เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Lazy Pace StoryPituphoom
จดหมายจากมิยาจิมะ ตอนที่ 1
  • จากความคิดที่รวบรวมได้ระหว่างทางเดิน
    12 ธันวาคม 2560

     

    ถึงคุณ

     

     

    ‘ตอนนั้นคุณคิดอะไรอยู่ในใจบ้างนะ’ นั่นเป็นคำถามที่เกิดขึ้นระหว่างที่ผมยังเดินตามมาข้างหลังคุณอยู่ไกล ๆ

    จังหวะก้าวของคุณที่ดูเนิบช้าทีละก้าวต่อก้าวคล้ายกับคนใกล้จะหมดแรง แต่กลับต่อเนื่องไม่หยุดอย่างกับว่าการเดินขึ้นทางชันสู่ยอดเขามิเซนนั้นเป็นเรื่องง่ายดายในชีวิตประจำวัน เหมือนกับการตื่นนอนตอนเช้าเพราะแสงแดดอุ่นเริ่มแยงตา หรืออาจจะเป็นการทิ้งตัวลงนอนแล้วหลับไปจนถึงเช้าหลังจากวันที่เหน็ดเหนื่อย ผมหมายถึงมันดูเหมือนเป็นสิ่งที่ทำได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายอะไรแบบนั้น
    ผมเริ่มต้นจากการเดินตามหลังคุณมาไกล ๆ จนระยะห่างมันใกล้เข้ามาจนจะตามทันด้วยเวลาไม่นานเท่าไหร่นัก นั่นก็หมายความว่าผมเดินเร็วกว่าคุณพอสมควรทีเดียว

     

    แต่เรื่องความเร็วหรือระยะทางอะไรนั่นไม่ใช่ประเด็นที่ผมอยากจะตั้งคำถามกับคุณหรอก ผมแค่สงสัยเหมือนที่ถามไปแต่แรกแล้วว่า ตอนที่คุณเดินช้า ๆ แบบนั้นมันมีความคิดอะไรอยู่ในใจบ้าง เพราะในขณะที่ผมพยายามเดินให้เร็วที่สุดนั้น ผมกลับมองเห็นแค่คุณที่เดินนำหน้า ในเวลาเดียวกันก็คิดถึงแต่การรีบร้อนไปให้ถึงยอดเขาให้ทันเวลาที่ตั้งเป้าเอาไว้ จนดูเหมือนจะพลาดโอกาสใช้เวลาในเส้นทางสงบสันโดษแบบนี้ให้คุ้มค่าอย่างที่มันควรจะเป็นไปเสียได้
    .
    .
    เรือเฟอร์รี่พาผมข้ามมายังมิยาจิมะ เกาะขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่อยู่ทางทิศใต้ของจังหวัดฮิโรชิมา ตอนสายของวันนั้นมีหิมะตกเป็นละอองเบาปลิวกระจายทั่วไปหมด เลยทำให้มองเห็นเสาประตูโทริอิใหญ่ยักษ์สีแดงที่ตั้งอยู่กลางทะเลบริเวณหน้าเกาะได้ไม่ชัดเจนนักจากบนเรือ และท้องฟ้าสีหม่นทึมยังทำให้มันดูจะสีชืดจางลงไปอีกนิดหน่อย ผิดจากที่เคยเห็นในรูปถ่ายตามอินเตอร์เน็ตที่ดูมีสีสันตัดกับแสงเงาจากดวงอาทิตย์ แต่ก็แน่ล่ะ มนุษย์อย่างเรา ๆ ยังต้องเลือกรูปภาพที่ดีที่สุดจนดูดีกว่าตัวจริงไปบ้างมาตั้งเป็นรูปประจำตัว ไม่ต่างอะไรกับเสาโทริอิต้นนั้นที่คงต้องเลือกรูปสวย ๆ มาพิมพ์เป็นโปสต์การ์ดไว้เชื้อเชิญนักท่องเที่ยวให้มาเยือนบ้างเป็นธรรมดา

