เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Vantage PointTeepagorn W.
On Bittersweetness of Growing Up
  • ความหวานขมของการเติบโต

    1. คุณมีเงินพอที่จะซื้ออะไรที่อยากกินได้เอง แต่กินอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็อ้วน
    2. คุณมีเงินพอที่จะซื้ออะไรมาเล่น มาปรนเปรอตัวเอง แต่ก็ไม่ค่อยมีเวลาได้เล่น
    3. จะว่าไป ดูเหมือนคุณจะไม่มีเวลาทำอะไรเลย
    4. เวลาผ่านไปไว วันหนึ่งๆ แป๊บๆ ก็เที่ยงแล้ว และอีกลมหายใจก็เย็นแล้ว
    5. แล้วก็หมดไปอีกวัน อีกวันที่คุณไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
    6. ความฝันที่คุณเคยมีดูห่างไกลออกไปเรื่อยๆ
    7. และคุณก็เริ่มสงสัยว่านั่นเป็นเพียงความฝันโง่ๆ ของเมื่อวาน
    8. จึงทำให้คุณเริ่มเกลียดตัวเอง ที่คุณกลายเป็นผู้ใหญ่โง่ๆ ที่คุณเคยเกลียดไปด้วย
    9. เพื่อนของคุณเหลือไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนที่หลุดรอดจากการทดสอบของกาลเวลา
    10. แต่โชคดีที่มันเป็นเพื่อนที่ดี ที่อาจเหนี่ยวรั้งกันไว้ไปได้อีกนาน
    11. คนที่คุณเคยเชื่อ เคยศรัทธา ทำให้คุณเชื่อไม่ได้ง่ายๆ อีกแล้ว
    12. และคุณก็สงสัยว่าทำไมคุณเคยเชื่อพวกเขา
    13. อีกนัยหนึ่ง คุณก็อยากเชื่อพวกเขาได้อีกครั้ง แม้จะต้องยอมกลับไปอยู่อย่างไม่รู้อะไรก็ตาม
    14. เพราะเมื่อคุณไม่เชื่อพวกเขา ก็ดูเหมือนจะไม่มีสิ่งใหม่ให้คุณเชื่อได้อีก
    15. แต่คุณก็รู้ว่าคิดอย่างนี้มันผิด และนั่นก็ทำให้คุณสับสน

    16. ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน จะดูอะไร จะอ่านอะไร ก็ดูเหมือนทุกสิ่งเป็นสิ่งที่คุณเคยเห็นมาแล้ว เคยอ่านมาแล้ว เคยรู้มาแล้ว แทบทั้งหมด คุณสงสัยว่าตัวเองอาจเป็นน้ำเต็มแก้ว ที่เติมอะไรลงไปไม่ได้อีกแล้ว นั่นทำให้คุณกลัว คุณเคยอยากเติบโต อยากเก่งอย่างรวดเร็ว คุณจึงทุ่มเทความพยายามและเวลาลงไปในทุกทางที่จะทำให้คุณเก่ง ที่จะ 'พิสูจน์' ตัวเองได้เร็วที่สุด คุณอาจพิสูจน์ตัวเองได้ในทางหนึ่ง ในระดับหนึ่งแล้ว แต่นั่นก็ทำให้คุณเผชิญกับความว่างเปล่า คุณรู้ว่ายอดเขาอีกไกล แต่คุณก็ปีนมาไกลจนเริ่มสงสัยว่าบนยอดเขาไม่มีอะไรเลย ไม่ว่าคุณจะมองไปทางไหน ทุกสิ่งก็เป็นเพียงฝุ่นผงที่คุณเคยสัมผัสมาแล้วทั้งนั้น คุณจึงรู้สึกเบื่อ - คุณรู้ด้วยซ้ำว่าคิดแบบนี้อาจดูอหังการ์ คุณจะไปรู้ทุกสิ่งแล้วได้อย่างไร คุณยังเป็นแค่ตัวอ่อนของโลกแห่งผู้ใหญ่ แต่การปีนป่ายเต็มแรงนานหนักหนาก็ทำให้คุณเหนื่อยจนเกินจะสู้ต่อ คุณเริ่มฝันถึงชีวิตง่ายๆ ที่ไม่ต้องดิ้นรนอะไร แต่คุณก็กลัวว่าการคิดแบบนั้นจะทำให้คุณเป็นพวกโลกสวย คุณเป็นคนที่ไม่กล้าเชื่ออะไรเต็มร้อยเปอร์เซนต์สักอย่างเพราะการเชื่ออะไรร้อยเปอร์เซนต์เคยทำให้คุณเจ็บปวดจนแทบยืนไม่ไหวมาแล้ว

    17. ทำอะไรนิดหน่อยก็เหนื่อย จะให้วิ่งเล่นเต้นรำเหมือนเด็กก็ยากแล้ว
    18. ไม่ได้ไม่มั่นคง แต่ก็เป็นความมั่นคงที่อยู่บนฐานที่จะล้มเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
    19. จะนัดเพื่อนกินข้าวแต่ละทีก็ยาก แต่ละคนก็ไม่ว่างตรงกันเลย
    20. รู้สึกกลัวว่าตัวเองจะ 'ตกรุ่น' ในทุกๆ วัน ไม่ต่างจากโทรศัพท์มือถือ

