึงแม้เดินขึ้นไปนิดเดียวก็ถึงห้องแล้ว เพราะอย่างไรเราก็ไม่รู้ว่ามีใครพักอยู่ในโรงแรมนี้บ้าง สิ่งที่เราทำอาจดูเหมือนโรคจิต แต่บังเอิญขนาดนี้อยากถ่ายภาพคุณลุงเขาไว้เป็นที่ระลึกจริงจริง เพราะบังเอิญมากๆ เรื่องแบบนี้ไม่น่าเกิดขึ้นบ่อยบ่อยในชีวิต แต่สุดท้ายเราก็ไม่ได้เจอคุณลุงอีกเลยวันนั้น (แต่พรุ่งนี้ยังมีอีกวันที่ลุ้นว่าจะเจอไหม อยากได้ภาพถ่ายเป็นที่ระลึกเพราะว่าบังเอิญมาก)
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in