     
    จะว่าไปบรรยากาศของหมู่บ้านบนเกาะนี้ก็น่าสนใจอยู่ทีเดียว บ้านเรือนร้านค้าในแบบญี่ปุ่นกลางเก่ากลางใหม่ที่เรียงรายตามทาง เชิญชวนให้อยากเดินเข้าตรอกซอกซอยหามุมถ่ายรูปสวย ๆ อยู่ไม่น้อย แต่ก็ทำได้แค่เก็บภาพถ่ายนิดหน่อยระหว่างเดินที่จะมุ่งหน้าไปสู่เป้าหมายแท้จริงของการมาเยือนเกาะมิยาจิมะของผมครั้งนี้ ทางทิศตะวันตกของเกาะผ่านด้านหลังศาลเจ้าอิสึคุชิมะ เดินต่อไปสักระยะหนึ่งคือบริเวณสวนโอโมโตะเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางโอโมโตะ (Omoto Course) หนึ่งในเส้นทางเดินป่าที่จะพาขึ้นไปยังยอดเขามิเซนที่เป็นเป้าหมายหลักของการมาที่นี่

     
    ตรงนั้น ที่รอต้อนรับผู้มาเยือนที่นาน ๆ จะผ่านมาถึงจุดนี้สักคน คือเจ้ากวางน้อยหน้าตาดีที่นอนอาบแดดอย่างสบายใจ ดูเหมือนมันจะอมยิ้มสงวนท่าทีขบขันในรูปร่างหน้าตาของมนุษย์อยู่ด้วยเล็กน้อย ละอองหิมะบางเบายังไม่ได้หนาแน่นพอที่จะปิดบังสีสันของใบไม้แห้งที่หล่นทับถมสลับแดงเหลืองส้มปูเป็นพรมเชื้อเชิญให้เดินเข้าไปทำความรู้จักกับอ้อมกอดของเหล่าต้นไม้ที่โอบล้อม กวางตัวหนึ่งกำลังก้มลงดื่มน้ำจากลำธารใสที่เติมเสียงไหลเอื่อยสงบเย็นเยียบให้กับทั่วทั้งบริเวณ

     
    ใจหนึ่งผมอยากหยุดให้ปลายทางมันอยู่แค่ที่ตรงนี้ ผมจะได้มีเวลาทักทายทำความคุ้นเคยกับพวกกวางน้อยใหญ่เจ้าของพื้นที่ เดินเก็บภาพใบไม้แห้งที่ร่วงหล่นลงมาวางตัวอยู่บนพื้นดินแต่ละบริเวณด้วยองค์ประกอบภาพที่แตกต่างกัน ก้อนหินริมลำธารนั่นก็ดูน่าสนใจ บางก้อนถูกปกคลุมด้วยมอสเสียหมดจนดูเหมือนลูกบอลไหมพรมมากกว่าจะเป็นก้อนหินแข็ง ๆ ไปแบบนั้น และหากได้ใช้เวลาที่เหลือนั่งจิบชาอุ่น ๆ พร้อมกับอาหารกล่องจากร้านสะดวกซื้อ แล้วนั่งพิงต้นไม้อ่านหนังสือดี ๆ สักเล่ม ในบรรยากาศแบบนั้นถ้าทำได้แบบนี้คงดีไม่น้อย

     
    แต่ไม่มีชาอุ่นในเป้สะพายหลัง ลืมซื้อข้าวกล่อง และหนังสือที่มีก็แค่หนังสือแนะนำเส้นทางเดินป่า — และไม่มีไฟฉาย — ถ้าหากยังมัวเสียเวลาอยู่ตรงนี้มากไป ผมอาจจะต้องเดินคลำทางกลับออกจากป่าภายใต้ความมืดที่หนาวเย็นและไม่รู้เส้นทาง เพราะในฤดูหนาวที่นี่ค่ำคืนมักจะมาถึงเร็วขึ้นกว่าปกติ และในป่าแบบนั้นก็จะยิ่งมืดเร็วกว่าอีกมาก