    21. คุณเคยเชื่อและแสดงออกอย่างสุดจิตสุดใจ และคุณก็ชอบที่คุณสามารถแสดงออกได้อย่างสุดจิตสุดใจอย่างนั้น แต่การเติบโต ทำให้คุณเห็นว่าเรื่องหนึ่งๆ สามารถมองได้มากกว่าหนึ่งมุม คุณอาจถูกในระดับหนึ่ง แต่ก็อาจจะผิดในระดับถัดไป ระดับที่สูงกว่า ระดับที่มี 'ผู้รู้' ที่รู้มากกว่าที่พร้อมทลายตรรกะของคุณให้เป็นผุยผง และนั่นทำให้คุณกลัว คุณกลัวที่จะแสดงออกถึงอะไรอย่างสุดจิตสุดใจ คุณมักจะเผื่อด้วยคำว่า "อาจจะ" "น่าจะ" "บางสิ่ง" "บางอย่าง" "บางคน" เสมอๆ เพื่อไม่ให้คุณผิดเกินไปนัก นั่นทำให้คุณรู้สึกปลอดภัยในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจทำให้คุณพอใจได้อีกแล้ว

    22. คุณไม่กล้าทำอะไรเต็มที่ เพราะคุณกลัวว่าถ้าหากคุณทำเต็มที่แล้วผลออกมาไม่ดี คุณจะไม่มีโอกาสที่สอง เมื่อคุณทำอะไรไม่เต็มที่ อย่างน้อย คุณก็ยังพูดได้ว่า "เพราะชั้นยังไม่เอาจริงยังไงล่ะ" คุณรู้ดีว่าการพูดแบบนี้ทำให้คุณกลายเป็นพวกสันดานเสีย แต่ความกลัวความพ่ายแพ้ - ความผิดพลาด ก็มักเป็นฝ่ายทำให้คุณพยายามเพียงหยิบหย่งเสมอ

    คุณนึกอิจฉาใครๆ ที่ทำอะไรเต็มที่ตามแรงปรารถนาได้ คุณกังวลว่าคุณจะไม่มีวันเป็นอย่างพวกเขาได้อีกแล้ว ในขณะที่เวลาของคุณก็หวดสั้นลงทุกที

    24. คุณเรียนรู้ที่จะเลิกอธิบาย เมื่อคุณอธิบายอย่างสุดความสามารถแล้วก็ยังไม่สามารถโน้มน้าวคนที่เชื่ออย่างอื่นให้เชื่ออย่างคุณได้ คุณไม่ได้คิดว่าตัวเองถูก คุณเพียงพยายามอธิบายว่าทำไม - อะไรที่ทำให้คุณเชื่ออย่างนั้นเท่านั้น และคุณก็อยากเข้าใจว่าอะไร - ทำไมที่ทำให้เขาเชื่ออย่างนั้นโดยไม่ต้องมีข้อสรุปก็ได้

    ท่ามกลางกับดักของตรรกะที่เขาวางไว้ทั่วพื้น คุณพลาดไปเหยียบบางอัน แล้วเขาก็ถือว่าการที่คุณเหยียบกับดักตรรกะนั้นเข้า ถือว่าตัวตน อรรถาธิบายและการมีอยู่ของคุณผิดทั้งหมด คุณกำลังจะอธิบายว่า การสรุปอย่างนั้นก็แสดงว่าเขากำลังใช้ตรรกะที่ผิดเหมือนกัน แต่ไม่ - เขาปิดประตูหนีไปเสียแล้ว

    25. ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ที่คุณไม่กล้าพูดคำว่าเหงาออกมาดังๆ ให้คนอื่นได้ยิน คุณกลัวว่าคนอื่นจะสงสารคุณ กระทั่งสมเพช เพราะในบางมุม บางแวบขณะหนึ่งของเวลา คุณก็อดสมเพชตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ คุณถมเวลาและความสนใจทุกขณะจิตให้เต็มด้วยงาน งาน งาน และงาน วันหนึ่งๆ ผ่านไปว่องไว คุณไม่เหลือเวลาให้บทสนทนาที่ไม่สร้างมูลค่า คุณไม่มองหาใครใหม่ๆ แล้วคุณก็สงสัยว่าทำไมคุณไม่เหลือใครเลย ในห้องที่ว่างเปล่า คุณฉาบความเหงาไว้บางเบาด้วยภาพเคลื่อนไหว ซีรีส์เรื่องแล้วเรื่องเล่า ที่คุณนำเข้ามาจับจองพื้นที่ของสมอง เพื่อให้ไม่ต้องเห็นว่า ถ้าไม่มีสิ่งนี้แล้ว ก็ไม่มีใครที่อยู่ในความสัมพันธ์ของคุณอีก งานแต่งงานของคนอื่นคือบอระเพ็ดเคลือบช็อคโกแล็ต มันหวานซึ้งจนน้ำตาของคุณร่วง เผาะ เผาะ แต่ต่อมาคุณก็สำนึกได้ว่าคุณไม่ได้ร้องไห้ด้วยความยินดีเพียงอย่างเดียว ในเจือน้ำตานั้นมีความเศร้าที่คุณกังวลว่าไม่ว่าอนาคตอีกกี่ปี กี่ทศวรรษ คุณก็จะไม่มีวันมีงานแบบนั้นเป็นของตัวเอง ถึงมันยังไม่ใช่ความจริงแต่มันก็เป็นสิ่งที่คุณมั่นใจขึ้นเรื่อยๆ คุณรักเพื่อนสนิทและครอบครัวของเพื่อนสนิทราวกับเป็นครอบครัวของตัวเอง แต่คุณก็รู้ว่าเขาและเธอจะไม่มีวันเป็นครอบครัวในความหมายที่คุณต้องการ แต่มันก็เป็นสิ่งดีรองลงมาที่คุณพอจะยอมรับได้ คุณได้แต่สงสัยว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดของคุณได้ผ่านพ้นไปกับเขาแล้วใช่ไหม มันจะไม่มาอีกแล้วใช่ไหม แล้วคุณก็เปิดดูซีรีส์อีกตอน และอีกตอน
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in