เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
การท่องเที่ยวเชิงติ่งselynebb
วันหนึ่งฉันเดินตากแดด [2] #จันทบุรี
  • วันที่สองของการเดินทางที่แสนพิเศษเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ 5.00 น.


    หลังจากนอนหลับอย่างเต็มอิ่มเราก็ตื่นกันตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยความตั้งใจที่จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ชายหาด ในใจคิดว่ามันต้องสวยมากแน่ๆ ในตอนที่แสงแรกของวันส่องกระทบผืนน้ำ พวกเราเดินตรงไปที่สะพานที่ทอดยาวลงไปในทะเล ฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่ง พร้อมกับหยิบกล้องขึ้นมาเตรียมเก็บภาพความสวยงามยามเช้า แต่ทันทีที่ไปถึงสะพานเราก็พบว่า...


    ชายหาดด้านนี้ไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้น


    ทำไมถึงทำกับฉันได้!


    แต่ก็เอาเถอะ ถึงอย่างไรในตอนที่แสงสีทองสาดปกคลุมท้องฟ้ามันก็สวยอยู่ดี รู้สึกโชคดีจริงๆ ที่ได้มาเห็นภาพแบบนี้ เราเดินถ่ายรูปเล่นตามชายหาดไปเรื่อย ไม่นานก็มีน้องหมาเจ้าถิ่น (อีกแล้ว) วิ่งมาเข้าเฟรม ด้วยความที่ปกติก็กลัวหมาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็แทบจะวิ่งกรี๊ดขึ้นสะพานไปให้ไกล แต่เพื่อความคูลของเราก็เลยต้องนิ่งไว้ (ฮา...) พวกเราเดินถ่ายรูปกันอยู่เกือบชั่วโมงก็กลับไปที่พักเพื่อรอเวลากินอาหารเช้าที่ทางที่พักจัดไว้บริการ เราพาตุ๊กตาเพนกวินสองตัวมาร่วมถ่ายรูปการท่องเที่ยวครั้งนี้ด้วย เจ้าตัวกลมสองตัวถือเป็นเพื่อนร่วมทริปของเรา ได้ไปที่ต่างๆ ด้วยกัน (มีคุณยายที่ผ่านมาแอบหัวเราะตอนที่เห็นพวกเราบุกเข้าไปในกอหญ้าข้างทางเพื่อหามุมถ่ายรูป อ๊ายอาย) ไม่นานหลังจากที่เราจัดการอาหารเช้าเสร็จ พี่ม่อนคนเดิมก็มารับเราสองคนไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ บอกไว้เลยว่าวันนี้ตารางของพวกเราแน่นมาก กะว่าวันเดียวนี้จะเที่ยวให้คุ้มเลย


    สถานที่แรกของวันนี้เริ่มที่จุดชมวิวเนินนางพญา เป็นสถานที่ยอดฮิตที่ทุกคนต้องมาให้ได้ถ้ามาที่จันทบุรี บอกได้เลยว่าของจริงสวยกว่าที่เคยเห็นในรูปตามอินเทอร์เน็ตเสียอีก ขนาดว่าเราไปถึงตอนเช้ามากแล้วยังมีนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด ไม่ผิดหวังที่ยอมเดินฝ่าอุณหภูมิข้างนอกที่พุ่งขึ้นไปกว่า 32 องศา แดดแรงกว่าวันแรกอีกสุดยอดจริงๆ บนจุดชมวิวมีคณะลูกกุญแจกำพร้า (ไม่มีแม่) คล้องอยู่เต็มไปหมด ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงมีแบบนี้ที่นี่ แต่ก็สวยแปลกตาดีอยู่ไม่น้อย


    ต่อจากนั้นพี่ม่อนก็บอกให้เราขึ้นรถมอเตอร์ไซพ่วงเพื่อไปชมเจดีย์กลางน้ำ ดูเป็นระบบการขนส่งที่เหมาะกับชุมชนดี รถคันเล็กๆ บรรทุกคนได้ราว 4-5 คนเท่านั้น พี่คนขับพาเราไปถึงจุดชมเจดีย์กลางน้ำที่อยู่ด้านล่าง พอไปถึงพวกเราก็ต้องเดินข้ามสะพานยาวๆ ไปอีกกว่าจะถึงตัวเจดีย์ แต่สะพานก็ไม่ได้ทอดไปถึงเจดีย์ เราก็เลยได้แต่มองอยู่ไกลๆ วิวที่ได้เห็นก็คุ้มค่ากับที่เดินฝ่าแสงแดดร้อนแรงมา น้ำทะเลใสๆ ท้องฟ้าสวยๆ ภูเขาเขียวๆ และโบราณสถาน ก็เป็นการรวมตัวกันที่เหมาะเจาะ