     
    ก็เพราะแบบนี้ ถ้าคุณพอจะสังเกต ผมเลยต้องรีบเดินอย่างที่เห็น จะว่าไปน่าจะเพราะความไม่รู้ การขาดประสบการณ์และไม่ได้เตรียมตัวมาดีพอมากกว่าที่ทำให้ต้องรีบร้อน เพราะตอนที่ผมจะเริ่มออกเดินไป ผมเห็นคุณพึ่งจะเริ่มออกเดินไปก่อนผมได้ไม่ไกลนัก แต่คุณยังเลือกที่จะเดินแบบเอื่อยช้าและผ่อนคลายไม่ได้ดูจะมีความกังวลใจแบบเดียวกับที่ผมเป็นอยู่เลย เดาว่าคุณคงรู้จักที่นี่และเตรียมตัวมาดีกว่าผมมาก
    .
    .
    เส้นทางเดินขึ้นเขานั้นดูจะไม่ได้เรียกร้องการใช้พลังงานมากเกินไปนัก เพราะถึงจะเป็นทางเดินตามธรรมชาติ แต่ก็มีการนำหินมาวางเรียงเป็นขั้นบันไดง่าย ๆ ไว้ในช่วงที่ความชันมากสักหน่อย และแม้จะเป็นเส้นทางในป่าทึบที่อุดมสมบูรณ์ แต่ก็ยังมีป้ายบอกทางชัดเจนอยู่เป็นระยะ ถ้าหากไม่ใช่เพราะผมพึ่งผ่านการวิ่ง 42 กิโลเมตรไปเมื่อสองวันก่อน การเดินขึ้นบันไดหินแต่ละขั้นคงไม่ได้สร้างความหนักใจได้มากขนาดนี้

     

    น่าแปลกว่าพอเดินไปได้สักพักหนึ่ง อาการขาที่เคยเต็มไปด้วยความปวดเกร็งและเมื่อยล้า กลับหายไปดื้อ ๆ เสียอย่างนั้น แล้วนั่นก็เป็นตอนที่ผมเดินนำหน้าคุณไปนั่นแหละ

     

    ในความเห็นของคุณคิดว่าผมรีบร้อนเดินไปข้างหน้าเกินไปหรือเปล่า​ ก็ทั้งที่ผมเฝ้ารอวันนี้มาหลายเดือนแท้ ๆ แต่กลับเลือกที่ปล่อยจะให้ความกังวลใจบางอย่างมาบังคับจังหวะก้าวให้มันเร็วกว่าที่ควรเป็น และเบียดบังห้วงความคิดที่น่าจะถูกใช้อย่างเหมาะสมกับบรรยากาศแวดล้อมที่เงียบสงบและสวยงามแบบนี้ไปอย่างน่าเสียดาย

     
    จะว่าไปแล้วผมเริ่มจะชอบการเดินป่าท่ามกลางธรรมชาติเงียบสงบแบบนี้เข้ามาก ๆ เสียแล้วสิ จากตอนนั้นเมื่อราวสามปีก่อนที่ผมเริ่มตัดสินใจออกเดินเข้าป่าไปคนเดียวครั้งแรก นับแต่นั้นมา ทุกครั้งหลังจากมาวิ่งที่ญี่ปุ่น ผมจะต้องวางแผนไว้หนึ่งวันสำหรับการเดินเข้าป่าด้วยเสมอ — ผมเดาว่าคุณก็คงจะชอบเหมือนกับผม เพราะคุณก็มาเดินที่นี่คนเดียวเหมือนกัน
    .
    .
    ครึ่งทางของการเดินขึ้นสู่ยอดเขามิเซน ถ้าจะนับแค่เรื่องความเร็วคงถือว่าทำเวลาได้น่าพอใจทีเดียว จริงอยู่ว่าระหว่างทางนั้นผมอาจจะมีเวลาหยุดแวะถ่ายรูปสิ่งที่ดูน่าสนใจอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่เหมือนเมื่อหลายปีก่อนที่ผมเริ่มถ่ายรูปด้วยกล้อง DSLR ครั้งแรก

     

    ตอนนั้นทุกเหลี่ยมมุมรอบตัวดูเหมือนจะน่าสนใจราวกับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกไปเสียหมด แต่ละมุมมองต้องกดชัตเตอร์ซ้ำแล้วซ้ำอีก ขยับเลื่อนองค์ประกอบภาพ เปลี่ยนการชดเชยแสง ปรับความชัดลึกชัดตื้น ทดลองใช้ฟิลเตอร์แบบต่าง ๆ ปรับระยะซูมและความเร็วชัตเตอร์อยู่แบบนั้นจนกว่าจะได้รูปที่พอใจ เส้นทางแค่สั้น ๆ แบบนี้อาจจะต้องใช้เวลาเป็นวันเลยทีเดียว ถ้าหากผมยังชอบเก็บรายละเอียดภาพถ่ายมากขนาดนั้นอยู่

     

    แต่ตอนนี้กล้อง DSLR ตัวนั้นมันใช้งานไม่ได้แล้ว และผมเลือกที่จะเปลี่ยนมาใช้แค่กล้อง compact ตัวหนึ่งที่พกพามันไปได้สะดวกกว่าเท่านั้น

     

    คุณน่าจะรู้อยู่แล้วว่าสำหรับคนที่ชอบถ่ายรูปอย่างจริงจัง การเปลี่ยนมาใช้กล้องที่ประสิทธิภาพน้อยกว่าเดิมมากขนาดนี้มันเป็นการตัดสินใจที่ทำใจได้ยากเอาการ แต่มันก็เหมือนการยอมกำจัดสิ่งที่รุงรังมากเกินออกไปเพื่อแลกกับความความเรียบง่ายสะดวกสบายบางอย่างกลับมา ถึงจะเสียดายอยู่บ้างแต่สุดท้ายก็จะเรียนรู้และเคยชินไปได้เองในที่สุด

     

    หรือว่าความจริงแล้ว ที่ยอมเปลี่ยนแปลงแบบนั้นได้ก็เพราะผมไม่ได้ชอบถ่ายรูปมากพอกันแน่

     

    นึกไปแล้วนอกจากเรื่องถ่ายรูปนี้ผมยังมีเรื่องอื่นที่เคยทำ เคยชอบทำ เคยทำได้อยู่หลายอย่าง แต่กลับนึกไม่ออกสักเรื่องเดียวที่ผมทำได้ดีจนสามารถเรียกว่าเป็นมืออาชีพ ไม่มีสักอย่างที่จะสามารถเติมคำว่า “นัก”ไว้ข้างหน้ากิจกรรมนั้นที่ผมทำได้เลย

     

    เคยเล่นกีตาร์ได้แต่ก็แค่ไม่กี่เพลง ชอบทำอาหารแต่ก็เป็นแค่ทำกินเอง เริ่มทำธุรกิจแต่กลับมองไม่เห็นว่าตัวเองจะเป็นนักธุรกิจที่ดี วิ่งมาราธอนจบได้แต่ไม่อาจจะเรียกตัวเองว่านักวิ่ง ลองลงมือเขียนแต่วันนี้ยังห่างไกลกับคำว่านักเขียน

     

    อย่าให้ต้องนึกต่อไปมากกว่านี้เลย คงดีกว่าถ้าจะบอกกับตัวเองว่าช่างมันเถอะ คำติดปากที่ผมใช้บอกกับตัวเองอยู่บ่อย ๆ นั่นแหละ
    .