    สองสาวเดินตัวแห้งกลับไปที่รถ รู้สึกเหมือนจะสลายกลายเป็นผงได้ตลอดเวลา แต่ชีวิตต้องไปต่อเพราะมีอีกหลายที่ที่อยากจะไป สถานีต่อไปของพวกเราคือศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน เส้นทางศึกษาธรรมชาติรอเราอยู่ ใช้เวลาไม่นานจากจุดชมวิวเนินนางพญา ที่นี่เราจะได้พบกับสะพานไม้ที่มีความยาวกว่า 2 กิโลเมตร พาดผ่านป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ เพราะต้นไม้ที่แผ่ร่มเงาปกคลุมตลอดเส้นทาง พวกเราก็เลยเหมือนได้พักผิวจากการถูกเผาไหม้ของแสงแดดไปด้วยในตัว (แต่ก็แลกมาด้วยอากาศที่อบอ้าวเพราะลมไม่ค่อยมี) เราเดินชมทิวทัศน์ของป่าชายเลน คุยกับปูแสมบ้าง ปลาตีนบ้างในระหว่างทาง


    ไฮไลท์ของที่นี่นอกจากเส้นทางศึกษาธรรมชาติแล้วยังมีหอดูนกที่สูงกว่า 5 ชั้น (ขาสั่นไปหมดตอนเดินขึ้นไป) หัวใจสาวน้อยที่ปกติก็บางเป็นว่าเล่นอยู่แล้วก็ยิ่งอ่อนไหวเข้าไปใหญ่กับความสูงที่ไม่คุ้นเคย แต่วิวบนนั้นนี่สุดยอดมากกกกก มองเห็นไปได้ไกล พวกเราผลัดกันขึ้นไปถ่ายรูปในมุมแปลกๆ ก่อนจะลงมาเพื่อเดินชมนกชมไม้ต่อไป มีเรื่องให้แอบขำตรงที่ขึ้นไปถึงชั้นบนสุดของหอดูนกแต่ไม่เจอนกสักตัวเดียว ได้ยินแต่เสียงแว่วมาไกลๆ สุดท้ายของที่นี่เราเดินมาเจอบ่อเลี้ยงปลาตรงทางออก ไม่รู้ว่าเป็นปลาอะไรแต่มีเยอะมากเห็นแล้วหิว สรุปว่าใช้เวลาชั่วโมงกว่าไปกับการเดินศึกษาธรรมชาติและคุยกับปูแสมและปลาตีน


    ช่วงบ่ายของเราเป็นการเที่ยวสถานที่ประวัติศาสตร์อย่างตึกแดงและคุกขี้ไก่ ได้ไปสัมผัสช่วงเวลาในยากลำบากของผู้คนสมัยก่อนผ่านทางสถาปัตยกรรมที่ยังคงหลงเหลืออยู่ แอบคิดเหมือนกันว่าถ้ามีการบริหารจัดการและประชาสัมพันธ์สถานที่เหล่านี้มากขึ้นก็คงจะดี ทำให้เป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิตบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของแต่ละสถานที่ เยาวชนและคนที่สนใจจะได้สามารถศึกษาประวัติศาสตร์และชมความสวยงามไปพร้อมๆ กันได้ หลังจากดื่มด่ำกับอดีตเรียบร้อยแล้วพวกเราก็หิวกันเต็มที่ เรากินอาหารกลางวันกันที่ร้านอาหารทิวสนริมทะเล รับลมเย็นๆ ระหว่างกินอาหารสบายใจ


    กินอาหารเสร็จแล้วเราก็ไปดูป้อมไพรีพินาศกัน ระหว่างทางมีลิงอยู่ประปรายตามทาง (และเดินขึ้นเขาอีกแล้ว ปวดร้าวไปทั้งขา) จากนั้นก็ไปดูโบสถ์สีขาวของวัดที่เป็นทางผ่าน (เจอลิงนั่งอยู่บนกำแพงวัดด้วย) และแวะถ่ายรูปกันที่สะพานตากสินหนึ่งแชะ ก่อนเข้าสู่ความทรหดของจริง


    อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว


    ครั้งนี้เราบอกกับเพื่อนเลยว่าขอไปนั่งโง่ๆ ที่น้ำตกนะ แต่สิ่งที่พวกเราได้พบเจอก็คือเส้นทางศึกษาธรรมชาติอีกแล้วจ้า ซึ่งเป็นเส้นทางที่ไม่แน่ใจว่าจะเอาไว้ให้ศึกษาธรรมชาติหรือให้เอาตัวรอดจากธรรมชาติกันแน่ (ในใจนี่คิดถึงแม่ขึ้นมา ถ้าหนูรอดกลับไปหนูจะเอาทุเรียนไปฝาก) เส้นทางขึ้นเขา ขึ้นเขา และขึ้นเขา!!! ไหนการนั่งโง่ๆ ของน้องงงงงง น้ำตาจะไหลแต่เหงื่อออกจนไม่เหลือน้ำจะเป็นน้ำตา แต่สุดท้ายเราก็เดินกันไม่ครบเส้นทางเพราะเหนื่อยและทางที่ต้องไปต่อมันชันมาก เกือบเก้าสิบองศา จนทางอุทยานต้องมีเชือกไว้ให้จับปีน (เส้นทางมันยังโหดเหี้ยมได้อีกค่ะคุณผู้ชม) เราเลยได้ถ่ายรูปกันตรงธารน้ำตกเล็กๆ แทนก่อนจะเดินกลับลงมาและเดินขึ้นไปบนเส้นทางไปน้ำตก 

    ที่ต้องเดินขึ้นเขาอีกแล้วครับท่าน


    ระหว่างทางเราผ่านพีระมิดพระนางเรือล่ม (อันนี้สงสัยจริงๆ ว่าทำไมถึงเป็นพีระมิด) และอลงกรณ์เจดีย์ซึ่งเป็นเจดีย์ที่สร้างด้วยศิลาแลง ตรงนี้มีกิ้งก่าตัวโตมายืนรับแขกด้วยเข้าไปถ่ายรูปได้ สุดท้ายก็เดินไปถึงตัวน้ำตกพลิ้วจริงๆ เสียทีได้ฟังเสียงน้ำตกแล้วสดชื่นหายเหนื่อย อยากบอกว่าไปเจอน้ำตกส่วนที่ทั้งสวยและเป็นส่วนตัวแอบซ่อนอยู่ตรงทางเข้าอุทยานให้ความรู้สึกเหมือนธารน้ำนั้นจะเป็นของเราเลย เราถ่ายรูปกันพอกรุบกริบก่อนนั่งรถไปยังที่พักสำหรับคืนที่สองต่อไป


    ที่พักแห่งที่สองของเราชื่อว่า Laluna River House เป็นอาคารริมแม่น้ำจันทบุรี บรรยากาศดีทีเดียว แถมมีระเบียงให้ไปนั่งเล่นริมน้ำได้สบายๆ เราจัดการเช็คอินและเอาของขึ้นไปเก็บในห้องพัก สำหรับที่นี่เราชอบเป็นพิเศษเพราะมีเตียงสองชั้น (จริงๆ ชอบนอนชั้นบนแต่หมดแรงจะปีนเลยงอแงให้เพื่อนนอนชั้นบนแทน) พวกเราพักผ่อนกันเล็กน้อยเพื่อนเตรียมตัวสำหรับไปบรรลุจุดประสงค์ที่มากันถึงจันทบุรี


    นัดแนะเวลากับพี่ม่อนเรียบร้อยแล้วเราสองคนเห็นว่ายังเหลือเวลาอีกเล็กน้อยก่อนถึงเวลานัด ก็เลยตัดสินใจเดิน (อีกแล้ว) ไปอาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล ซึ่งเป็นโบสถ์ระดับชั้นอาสนวิหารแห่งเดียวในฝั่งตะวันออกของไทย ภายนอกว่าสวยแล้ว ภายในสวยงามยิ่งกว่า ให้ความรู้สึกสงบตั้งแต่ก้าวแรกที่ย่างเข้าไป


    ในที่สุดก็มาถึงจุดหมายของวันนี้ พี่ม่อนพาเราสองคนมาที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดจันทบุรี ที่นี่มีการจัดงานผลไม้ประจำปีที่เป็นงานใหญ่มาก มีร้านรวงต่างๆ มาขายของมากมาย พวกเราเดินดูของกินไปเรื่อยเพื่อรอเวลาที่จะได้เจอกับคนสำคัญที่เป็นไฮไลท์ของทริปนี้ พี่เอ๊ะ จิรากรของพวกเรา เย้~ เดินทางมาหลายร้อยกิโลเพื่อเจอพี่เลยนะคะ


    เราจบวันที่สองด้วยความสนุกและประทับใจ รวมถึงเริ่มวางแผนการสำหรับทริปต่อไป

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in