    .

    เลยครึ่งทางมาอีกสักพัก ตรงนั้นคือยอดโคมากะบายาชิ (Komagabayashi Peak) ยอดเขาที่เตี้ยกว่ายอดเขามิเซน ซึ่งเป็นจุดพักชมทิวทัศน์ที่มองเห็นผืนป่าและท้องทะเลเบื้องล่าง ตัวเมืองบนแผ่นดินใหญ่มองเห็นอยู่ไม่ไกลออกไปจากเกาะมิยาจิมะ ตรงนั้นเป็นจุดชมทิวทัศน์ตามธรรมชาติที่เกิดจากก้อนหินขนาดมหึมาวางตัวเป็นลานกว้าง

     

    กลุ่มชายสูงวัยหกคนที่คงมาถึงตรงนี้ก่อนอยู่นานแล้วกำลังใช้เวลานั่งสนทนากันอย่างผ่อนคลาย เตาแก๊สกระป๋องถูกจุดขึ้นเพื่อต้มน้ำร้อนสำหรับชงชาส่งต่อให้กัน — ชาร้อนพร้อมกับขนมหวานชิ้นพอดีคำมันดูเข้ากับการใช้เวลาว่างท่ามกลางอากาศหนาวบนทิวทัศน์แบบนี้ได้ดีเลยจริง ๆ

     

    จะว่าไปเหล่าคุณลุงกลุ่มนั้นดูจะเหมาะกับคำว่านักเดินป่าดีเหมือนกันนะ เพราะนอกจากท่าทางผ่อนคลายจนดูเหมือนว่ากำลังปิคนิคกันอยู่ในสวนหลังบ้านซึ่งบ่งบอกถึงประสบการณ์ที่มีอยู่พอตัวแล้ว อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เตรียมมาก็ดูพร้อมทีเดียว ทั้งรองเท้าทั้งชุดเสื้อผ้าเดินป่าที่ถูกระเบียบ กับอุปกรณ์เสริมอย่างเป้กับไม้เท้าเดินป่า และเตาแก๊สพกพา เทียบกับผมแล้วที่ไม่มีอะไรตรงตามมาตรฐานเลยสักอย่าง คำว่านักเดินป่าคงจะใช้กับผมไม่ได้ด้วยเช่นกันสินะ

     

    ผมกลับมาคิดเรื่องพวกนี้อีกจนได้ แต่ก็ช่างมันเถอะ ผมต้องพูดคำนี้อีกครั้งจนได้

     

    แล้วคุณก็เดินตามมาทันที่บนลานหินนั่น ผมใช้เวลาตรงนั้นไปมากแค่ไหนกันนะ แต่ทิวทัศน์ที่สวยแบบเรียบง่ายและบรรยากาศที่ผ่อนคลายมันชวนให้ลืมนึกถึงเรื่องเวลาได้ง่าย ๆ ไปแบบนั้นเอง ดูเหมือนตรงนั้นจะมีผมที่รีบร้อนอยู่เพียงคนเดียว เพราะตอนที่ผมตัดสินใจออกเดินต่อคุณก็หยุดพักพร้อมกับเข้าไปร่วมสนทนาดื่มด่ำบรรยากาศในวงน้ำชาของกลุ่มชายวัยใกล้เคียงกับคุณบนลานหินนั่น

    .

    .

    ระหว่างเส้นทางเงียบสนิทที่คุณเดินผ่านมาคนเดียว มีเพียงเสียงย่ำฝีเท้าของตัวเองที่ฟังชัดเจน มันคงมีบางช่วงเวลาที่คุณอยากจะสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนร่วมทางสักคนเหมือนกันกับผมใช่ไหม

     

    ตอนนั้น ผมหยิบเป้ขึ้นสะพายหลังแล้วเดินออกไป



    mylazypace.com

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in